อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือ
เราสามารถใช้การเพิ่มความดันในการทำให้แก๊สเป็นของเหลวได้
แต่มีข้อแม้ก็คืออุณหภูมิที่เราทำการเพิ่มความดันนั้นต้อง
"ต่ำกว่า
critical
temperature" ของแก๊สนั้น
และแก๊สหุงต้ม (โพรเพน
และบิวเทน)
ที่เราใช้กันนั้นมี
critical
temperature สูงกว่าอุณหภูมิห้อง
ส่วนที่ว่าความดันในถังแก๊สหุงต้มจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเราดึงแก๊สออกมาใช้งาน
และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราอัดแก๊สหุงต้มลงถัง
เรื่องนี้เคยอธิบายไว้ใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๖๖๒ วันศุกร์ที่
๖ กันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง "PV diagram กับการอัดแก๊ส"
ซึ่งรูปที่
๒ และ ๓ ก็นำมาจาก Memoir
ฉบับดังกล่าว
รูปที่
๒ สมมุติว่าในช่วงแรกความดันแก๊สหุงต้มในถังคือ
P1
เมื่อเราดึงแก๊สหุงต้มออกมาใช้งาน
(เราดึงตรงส่วนที่เป็นไอที่อยู่เหนือผิวของเหลว)
ความดันเหนือผิวของเหลวจะลดลง
แต่ของเหลวจะระเหยขึ้นมาชดเชยส่วนที่เป็นไอที่หายไป
ดังนั้นความดันแก๊สในถัง
(P2)
จะยังคงเท่าเดิม
(P2
= P1) แต่ปริมาตรส่วนที่เป็นไอจะเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่ปริมาตรส่วนที่เป็นของเหลวจะลดลง
แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีของเหลวเหลืออยู่ในถัง
ความดันในถังก็จะลดลง (P3 < P1, P2)
รูปที่
๓ การอัดแก๊สหุงต้มลงถัง
สมมุติว่าเริ่มแรกเรามีแก๊สความดัน
P4
อยู่ในถัง
พอเราอัดแก๊สให้มีความดันสูงขึ้น
ตราบเท่าที่ยังไม่มีการควบแน่น
ความดัน P4
ในถังก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ แต่พอความดันสูงถึงระดับหนึ่ง
(P5)
แก๊สบางส่วนจะเกิดการควบแน่นเป็นของเหลว
จากจุดนี้แม้ว่าจะพยายามอัดความดันให้กับถังอีก
ความดันในถัง (P6)
ก็จะไม่เพิ่มสูงขึ้น
เพราะส่วนที่เป็นไอจะกลายเป็นของเหลว
ทำให้ปริมาตรเฟสของเหลวเพิ่มมากขึ้น
ส่วนปริมาตรเฟสที่เป็นไอลดน้อยลง
รูปที่
๔ กราฟความสัมพันธ์ระหว่างความดัน
(bar.g)
กับอุณหภูมิ
(C)
ของ
LPG
ที่สัดส่วนผสม
โพรเพน:บิวเทน
ต่าง ๆ โดยน้ำหนัก (สัดส่วน
100:0
คือโพรเพนบริสุทธิ์
สัดส่วน 0:100
คือบิวเทนบริสุทธิ์)
รูปนี้นำมาจาก
Memoir
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๔๙๘ วันพฤหัสบดีที่
๑๑ มกราคม ๒๕๖๑ เรื่อง "ถัง LPG ระเบิดจากการได้รับความร้อนสูงเกิน"
