เรามาต่อกันที่เกณฑ์ข้อที่สองที่บทความของ
Lercher
และคณะกล่าวไว้คือ
"สเปกตรัมการดูดกลืนแสงอินฟราเรด
(IR)
ของ
probe
molecule ควรที่จะบ่งบอกได้ว่าเป็นการดูดซับบนตำแหน่งกรด
Brönsted
หรือ
Lewis"
(ผมไมได้แปลถอดศัพท์จากบทความออกมาตรง
ๆ แต่สรุปใจความขึ้นมาใหม่โดยคงความหมายเดิมเอาไว้)
อย่างที่เป็นที่ทราบกันทั่วไปคือกรดชนิด
Brönsted
คือกรดที่ให้โปรตอน
ส่วนกรดชนิด Lewis
คือกรดที่รับคู่อิเล็กตรอน
คำถามที่ตามมาก็คือในปฏิกิริยาเดียวกัน
ถ้าใช้กรดต่างชนิดกัน
ผลจะออกมาแตกต่างกันหรือไม่
เพื่อให้เห็นภาพเราจะลองเริ่มจากตัวอย่างง่าย
ๆ ด้วยปฏิกิริยา alcohol
dehydration ที่ใฃ้กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาดังแสดงในรูปที่
๑ ก่อน (ตรงนี้ของบันทึกไว้นิดนึง
ในปฏิกิริยาการดึงหมู่ -OH
ออกนั้นเรามักจะเห็นการใช้กรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
แต่ก็มีบางกรณีเหมือนกันที่เบสก็สามารถทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาได้
เช่นกรณีของปฏิกิริยา aldol
condensation ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เป็น
enone
หรือ
α,β-unsaturated
carbonyl) ผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยานี้อาจะเป็นการเกิดพันธะ
C=C
(ถ้าใช้อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาที่สูง)
หรือการต่อโมเลกุลแอลกอฮอล์
2
โมเลกุลเข้าด้วยกันเป็นสารประกอบอีเทอร์
(ถ้าใช้อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาที่ต่ำลง)
แต่ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะกรณีการเกิดพันธะ
C=C
รูปที่
๑ ปฏิกิริยา dehydration
ด้วยกรด
ของ 2-propanol
(isopropanol) ไปเป็นโพรพิลีน
(propylene)
เมื่อ
LA
คือ
Lewsi
acid
กลไกการเกิดปฏิกิริยานี้มีการนำเสนอกันหลายรูปแบบ
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมันขึ้นอยู่กับชนิดของแอลกอฮอล์ด้วยว่าหมู่
-OH
อยู่ที่ตำแหน่งไหน
(คือเป็น
primary,
secondary หรือ
tertiary
alcohol) ตัวอย่างเฃ่นในกรณีของ
2-propanol
ที่ยกมานั้น
ในกรณีของกรด Brönsted
ที่เป็นกรดแก่
H+
จะเข้าไปเกาะที่อะตอม
O
ก่อน
(เพราะอะตอม
O
มันมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวที่แบ่งปันให้
H+
ได้)
ทำให้หมู่
-OH
กลายเป็น
-O+H2
ตามด้วยการที่อะตอม
O
ไปดึงเอาอะตอม
H
ที่เกาะอยู่กับอะตอม
C
ตัวที่อะตอม
O
มันเกาะอยู่
และหลุดออกไปในรูป H3O+
(หรือ
H2O
+ H+)
ส่วนโครงสร้างที่เหลือก็มีการย้ายอะตอม
H
จากอะตอม
C
ที่อยู่ข้าง
ๆ มายังอะตอม C
ที่คายหมู่
H3O+
ออกไป
เกิดเป็นพันธะคู่ C=C
ในกรณีของการใฃ้กรด
Lewis
ปฏิกิริยาก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน
คือกรด Lewis
จะจับเข้ากับอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของอะตอม
