ในตอนที่แล้วได้เล่าเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดการระเบิด
และการระงับเหตุ
มาตอนนี้จะมาดูกันว่าทีมสอบสวนนั้นเขารวบรวมหลักฐานอะไรจากที่เกิดเหตุมาได้บ้าง
๙.
สภาพที่เกิดเหตุบ่งบอกว่าการระเบิดและเพลิงไหม้เป็นผลที่เกิดจากการการระเบิดที่
V306
Low pressure separator โดยทีมสอบสวนได้ตั้งสมมุติฐานที่อาจทำให้
V306
เกิดระเบิดได้ดังนี้
(ก)
ปัจจัยจากภายนอก
เช่นการก่อการร้าย
หรืออุบัติเหตุจากโรงงานข้างเคียง
(คือคงหมายความว่าโรงงานข้างเคียงคงมีการระเบิดและมีชิ้นส่วนปลิวมาตกใส่)
(ข)
มีการระเบิดเกิดขึ้นภายใน
V306
(ค)
ตัว
vessel
มีความเสียหายอยู่ในตัวก่อนแล้ว
ซึ่งความเสียหายนี้ขยายตัวขึ้นจนเกิดขีดวิกฤตอันเป็นผลจากปัจจัยอื่น
(เช่นการสั่น)
(ง)
ความดันในตัว
vessel
เพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าที่ตัว
vessel
จะทนได้
(ความดันที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นความดันที่เกิดจากความผิดพลาดในการทำงาน
เป็นคนละอย่างกับความดันที่เกิดขึ้นจากการระเบิด)
๑๐.
การเก็บรวบรวมข้อมูลกระทำโดย
(ก)
การเก็บเศษชิ้นส่วน
vessel
ที่กระจัดกระจายออกไปมาตรวจสอบความเสียหายและสภาพเนื้อโลหะ
(ข)
การเก็บรวบรวมและตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง
ๆ ที่เสียหายจากไฟไหม้
(ค)
การตรวจสอบห้องควบคุม
อุปกรณ์วัดคุม และข้อมูลที่บันทึกเอาไว้
(ง)
การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งระดับผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหาร
๑๑.
ในส่วนของข้อ
๑๐(ค)
และ
๑๐(ง)
นั้น
ทางทีมสอบสวนพบว่ามีการปรับเปลี่ยนพารามิเตอร์ของอุปกรณ์วัดคุมบางตัวที่เกี่ยวข้องกับหน่วยที่เกิดการระเบิด
โดยที่ยังไม่ได้มีการประเมินเรื่องความปลอดภัย
(ซึ่งประเด็นนี้ต่อมาพบว่าเป็นตัวหลักตัวหนึ่งที่ก่อให้เกิดความผิดพลาดในการทำงานของโอเปอร์เรเตอร์
เพราะโอเปอร์เรเตอร์ไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนพารามิเตอร์)
และข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์โอเปอร์เรเตอร์นั้นไม่สอดรับกับเหตุการณ์ที่นำไปสู่การระเบิด
ทำให้ทางทีมสอบสวนนั้นต้องสร้างภาพเหตุการณ์ขึ้นมาใหม่
เรื่องสภาพที่เกิดเหตุที่ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิด
และบอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำนั้น
เคยเล่าไว้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้วใน
Memoir
ปีที่
๑๑ ฉบับที่ ๑๖๑๗ วันอาทิตย์ที่
๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ เรื่อง "VCE case 1 อะเซทิลีนไหลย้อนผ่านวาล์วกันการไหลย้อนกลับ 2458(2005)"
