วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

การปรับความดันในห้องทำงาน-ห้องปฏิบัติการ MO Memoir : Wednesday 12 September 2555

เมื่อตอนต้นเดือนได้ไปอบรมเรื่องราวเกี่ยวกับข้อกำหนดระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 : 2005 หรือที่ไทยเรามาในชื่อ มอก. ๑๗๐๒๕-๒๕๔๘

ในช่วงระหว่างการพักการอบรมนั้น ได้มีผู้ร่วมอบรมท่านหนึ่งเล่าถึงเรื่องที่ผู้ที่ทำงานร่วมกันที่บริษัทของเขานั้นบ่นเรื่องหายใจไม่ออกในระหว่างทำงาน เพราะในห้องทำงานนั้นมีการใช้ระบบ hood ดูดเอาอากาศออกไปเพื่อระบายอากาศ ผู้ปฏิบัติงานผู้นั้นเลยคิดว่าด้วยเหตุนี้จึงทำให้ความดันในห้องทำงานนั้นลดลง ทำให้เขาหายใจลำบาก

แต่พอคุยกันในรายละเอียดก็ปรากฏว่ายังไม่ควรที่จะสรุปว่าอาการหายใจไม่ออกนั้นมาจากการเปลี่ยนแปลงความดันอากาศ เพราะเขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าห้องทำงานห้องนั้นเป็นต้องมีการรักษาความดันอากาศหรือไม่

ห้องทำงานทั่วไปนั้นความดันอากาศภายในห้องทำงานจะเท่ากับความดันอากาศที่อยู่ข้างนอกห้องทำงานและอยู่นอกอาคาร กล่าวคือเท่ากับความดันบรรยากาศนั่นเอง แต่ก็มีบางกรณีเหมือนกันที่จำเป็นต้องมีการปรับความดันอากาศภายในห้องทำงานหรือห้องปฏิบัติการ ให้ "สูงกว่า" หรือ "ต่ำกว่า" ความดันบรรยากาศ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย

การปรับความดันภายในห้องทำงานหรือห้องปฏิบัติการให้ "สูงกว่า" หรือ "ต่ำกว่า" ความดันบรรยากาศนั้นไม่ได้หมายความว่าความดันในห้องนั้นจะแตกต่างจากความดันบรรยากาศมากจนส่งผลกระทบต่อผู้คนที่ทำงานในห้องนั้น มันแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย (ระดับนิ้วน้ำ) เท่านั้นเอง เอาเป็นว่าถ้าเราปิดประตูหน้าต่างห้องทำงานนั้นให้หมด ถ้าเป็นกรณีที่ความดันในห้อง "สูงกว่า" ความดันบรรยากาศ ถ้าเราตรวจด้านนอกของห้องเราจะรู้สึกว่ามีลมพัดออกมาตามช่องว่าง เช่นขอบล่างประตู หรือขอบหน้าต่าง-ประตูที่ปิดไม่สนิท ออกมาข้างนอกห้อง 
 
ในทางกลับกันถ้าเป็นกรณีที่ความดันในห้อง "ต่ำกว่า" ความดันบรรยากาศ ถ้าเราตรวจด้านในของห้องเราจะรู้สึกว่ามีลมพัดเข้ามาในห้องตามซอกต่าง ๆ ที่อากาศสามารถไหลเข้ามาในห้องได้

การปรับความดันในห้องทำงานหรือป้องปฏิบัติการให้สูงกว่าความดันบรรยากาศข้างนอกนั้นกระทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้แก๊สที่เป็นอันตรายรั่วไหลเข้ามาในห้องทำงานหรือห้องปฏิบัติการได้ กรณีเช่นนี้พบเห็นได้ทั่วไปในห้องทำงานหรือห้องปฏิบัติการในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและกลั่นน้ำมัน เช่นห้องควบคุม (control room) ห้อง switch gear (อุปกรณ์ตัด-ต่อการจ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่องจักร) หรือ analyser house ที่เป็นที่ตั้งเครื่องวิเคราะห์ทางเคมีต่าง ๆ เช่น gas chromatrograph) ที่ตั้งอยู่ใน hazadous area (เรื่องเกี่ยวกับ hazadous area ให้ไปดูที่ Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๔๐ วันพุธที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "Electrical safety for chemical process")

ในอุตสาหกรรมเหล่านี้ แก๊สที่มีความหนาแน่น "สูงกว่า" อากาศถือว่าเป็นแก๊สอันตราย เพราะแก๊สพวกนี้เมื่อรั่วไหลออกมาจะมีโอกาสสูงที่จะสะสมจนมีระดับความเข้มข้นสูงที่ระดับพื้นดิน เพราะไม่ค่อยกระจายตัวออกไป ส่วนแก๊สที่มีความหนาแน่น "ต่ำกว่า" อากาศนั้นจะถือว่าค่อนข้างปลอดภัย เพราะเมื่อรั่วไหลออกมาจะฟุ้งกระจายไปในอากาศได้ง่าย โอกาสที่จะสะสมจนมีความเข้มข้นสูงจะต่ำกว่า
ดังนั้นห้องทำงานในพื้นที่เหล่านี้จะมีการใช้พัดลมดูดอากาศจากที่สูง (ก็คือเหนือหลังคาอาคาร) อัดอากาศเข้ามาในห้องทำงาน เพื่อให้มีอากาศรั่วไหลออกข้างนอกตามซอกประตู (เวลาที่ประตูปิด) หรือออกทางประตู (เวลาเปิดประตู) ตลอดเวลา (ดูรูปที่ ๑) นอกจากนี้ประตูเข้าออกมักจะเป็นประตูสองชั้นด้วย แถมบางที่มีสัญญาณเตือนถ้าประตูปิดไม่สนิท