O
ตามด้วยการย้ายตำแหน่งของอะตอม
H
และการหลุดออกของหมู่
-OH2
ในรูปโมเลกุลน้ำ
และการเกิดพันธะคู่ C=C
ถ้าว่ากันตามตัวอย่างที่ยกมาก็จะเห็นว่าแม้ว่าจะใช้กรดต่างชนิดกัน
ผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ได้มานั้นก็เหมือนกัน
คำถามที่ตามมาก็คือ
"แล้วทำไมเราจำเป็นต้องรู้ว่ากรดบนพื้นผิวของแข็งที่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาดังกล่าวได้นั้นเป็นชนิด
Brönsted
หรือ
Lewis
มันมีความสำคัญมากนักหรือ"
เพื่อที่จะตอบคำถามนี้เราลองมาดูตัวอย่างปฏิกิริยา
dehydration
ของ
2-butanol
ไปเป็น
butene
ที่มีการใช้ของแข็งที่พื้นผิวมีความเป็นกรดทั้งชนิด
Brönsted
และ
Lewis
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
(รูปที่
๒)
ในการทดลองนี้เขาเริ่มด้วยการให้ปฏิกิริยาดำเนินไปข้างหน้าเป็นช่วงเวลาหนึ่งก่อน
จากนั้นจึงเติมเบสเข้าไปสะเทินตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิว
โดย pyridine
ที่เติมเข้าไปจะเข้าไปเกาะทั้งตำแหน่งกรด
Brönsted
และ
Lewis
ในขณะที่
2,6-di-tert-butylpyridine
จะเข้าไปเกาะที่ตำแหน่งกรด
Brönsted
เป็นหลัก
(คือเข้าไปสะเทินเฉพาะตำแหน่งกรด
Brönsted
โดยไม่เข้าไปยุ่งกับตำแหน่งกรด
Lewis)
รูปที่
๒ ผลชองการเติมเบส (pyridine
หรือ
2,6-di-tert-butylpyridine)
ที่เข้าไปสะเทินตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง
โดย pyridine
จะเข้าไปสะเทินทั้งตำแหน่งกรด
Brönsted
และ
Lewis
(ขึ้นอยู่กับว่ามันเข้าไปเจอตัวไหนก่อน)
ในขณะที่
2,6-di-tert-butylpyridine
จะเข้าไปสะเทินเฉพาะตำแหน่งกรด
Brönsted
เป็นหลัก
จากผลการทดลองในรูปจะเห็นได้ชัดว่าเมื่อเริ่มเติม
base
เข้าไป
อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะลดต่ำลง
โดยเฉพาะกรณีของการเติม
2,6-di-tert-butylpyridine
ที่เข้าไปสะเทินเฉพาะตำแหน่งกรด
Brönsted
เป็นหลักนั้น
(ตำแหน่งกรด
Lewis
ไม่ได้ถูกสะเทินไปด้วย)
อัตราการเกิดปฏิกิริยามีการลดลงที่มากกว่ากรณีของการเติม
pyridine
แสดงว่าปฏิกิริยานี้ชอบที่จะเกิดบนตำแหน่งกรด
Brönsted
บนพื้นผิวของแข็งนั้น
ตำแหน่งของกรด Brönsted
จะเข้าถึงได้ง่ายกว่าตำแหน่งกรด
Lewis
คือจะมองว่าหมู่
-OH
มันอยู่บนพื้นผิวชั้นบนสุดก็ได้
ในขณะที่ตำแหน่งกรด Lewis
หรือไอออนบวกของโลหะนั้นจะอยู่ที่ระดับที่ต่ำกว่า
(หรือมีไอออน
O2-
ขวางทางอยู่
ในกรณีของโมเลกุลเบสขนาดเล็กเช่น
pyridine
(หรือแอลกฮอล์โมเลกุลเล็ก)
โมเลกุลดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ทั้งคำแหน่งกรด
Brönsted
และ
Lewis
แต่ถ้าโมเลกุลเบสมีขนาดใหญ่เช่นกรณีของ
2,6-di-tert-butylpyridine
กิ่งก้านของโมเลกุลนั้นจะขัดขวางไม่ให้ตำแหน่งที่เป็นเบสเข้าถึงตำแหน่งกรด
Lewis
ได้
(รูปที่
๓)