ที่การตรวจสอบที่เกิดเหตุหลังการระเบิดนั้นพบว่าวาล์วตัวหนึ่งในเส้นทางที่แก๊สไหลย้อนกลับไปนั้นอยู่ในตำแหน่ง
"ปิด"
แต่การที่แก๊สจะไหลไปยังอาคารที่เกิดการระเบิดได้นั้นจำเป็นที่ต้องไหลผ่านวาล์วตัวนี้
นั่นแสดงว่าก่อนเกิดการระเบิดนั้นวาล์วตัวนี้อยู่ในตำแหน่ง
"เปิด"
นั่นแสดงว่าก่อนเกิดการระเบิดไม่นาน
หรือในระหว่างที่ทำการระงับเหตุนั้น
ต้องมีใครสักคนเข้าไปปิดวาล์วตัวดังกล่าว
แต่การสอบสวนไม่สามารถหาได้ว่าใครเป็นคนทำ
(ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิต
พนักงานดับเพลิง
หรือพนักงานบริษัทที่เข้าไประงับเหตุก็ได้)
รูปที่
๑๒ แผนผังระบบรักษาระดับและควบคุมการไหลของน้ำมันจาก
V305
High pressure separator ไปยัง
V306
Low pressure separator
โดยเริ่มแรกของการออกแบบนั้นแม้ว่าจะได้มีการคำนึงถึงการป้องกันไม่ให้แก๊สความดันสูงจาก
V305
รั่วไหลไปยัง
V306
ได้
แต่สุดท้ายเหตุการณ์ดังกล่าวก็เกิดขึ้น
ในรูปนี้ผมเองมีข้อสงสัยข้อหนึ่งคือเส้นทางการชี้ของลูกศรที่วงกลมสีแดงเอาไว้สงสัยว่าในรูปจะกลับทิศ
เมื่อเทียบกับทิศทางการไหลบที่กล่าวเอาไว้ในรายงาน
๑๒.
ความดันปรกติในขณะทำงาน
(operating
pressure) ของ
V306
นั้นคือ
9
bar (ความดันเกจ)
โดยค่าความดันที่ใฃ้ในการออกแบบ
(design
pressure) คือ
10.7
bar และความดันที่ทำการทดสอบความแข็งแรง
(test
pressure) คือ
21.6
bar V306 นี้ได้รับการติดตั้ง
relief
valve (วาล์วระบายความดัน)
ที่มีขนาด
orifice
18 cm2 ซึ่งสามารถระบายแก๊สออกสู่ระบบ
flare
ด้วยอัตรา
12.25
tonne/hr ซึ่งเพียงพอสำหรับกรณีที่
V306
ถูกไฟคลอก
และไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่าวาล์วระบายความดันตัวนี้มีปัญหาในการทำงานที่ความดันที่ตั้งให้มันเปิดคือ
10.7
bar
ในภาษาอังกฤษแบบ
UK
นั้น
ไม่ได้แยกว่า safety
valve ใช้กับแก๊ส
และ relief
valve ใช้กับของเหลวเหมือนในกรณีของภาษาอังกฤษแบบ
US
แต่ถือว่าสองคำนี้เป็นคำที่เทียบเท่ากันและใช้แทนกันได้และใช้ได้กังทั้งของเหลวและแก๊ส
ดังนั้นในร่ายงานนี้ที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบ
UK
เวลาเจอกับคำว่า
relief
valve ก็ต้องไปพิจารณาที่ตัวระบบว่ามันใช้สำหรับระบายแก๊สหรือของเหลว
๑๓.
มีการระบุตำแหน่งที่พบชิ้นส่วนต่าง
ๆ ของ V306
และน้ำหนักของแต่ละชิ้น
จากนั้นจึงคำนวณแรงระเบิดด้วยการใช้
"ballistic
technique"
โดยอิงจากข้อมูลเส้นทางการเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนแต่ละชิ้น
ซึ่งเป็นการยืนยันว่าการพังของ
V306
นั้นเกิดจากความดันที่สูงเกินกว่าที่จะรับได้
โดยความดันที่คำนวณได้ในทางทฤษฎีอยู่ที่
50
bar (แรงระเบิดเทียบเท่าน้ำหนักระเบิด
TNT
ประมาณ
90
kg) ส่วนสมมุติฐานข้อ
(ก)
- (ค)
ที่กล่าวไว้ในข้อ
๙.