แก๊สที่ไม่สามารถอัดให้เป็นของเหลวได้ ณ อุณหภูมิที่ทำการเพิ่มความดันนั้น เราสามารถใช้ความดันในถังเป็นตัวบ่งบอกปริมาณแก๊สในถังได้ และโดยปรกติก็ทำกันอย่างนั้น เพราะพอถังต้องรับความดันสูง ถังก็จะมีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักแก๊สในถังมาก จึงยากที่จะใช้การชั่งน้ำหนักเป็นตัวบอกปริมาณแก๊สในถัง แต่สำหรับแก๊สที่ควบแน่นเป็นของเหลว ณ อุณหภูมิที่ทำการเพิ่มความดันได้นั้น (เช่นแก๊สหุงต้ม ณ อุณหภูมิห้อง) มันแตกต่างออกไป
เมื่อเราเริ่มเติมแก๊สหุงต้มลงถังเปล่านั้น
เริ่มแรกความดันในถังจะเพิ่มขึ้น
จนถึงระดับหนึ่งแก๊สจะควบแน่นเป็นของเหลว
ต่อจากนั้นแม้ว่าเราจะเติมแก๊สหุงต้มลงไปในถังอีก
แก๊สที่เติมเข้าไปก็จะควบแน่นเป็นของเหลว
ความดันในถังก็จะไม่เพิ่มขึ้นทั้ง
ๆ ที่ปริมาณแก๊ส (หรือน้ำหนักแก๊ส)
ในถังเพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้การบรรจุแก๊สหุงต้มจึงต้องใช้การชั่งน้ำหนักแทนการใช้การวัดความดันในการบอกปริมาณแก๊สที่มีอยู่ในถัง
ส่วนที่ว่าความดันในถังแก๊สควรเป็นเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าแก๊สหุงต้มที่ใช้นั้นประกอบด้วยโพรเพน
(propane
C3H8) กับบิวเทน
(butane
C4H10) ในสัดส่วนเท่าใด
คือมันเปิดโอกาสให้เป็นไปได้ตั้งแต่โพรเพนบริสุทธิ์ไปจนถึงบิวเทนบริสุทธิ์
แต่ในการออกแบบถังนั้นเพื่อให้มันสามารถครอบคลุมการใช้งานได้ทุกช่วงองค์ประกอบของแก๊ส
ก็จะออกแบบโดยอิงจากความดันของโพรเพนบริสุทธิ์เพราะมันเป็นตัวที่มีความดันไอสูงสุด
กล่าวคือถ้าถังนั้นสามารถบรรจุโพรเพนบริสุทธิ์ได้อย่างปลอดภัย
มันก็สามารถบรรจุแก๊สผสมระหว่างโพรเพนกับบิวเทนได้อย่างปลอดภัย
ในท้องที่ที่อากาศหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำ
(เช่นต่ำกว่า
0ºC)
แก๊สหุงต้มก็จะมีสัดส่วนโพรเพนที่สูงหรืออาจเป็นโพรเพน
บริสุทธิ์ก็ได้
ทั้งนี้เพื่อให้มันสามารถระเหยกลายเป็นไอออกมาได้
(จุดเดือดของบิวเทนสูงกว่า
0ºC
เล็กน้อย)
แต่สำหรับท้องที่ที่อากาศร้อนหรือค่อนข้างร้อน
ก็สามารถใช้แก๊สที่มีสัดส่วนบิวเทนสูงขึ้นได้
เพื่อไม่ให้ความดันในถังนั้นสูงเกินไป
อย่างเช่นแก๊สหุงต้มในบ้านเรา
เท่าที่ทราบก็เคยมีการบรรจุแก๊สที่มีสัดส่วนโพรเพนต่อบิวเทนอยู่ในช่วงตั้งแต่
70:30
(โพรเพน
70
ส่วนต่อบิวเทน
30
ส่วน)
ไปถึงประมาณ
50:50
(โพรเพน
50
ส่วนต่อบิวเทน
50
ส่วน)
ดังนั้นความดันในถังจึงขึ้นอยู่กับสัดส่วนโพรเพนต่อบิวเทนของแก๊สที่ทำการบรรจุและอุณหภูมิสถานที่ตั้งถังแก๊ส
(รูปที่
๔)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น