มาถึงตรงนี้อาจมีคนสงสัยว่าแล้วหน้าต่างล่ะ ไม่มีการรั่วออกเหรอ คำตอบก็คือห้องพวกนี้มักไม่มีหน้าต่าง เพราะหน้าต่างเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้อยู่ข้างในได้ถ้ามีเหตุการณ์ระเบิดข้างนอกอาคาร โครงสร้างอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ (เช่นผนังและเสา) มักจะออกแบบมาให้แข็งแรงกว่าอาคารสำนักงานทั่วไป คือสามารถรับแรงระเบิดได้ขนาดหนึ่ง (แต่ไม่ได้หมายความว่าทนได้ทุกระดับ) เพื่อป้องกันอันตรายจากการระเบิด

รูปที่ ๑ อาคาร (ไม่ว่าจะเป็นห้องควบคุม ห้องทำงาน ห้องเครื่องมือวิเคราะห์) ที่อยู่ในเขต hazadous area นั้นจะเป็นอาคารปิด โดยจะดูดอากาศจากด้านบนและอัดเข้ามาในตัวอาคาร เพื่อให้มีอากาศรั่วออกตลอดเวลา ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้แก๊สที่รั่วและสะสมอยู่ระดับพื้นนั้นรั่วไหลเข้าไปในอาคารได้ การยกตัวอาคารให้สูงจากพื้นก็เป็นการช่วยป้องกันไม่ให้แก๊สที่สะสมอยู่ที่ระดับพื้นมีโอกาสเร็ดรอดเข้าไปในตัวอาคาร

ห้องควบคุมของโรงงานปิโตรเคมีแห่งหนึ่งที่ผมมีโอกาสได้เห็นตอนก่อสร้างนั้น ใช้วิธีการผูกเหล็กเส้นของเสาอาคารและผนังรอบด้านให้เป็นชิ้นต่อเนื่องกัน จากนั้นจึงทำการตีแม่แบบและเทคอนกรีตหล่อตัวเสากับผนังอาคารให้เป็นคอนกรีตชิ้นเดียวกัน (อาคารทั่วไปจะหล่อเสาและคานก่อน จากนั้นจึงค่อยก่ออิฐเป็นผนังไปจนถึงใต้คาน)

แก๊สโครมาโทกราฟ (gas chromatograph - GC) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเคมีชนิดหนึ่งที่มีการใช้งานกันทั่วไปในโรงงานปิโตรเคมีและกลั่นน้ำมัน เครื่อง GC นี้ใช้ในการวิเคราะห์องค์ประกอบของสารในกระบวนการผลิตว่าเป็นไปตามข้อกำหนดหรือไม่ การวิเคราะห์นั้นใช้วิธีการเดินท่อเก็บตัวอย่างจากท่อของกระบวนการผลิตมายังระบบฉีดตัวอย่างของเครื่อง GC เพื่อให้การวิเคราะห์มีปัญหาน้อยที่สุดต้องหาทางทำให้ท่อเก็บตัวอย่างสั้นที่สุด ดังนั้นเครื่องมือชนิดนี้จึงมักต้องติดตั้งในพื้นที่ของกระบวนการผลิต แต่เนื่องจากเครื่อง GC ที่ผลิตกันนั้นไม่มีชนิดใดเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิด explosion proof เลย การติดตั้งเครื่อง GC ในบริเวณ hazadous area จึงต้องติดตั้งในห้องพิเศษ (บางทีเรียก analyer room) ที่มีการอัดความดันในห้องให้สูงกว่าความดันข้างนอก

Switch gear เป็นอุปกรณ์ตัดต่อวงจรไฟฟ้าสำหรับระบบไฟฟ้าแรงสูง ในโรงงานอุตสาหกรรมเคมี ปิโตรเคมี และกลั่นน้ำมันนั้น อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีจำนวนมากที่สุดเห็นจะได้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อน ปั๊ม คอมเพรสเซอร์ และใบพัดกวน ต่าง ๆ การเปิด-ปิดการทำงานมอเตอร์ขับเคลื่อนอุปกรณ์พวกนี้บางตัวอาจสั่งการตรงจากห้องควบคุม เช่นพวกใบพัดกวน แต่ถ้าเป็นพวกปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์มักจะสั่งการจากหน้าตัวเครื่อง (เพราะต้องมีการเปิด-ปิดวาล์วในการเริ่มเดินเครื่องหรือหยุดการเดินเครื่อง)

ในการจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์นั้น ขั้วไฟฟ้าของ switch gear จะเข้ามาสัมผัสกันเพื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลจากแหล่งจ่ายไปยังอุปกรณ์ได้ และเมื่อต้องการหยุดการจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์นั้น ขั้วไฟฟ้าของ switch gear จะแยกออกจากกันเพื่อไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลไปยังอุปกรณ์ได้ จังหวะที่ขั้วไฟฟ้าสองขั้วเข้ามาอยู่ใกล้กันโดยที่ไม่สัมผัสกัน เช่นในจังหวะที่กำลังเคลื่อนเข้าหากันก่อนสัมผัส หรือในจังหวะที่เพิ่งจะแยกออกจากกันได้เพียงเล็กน้อย แรงเคลื่อนไฟฟ้าระหว่างขั้วไฟฟ้าที่อยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยนั้นจะทำให้เกิดประกายไฟ (spark) กระโดยข้ามระหว่างขั้วไฟฟ้าทั้งสองได้ (ดังนั้นจะยังมีการไหลของกระแสไฟฟ้าอยู่แม้ว่าขั้วไฟฟ้าจะไม่ได้สัมผัสกัน)

ดังนั้นการปิด-เปิดมอเตอร์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการขับเคลื่อนปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์นั้น ปุ่มกดต่าง ๆ ที่อยู่หน้างานตรงหน้าตัวปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์ตัวนั้นมักจะไม่ใช่สวิตช์ที่ทำการจ่ายไฟให้กับมอเตอร์ตัวนั้น แต่เป็นปุ่มของสวิตช์รีเลย์ที่จะไปสั่งให้ switch gear จ่ายกระแสไฟฟ้าหรือตัดกระแสไฟฟ้าที่จ่ายให้มอเตอร์ตัวนั้น โดยตัว switch gear มักจะไปตั้งในอาคารที่การอัดความดันภายในให้สูงกว่าภายนอกเช่นเดียวกัน (รูปที่ ๒ - บางแห่งเรียกห้องนี้ว่า sub station เพราะบางที่ก็รวมเอาหม้อแปลงแปลงไฟแรงสูงให้กลายเป็นไฟแรงต่ำสำหรับมอเตอร์แต่ละขนาด)

รูปที่ ๒ แผงผังอย่างง่ายแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของสวิตช์เปิด-ปิดและการจ่ายไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ในโรงงาน

สำหรับห้องปฏิบัติการที่มีการปฏิบัติงานที่ใช้สิ่งที่เป็นอันตราย (เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส สารเคมีที่เป็นพิษสูง สารกัมมันตภาพรังสี) ในห้องปฏิบัติการนั้น จะทำให้ความดันในห้องปฏิบัติการนั้นต่ำกว่าความดันบรรยากาศนอกห้องอยู่เล็กน้อย ห้องปฏิบัติการ กลุ่มนี้จะมีระบบดูดอากาศภายในห้องปฏิบัติการนำไปผ่านระบบบำบัด เพื่อกำจัดสิ่งที่เป็นอันตรายที่อาจหลุดรอดออกมาจากการทดลอง ก่อนปล่อยอากาศทิ้งสู่ภายนอก อากาศภายนอกจะเข้ามาในห้องได้ในจังหวะที่เปิดประตูหรือรั่วไหลเข้ามาตามช่องว่างของประตูหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท (เช่นร่องใต้ประตู) การที่ทำให้ความดันในห้องปฏิบัติการต่ำกว่าความดันข้างนอกก็เพื่อให้มั่นใจว่าในกรณีที่เกิดการรั่วไหลขึ้นในห้องปฏิบัติการ สิ่งที่รั่วไหลออกมานั้นจะไม่หลุดรอดออกไปนอกห้องโดยไม่ถูกกำจัด (ดูรูปที่ ๓ ประกอบ)

รูปที่ ๓ ห้องปฏิบัติการที่มีการทำงานเกี่ยวกับสารอันตราย (เช่นเชื้อโรค สารกัมมันตภาพรังสี สารเคมีความเป็นพิษสูง) จะรักษาความดันในห้องปฏิบัติการให้ต่ำกว่าความดันอากาศข้างนอกห้องเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้สิ่งที่รั่วไหลออกมานั้นไม่รั่วออกไปข้างนอกเว้นแต่จะต้องผ่านระบบฟอกอากาศ/กำจัดสารพิษก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศ

ผมได้ไปเห็นห้องควบคุมที่โรงงานแห่งหนึ่ง ซึ่งก็เป็นห้องอัดความดัน แต่โรงงานของเขานั้นตั้งอยู่บนพื้นที่สูงต่ำไม่เท่ากัน ตอนมายืนดูหน้าห้องควบคุมก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เพราะห้องควบคุมตั้งอยู่ที่ระดับพื้นที่ต่ำกว่าที่ระดับพื้นของ process area ยังคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าเกิดแก๊สรั่วขึ้นมา ห้องควบคุมของเขาจะเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า