นั้นถูกตัดออกไปโดยอาศัยข้อมูลต่าง
ๆ ที่รวบรวมมาได้
การที่
V306
จะเกิดปัญหา
overpressure
หรือมีความดันสูงเกินได้นั้น
จำเป็นที่ของเหลวที่อยู่ทางด้านล่างของ
V305
High pressure separator ไหลลงสู่
V306
จนหมด
ซึ่งจะทำให้แก๊สความดันสูงใน
V305
รั่วไหลเข้า
V306
ได้
ดังนั้นคำถามจึงมุ่งเน้นไปที่ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์นี้ได้
๑๔.
รูปที่
๑๒ เป็นแผนผังระบบท่อระหว่าง
V305
และ
V306
ท่อทางออกของไฮโดรคาร์บอนเหลวที่ก้นถัง
V305
มีเพียงท่อขนาด
300
mm เพียงเส้นเดียวก่อนที่จะมีการแยกเส้นทางการไหลออกเป็นสองเส้นทาง
โดยแต่ละเส้นทางจะมีวาล์วควบคุมการไหล
วาล์วที่อยู่ใกล้ V305
มากที่สุดเป็น
right-angled
air-diaphragm operated valve LIC 3-22
(วาล์วที่แนวเส้นทางการไหลเข้าออกทำมุมเป็นมุมฉาก
และใช้อากาศอัดความดันดันแผ่นไดอะแฟรมเพื่อเปิดหรือปิดวาล์ว
แต่ลูกศรเส้นทางการไหลในรูปน่าจะผิดทิศอยู่)
โดยวาล์วตัวนี้สามารถควบคุมได้จาก
control
room ทั้งในรูปแบบระบบควบคุมอัตโนมัติหรือ
manual
mode (คือให้โอเปอร์เรเตอร์เป็นผู้ปรับระดับการเปิดวาล์ว)
วาล์วตัวที่อยู่ถัดห่างออกมาจาก
V305
เป็นวาล์วควบคุมการไหลชนิด
air-diaphragm-operated,
straight-through valve
(คือเป็นวาล์วที่ใช้อากาศอัดความดันดันแผ่นไดอะแฟรมเพื่อเปิดหรือปิดวาล์ว
แต่เส้นทางการไหลเข้าออกอยู่ในแนวตรง)
HIC 3-22 ที่ทำงานได้ด้วยการสั่งการแบบ
manual
ด้วยสัญญาณควบคุมที่ส่งมาจาก
control
room เท่านั้น
๑๕.
รูปที่
๑๓ ในหน้าถัดไปเป็นแผนผังระบบควบคุมวาล์ว
LIC
3-22 และ
HIC
3-22 วาล์วสองตัวนี้เป็นชนิด
fail
closed คือจะใช้แรงดันอากาศดันแผ่นไดอะแฟรมเพื่อดันให้วาล์วเปิด
ถ้าไม่มีแรงดันอากาศ
แรงจากสปริงก็จะดันให้วาล์วปิด
นอกจากนี้ระหว่างวาล์วควบคุมทั้งสองยังมีวาล์วที่ต้องเปิดด้วยมืออีกสองตัว
(SP
25) ที่ต่ออนุกรมกันอยู่
โดยหลังจากเกิดเหตุพบว่าวาล์วตัวหนึ่งเปิดอยู่
(ตัวสีขาวในรูป)
และอีกตัวหนึ่งปิดอยู่
(ตัวสีดำในรูป)
การตรวจสอบพบว่าวาล์วตัวที่ปิดอยู่นี้ปิดได้สนิท
ไม่มีการรั่วไหล
ระบบ
double
block valve (เช่น
SP
25 ในที่นี้)
จะใช้เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่าจะไม่มีการรั่วไหล
(คือโอกาสจะน้อยลงที่วาล์วสองตัวจะรั่วในเวลาเดียวกัน)
อย่างเช่นในกรณีนี้ที่จำเป็นต้องป้องกันด้านความดันต่ำ
(V
306 ปรกติ
9
bar) จากด้านความดันสูง
(V305
ปรกติ
155
bar) ซึ่งถ้าเกิดการรั่วไหลจะทำให้เกิดความเสียหายต่อด้านความดันต่ำได้
รูปที่
๑๓ แผนผังการเชื่อมต่อของระบบสัญญาณควบคุม
LIC
3-22 และ
HIC
3-22 I/P converter คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณกระแสไฟฟ้า
(I)
เป็นสัญญาณนิวเมติกส์
(P)
Positioner
คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับการเปิดของวาล์วตามสัญญาณที่ได้รับมาจาก
I/P
converter และ
Dump
solenoid valve
คือวาล์วที่ทำหน้าควบคุมการส่งแรงดันอากาศไปดันแผ่นไดอะแฟรมว่าจะให้วาล์วเปิด
(ส่งอากาศไปดันแผ่นไดอาแฟรม)
หรือปิด
(ด้วยการระบายอากาศออกสู่บรรยากาศ)
๑๖.
การตรวจสอบวาล์ว
LIC
3-22 และ
HIC
3-22 หลังเกิดเหตุพบว่า
นอกจากความเสียหายที่ตัวแผ่นไดอะแฟรมและ
valve
positioner ของ
LIC
3-22 แล้ว
วาล์วสองตัวสามารถปิดได้สนิทเมื่ออยู่ในตำแหน่งปิด
แต่ในขณะที่ทำการถอดวาล์วต่าง
ๆ ออกมาตรวจสอบนั้นพบวัสดุคล้ายไข
(รายงานใช้คำว่า
waxy
material ซึ่งก็คงเป็นส่วนของน้ำมันหนักที่ไม่แตกตัวเล็กลง)
ในวาล์วทุกตัว
ยกเว้น LIC
3-22 ซึ่งบ่งชี้ว่าน่าจะมีการรั่วไหลของแก๊สผ่านทาง
LIC
3-22
และการรั่วไหลของแก๊สได้ทำการเป่าไล่วัสดุคล้ายไขที่ตกค้างอยู่ในระบบท่อและตัววาล์วออกไป
ทางทีมสอบสวนยังได้ทำการตรวจสอบการทำงานของ
valve
positioner ว่าทำงานผิดพลาดหรือไม่
(คือสั่งให้วาล์วเปิดค้าง)
แต่การตรวจสอบ
valve
positioner ทำได้เฉพาะของวาล์ว
HIC
3-22 เท่านั้น
(ซึ่งก็พบว่าทำงานปรกติ)
เพราะของ
LIC
3-22 ถูกเพลิงเผาทำลาย
แต่จากการจำลองสภาพการทำงานว่าถ้า
valve
positioner ขัดข้องพบว่า
วาล์วควรจะไปอยู่ ณ ตำแหน่งปิด
ไม่ใช่ตำแหน่งเปิด
ดังนั้นสมมุติฐานที่ว่า
valve
positioner ของ
LIC
3-22 มีปัญหานั้นจึงเป็นอันตกไป
๑๗.
ระดับของเหลวทางด้านล่างของ
V305
High pressure separator นั้นใช้อุปกรณ์วัดระดับชนิด
"Tubular
float gate" ยาว
3.6
m ที่ส่งสัญญาณไปควบคุมวาล์ว
LIC
3-22 และยังมี
"Nucleonic
level sensing gauge"
โดยเกจวัดระดับทั้งสองตัวติดตั้งอยู่กับ
"Bridle"
และยังส่งค่าที่วัดได้ไปบันทึกไว้บน
chart
recorder ที่
control
room
๑๘.
"Bridle"
หรือบางทีก็เรียกว่า
"Stand
pipe" (คนละตัวกับหัวจ่ายน้ำดับเพลิง)
มีลักษณะเป็น
vessel
หรือท่อที่ต่อพ่วงออกมาทางด้านข้างของตัว
vessel
(รูปที่
๑๔)
โดยวางตัวในแนวดิ่งขนานไปกับตัว
vessel
โดยอุปกรณ์วัดต่าง
ๆ จะต่อเข้ากับตัว bridle
นี้แทนที่จะต่อเข้ากับตัว
vessel
โดยตรง
การติดตั้ง bridle
ก็มีข้อดีหลายอย่างเช่น
สมมุติว่าต้องการเพิ่มจำนวนอุปกรณ์วัด
ก็ทำเพียงแค่เปลี่ยนตัว
bridle
ให้มีจุดเชื่อมต่อมากขึ้น
โดยไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับตัว
vessel
(ซึ่งอาจจะไม่มีจุดที่สามารถทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์เพิ่มได้อีก)
รูปที่
๑๔ ตัวอย่างการติดตั้งอุปกรณ์วัดระดับสองชนิดเข้ากับตัว
bridle
ตัวเดียวกันแทนที่จะติดตั้งเข้ากับตัว
vessel
โดยตรง
๑๙.
"Float gauge"
ในที่นี้เป็นอุปกรณ์วัดระดับที่ใช้ระดับของลูกลอยที่ลอยอยู่บนผิวของเหลวใน
float
chamber ที่ต่ออยู่กับ
Bridle
(รูปที่
๑๕)
เป็นตัวบ่งชี้
ในระบบที่ไม่ได้มีความดันสูงตัว
float
chamber
ก็อาจมีส่วนที่เป็นกระจกที่ทำให้สามารถมองเห็นระดับของลูกลอยได้โดยตรง
หรือใช้แสงและตัวรับแสงช่วยหาตำแหน่งของลูกลอยเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของลูกลอยให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยัง
control
room
หรือไม่ก็ใช้ลูกลอยที่เป็นแม่เหล็กที่สามารถส่งสนามแม่เหล็กออกมาเหนี่ยวนำหน่วยแสดงผลที่ติดคู่ขนานไปกับตัว
float
chamber
"Nucleonic
gauge"
ในที่นี้เป็นอุปกรณ์วัดระดับที่ใช้การฉายรังสีจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ทางฟากหนึ่ง
ผ่านตัว vessel
(ในที่นี้คือ
Bridle)
ไปยังตัวตรวจรับที่อยู่อีกทางฟากหนึ่งของตัว
vessel
ถ้าในตัว
vessel
ไม่มีของเหลวอยู่
รังสีที่ส่งผ่านก็จะไม่ถูกดูดกลืน
แต่ถ้าในตัว vessel
มีของเหลวเพิ่มขึ้น
ปริมาณรังสีที่ส่งไปถึงตัวตรวจรับที่อยู่อีกฟากหนึ่งของ
vessel
ก็จะลดต่ำลง
ข้อดีอีกข้อหนึ่งของอุปกรณ์วัดระดับที่ใช้การฉายรังสีคือสามารถใช้วัดระดับ
"ของแข็ง"
ที่บรรจุอยู่ใน
vessel
ได้ด้วย
ในรูปที่
๑๕
พึงสังเกตว่าอุปกรณ์วัดระดับทั้งสองตัวนั้นติดตั้งอยู่สูงกว่าระดับของก้นถัง
ดังนั้นเมื่อตัว float
gauge อ่านค่าระดับของเหลวได้
0%
ก็จะยังมีของเหลวค้างอยู่ใน
V305
อีกประมาณ
11500
ลิตร
รูปที่
๑๕ ภาพขยายบริเวณ Bridle
แสดงรายละเอียดส่วนของอุปกรณ์วัดระดับและสวิตช์ป้องกัน
(Float
switch)
๒๐.
สำหรับตัว
float
gauge ในที่นี้
ระดับที่เปลี่นแปลงไป 1%
หมายถึงปริมาตรของเหลวที่เปลี่ยนไป
266
ลิตร
สัญญาณที่ส่งออกมาจาก float
gauge ถูกส่งไปควบคุม
LIC
3-22 ถ้าระดับที่
float
gate อ่านได้ลดต่ำลงถึง
20%
ก็จะมีการแสดงสัญญาณเตือนในห้องควบคุมในรูปของเสียงเตือนและไฟเตือน
ซึ่งโอเปอร์เรเตอร์จะต้องรับรู้ว่ามีสัญญาณเตือนด้วยการกดปุ่ม
"acknowledge"
ซึ่งจะทำให้เสียงเงียบไปและไฟเตือนเปลี่ยนเป็นไฟกระพริบ
ซึ่งจะคงอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย
ๆ จนกว่าสภาวะที่ทำให้เกิดสัญญาณเตือนจะได้รับการแก้ไข
ตัว Low
level นี้ทำได้เพียงแค่เตือน
ไม่มีฟังก์ชันที่สามารถหยุดการทำงานของระบบ
(trip
fuction) หน้าที่ตรงนี้เป็นของ
float
switch ที่ติดตั้งอยู่ข้างใต้
float
gate อีกทีหนึ่ง
float
switchนี้มีจำนวน
2
ตัว
๒๑.
ในสภาพที่อากาศหนาวจัดนั้น
ของเหลวที่อยู่ในท่อที่เชื่อมต่อfloat
chamber กับ
bridle
หรือในตัว
float
chamber เองอาจแข็งตัวได้
ทำให้ค่าที่ float
gauge อ่านได้นั้นไม่ตรงกับความจริง
ด้วยเหตุนี้จึงมีการติดตั้ง
nucleonic
level sensing gauge เข้ากับตัว
bridle
โดยตรง
(เพราะโอกาสที่จะเกิดปัญหาการแข็งตัวต่ำกว่า)
แต่ด้วยการที่
nucleonic
level sensing gauge นั้นวัดระดับได้สูงเพียง
900
mm จึงไม่สามารถทำให้ตำแหน่งระดับ
0%
และ
100%
ของ
nucleonic
level sensing gauge และ
float
gauge ตรงพร้อมกันได้
ทางโรงงานจึงเลือกติดตั้งโดยให้ระดับ
50%
ของเกจทั้งสองอยู่ตรงกัน
การติดตั้งเช่นนี้ทำให้ระดับ
100%
ของ
nucleonic
level sensing gauge ตรงกับระดับ
63%
ของ
float
gauge และระดับ
0%
ของ
nucleonic
level sensing gauge ตรงกับระดับ
38%
ของ
float
gauge (รูปที่
๑๖)
วัตถุประสงค์หลักของการติดตั้ง
nucleonic
level sensing gauge ก็เพื่อตรวจสอบว่าลูกลอยของ
float
gauge นั้นค้างอยู่หรือไม่
คือไม่ลอยขึ้นลงตามระดับของเหลวที่แท้จริงอันเป็นผลจากการที่ของเหลวแข็งตัวโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อากาศหนาว
และด้วยการที่โอเปอร์เรเตอร์เชื่อว่าค่าที่
nucleonic
level sensing gauge อ่านได้นั้นไว้วางใจได้มากกว่าค่าที่
float
gauge อ่านได้
ก็มีส่วนร่วมในการทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้ด้วย
ตรงนี้ขอขยายความนิดนึง
สัญญาณไฟฟ้าที่อุปกรณ์วัดต่าง
ๆ ส่งมานั้นจะเป็นสัญญาณมาตรฐาน
ถ้าเป็นกระแสไฟฟ้าก็จะอยู่ในช่วง
4
- 20 mA (เป็นไฟกระแสตรงหรือ
DC)
โดยเมื่ออุปกรณ์วัดอ่านค่าได้ต่ำสุดหรือ
0%
ก็จะส่งสัญญาณขนาด
4
mA ออกมา
และเมื่ออ่านค่าได้สูงสุดหรือ
100%
ก็จะส่งสัญญาณขนาด
20
mA ออกมา
เหตุผลที่ไม่ตั้งค่าต่ำสุดไว้ที่
0
mA ก็เพื่อให้ตรวจสอบได้ว่าที่เห็นค่าที่อ่านได้เป็น
0%
นั้นไม่ได้เกิดจากการที่สายสัญญาณขาด
รูปที่
๑๖ เปรียบเทียบค่า float
gauge และ
nucleoic
level sensing gauge อ่านได้
๒๒.
ต่ำลงมาจาก
float
gauge ยังมีการติดตั้ง
float
switch อีก
2
ตัวที่ทำหน้าที่เป็น
"extra
low" level detection system โดยถ้าระดับของเหลวลดต่ำลงจน
float
swithc ทำงาน
ตัว float
switch จะส่งสัญญาณไปปิดทั้ง
LIC
3-22 และ
HIC
3-22 เพื่อป้องกันไม่ให้ของเหลวไหลออกจาก
V305
จนหมด
เพราะถ้าของเหลวไหลออกจาก
V305
จนจะส่งผลให้แก๊สความดันสูงไหลเข้าสู่
V306
ได้
float
switch สองตัวนี้ยังป้องกันไม่ให้เปิดวาล์ว
LIC
3-22 และ
HIC
3-22 ทั้งสองได้ถ้าหากระดับของเหลวใน
V305
นั้นยังต่ำเกินไป
เนื่องจากการรั่วไหลของแก๊สความดันสูงจาก
V305
เข้าสู่
V306
อาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงที่
V306
ได้
จึงทำการติดตั้ง float
swithเอาไว้
2
ตัวให้ทำหน้าที่เดียวกัน
จะเรียกว่าเป็นการป้องกันเผื่อว่ามีตัวใดตัวหนึ่งไม่ทำงาน
เพราะกลไกนี้เรียกว่าเป็นการป้องกันด่านสุดท้ายก็ได้
อันที่จริงการป้องกันอุปกรณ์ด้าน
downstream
ที่ทำงานที่ความดันที่ต่ำกว่าด้าน
upstream
ไม่ให้ได้รับความเสียหายถ้าหากความดันสูงด้าน
upstream
รั่วไหลลงมาถึงทำได้หลายวิธี
เช่นถ้าหาก operating
pressure ด้าน
upstream
และ
downstream
ไม่ได้ต่างกันมากนัก
ก็อาจใช้วิธีออกแบบอุปกรณ์ด้าน
downstream
ให้สามารถทนต่อความดันในระดับเดียวกับอุปกรณ์ด้าน
upstream
ก็ได้
นอกจากนี้ยังอาจใช้วิธีการจำกัดปริมาณการไหล
(เช่นด้วยการใช้ท่อที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเกินไปหรือทำการติดตั้ง
restriction
orifice)
โดยสมมุติกรณีวาล์วเชื่อมต่อด้านความดันสูงและด้านความดันต่ำเปิดเต็มที่
โดยอัตราการไหลผ่านท่อเชื่อมนั้นจะต้องไม่สูงเกินกว่าความสามารถของวาล์วระบายความดัน
แต่วิธีการหลังนี้อาจไม่เหมาะในกรณีที่ต้องการให้เฉพาะของเหลวไหลผ่านโดยไม่ให้แก๊สความดันสูงไหลผ่าน
เพราะขนาดของท่อหรือ
restriction
orifice
ที่ป้องกันไม่ให้แก๊สไหลผ่านเร็วเกินไปนั้นอาจไม่ใหญ่พอสำหรับการให้ของเหลวไหลผ่านด้วยอัตราที่ต้องการ
๒๓.
เมื่อต้องการให้ของไหล
(ไม่ว่าจะเป็นของเหลวหรือแก๊ส)
ความดันสูงมีความดันที่ลดต่ำลง
จำเป็นต้องให้ของไหลนั้นลดพลังงานในตัวลง
ซึ่งพลังงานที่ต้องลดลงนี้ถ้ามีไม่มากก็อาจจะปล่อยทิ้งไป
(เช่นในกรณีของ
throttling
process) แต่ถ้ามีมากก็อาจจะพิจารณานำกลับพลังงานส่วนนี้มาใช้ประโยชน์
เช่นให้สูญเสียพลังงานด้วยการไหลผ่านระบบกังหัน
(turbine)
(ในกรณีของของเหลวลองนึกภาพการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันไอน้ำดูก็ได้
ที่ให้น้ำด้านเหนือเขื่อนที่มีความดันสูงไหลผ่านกังหันไอน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าก่อนระบายลงสู่ด้านท้ายเขื่อน)
ในเหตุการณ์นี้แบบเริ่มแรกของโรงงานนั้นมีการติดตั้ง
recovery
turbine ไว้ระหว่าง
V305
และ
V306
ซึ่งถ้าของเหลวใน
V305
ต่ำเกินไปก็จะส่งผลต่อการทำงานของ
recovery
turbine ได้
ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการติดตั้ง
float
swith เอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้
recovery
turbine
เกิดปัญหาในการทำงานถ้าหากของเหลวไหลออกจนหมดและมีแก๊สความดันสูงไหลผ่านแทน
(นี่คือเหตุผลหลักเริ่มแรกที่ต้องติดตั้ง
float
switch ซึ่งจะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน
V306
เลย)
๒๔.
แม้ว่า
recovery
turbine จะถูกนำออกไปในช่วงกลางทศวรรษ
๑๙๗๐ (หรือประมาณ
๑๐ กว่าปีก่อนเกิดอุบัติเหตุ)
แต่การทำ
safety
audit ในปีค.ศ.
๑๙๗๕
(พ.ศ.
๒๕๑๘)
ก็ยังเห็นความสำคัญที่ควรต้องคง
float
switch เอาไว้เพราะมันสามารถช่วยป้องกัน
V306
ไม่ให้เกิดเหตุการณ์
over
pressure ได้
การทำ safety
audit ในครั้งนั้นยังได้กล่าวถึงปัญหาการควบคุมระดับของเหลวที่
V305
และยังได้แนะนำให้ทำการติดตั้งอุปกรณ์วัดระดับเพิ่มอีกชุดหนึ่ง
(ในรายงานใช้คำว่า
duplicate
ที่แปลว่าลอกเลียนแบบ
ซึ่งควรหมายถึงอุปกรณ์วัดระดับที่ติดตั้งเพิ่มควรต้องทำหน้าที่ได้เทียบเท่ากับของเดิมที่มีอยู่
คือวัดระดับได้ในช่วงเดียวกัน)
แต่ในความเป็นจริงกับทำการติดตั้ง
nucleonic
level sensing gauge ที่วัดระดับได้ในช่วงที่แคบกว่าแทน
นอกจากนี้การทำ safety
audit ยังได้มีการระบุเอาไว้ด้วยว่า
pressure
relief valve ของ
V306
นั้นไม่สามารถระบายแก๊สออกได้ทันถ้าหากแก๊สความดันสูงรั่วไหลมาถึง
อีก
๕ ปีถัดมาในปีค.ศ.
๑๙๘๐
(พ.ศ.
๒๕๒๓)
ได้มีการว่าจ้างผู้รับเหมาที่มีความเชี่ยวชาญให้มาตรวจสอบระบบระบายความดันออกสู่
flare
การตรวจสอบกระทำโดยใช้สมมุติฐานว่าตัว
extra
low level trip system ของ
V305
ทำงานปรกติ
ทำให้ได้ข้อสรุปว่าระบบป้องกันที่มีอยู่นั้นเพียงพอแล้ว
จึงไม่มีการให้คำแนะนำใด
ๆ ถึงที่เกี่ยวข้องกับ relief
valve
เรื่องเกี่ยวกับระบบป้องกันนี้ยังไม่หมด
แต่วันนี้เห็นว่าลากยาวมาถึง
๘ หน้าแล้วก็เลยต้องขอพักไว้ตรงนี้ก่อน
แล้วค่อยมาเล่าต่อในตอนถัดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น