และนี่ก็คือคำอธิบายว่าทำไมในหลายกรณีด้วยกัน
เราจำเป็นต้องรู้ว่ากรดที่ทำปฏิกิริยาได้นี้นั้นควรเป็นชนิด
Brönsted
หรือ
Lewis
รูปที่
๓ การเข้าสะเทินตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งของ
pyridine
และ
2,6-di-tert-butylpyridine
อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นผลของการใช้กรดต่างประเภทกันคงได้แก่ปฏิกิริยาระหว่างพันธะคู่
C=C
กับกรด
HX
ในปฏิกิริยา
electrophilic
substitution ของวงแหวนเบนซีน
เช่นกรณีระหว่างเอทิลีนกับ
HCl
ในรูปที่
๔ ข้างล่าง ในสภาวะที่มีแต่เอทิลีนและ
HCl
นั้นสารทั้งสองจะทำปฏิกิริยากันเองได้ผลิตภัณฑ์เป็น
chloroethane
โดยไม่มีการเกิดปฏิกิริยากับเบนซีน
แต่ในสภาวะที่มีกรด Lewis
เช่น
AlCl3
ร่วมด้วยนั้น
อะตอม Cl
ของ
HCl
จะถูก
Al3+
ดึงเข้าหา
ทำให้ HCl
นั้นมีความเป็นกรดที่แรงมากขึ้นจนสามารถจ่าย
H+
ให้กับพันธะคู่
C=C
ที่เป็น
Lewis
base ที่อ่อนได้
ผลิตภัณฑ์ที่ได้คือ ethyl
carbocation
ที่สามารถเข้าไปดึงอิเล็กตรอนจากวงแหวนเบนซีนและสร้างพันธะกับวงแหวนเบนซีนได้
รูปที่
๔ (บน)
ปฏิกิริยาระหว่างเอทิลีนกับ
HCl
จะได้
chloroethane
แต่ในสภาวะที่มีกรด
Lewis
เช่น
AlCl3
(ล่าง)
เอทิลีนจะกลายเป็น
carbocation
ที่สามารถเข้าทำปฏิกิริยากับวงแหวนเบนซีนได้
เบสที่นิยมนำมาใช้จำแนกประเภทกรดบนพื้นผิวของแข็งว่าเป็น
Brönsted
หรือ
Lewis
นั้นมีอยู่ด้วยกัน
2
ตัวคือแอมโมเนียและไพริดีน
ทั้งนี้เพราะเบสทั้งสองเมื่อเกาะลงบนกรดต่างชนิดกัน
รูปแบบการยึดเกาะจะแตกต่างกัน
(รูปที่
๕)
ทำให้รูปแบบการสั่นของโมเลกุลแตกต่างกันไปด้วย
จึงสามารถวิเคราะห์จากการวัดการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดได้ว่าการเกาะนั้นเกิดขึ้นที่ตำแหน่งกรดแบบไหน
รูปที่
๕ รูปแบบการดูดซับโมเลกุลแอมโมเนียและไพริดีนบนตำแหน่งกรด
Brönsted
และ
Lewis
ในสภาพที่เป็นแก๊สนั้นแม้ว่าแอมโมเนียจะมีฤทธิ์เป็นเบสที่อ่อนกว่าไพริดีน
แต่แอมโมเนียก็มีข้อดีตรงที่มันเป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้อง
มีขนาดโมเลกุลเล็ก
ทำให้สามารถแพร่เข้าไปถึงตำแหน่งกรดที่อยู่ในรูพรุนขนาดเล็กได้ง่าย
ส่วนไพริดีนั้นแม้ว่าในสภาพแก๊สจะมีความเป็นเบสที่แรงกว่า
ซึ่งเหมาะกับการวัดตำแหน่งกรดที่มีความแรงต่ำ
แต่ด้วยการที่มันมีจุดเดือดที่สูงทำให้ต้องใช้อุณหภูมิเริ่มต้นการวัดที่สูง
หรือต้องกระทำในสุญญากาศ
(เพื่อให้ไพริดีนกลายเป็นไอ)
แต่ก็มีจุดเด่นคือตำแหน่งพีคการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นค่อนข้างจะเด่นชัดกว่ากรณีของแอมโมเนีย
NH4+
บนพื้นผิว
(ที่เกิดจากการดูดซับบนตำแหน่งกรด
Brönsted)
แสดงการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่ช่วงเลขคลื่นประมาณ
1450
และ
3300
cm-1 ในขณะที่
H3N-Mn+
(ที่เกิดจากการดูดซับบนตำแหน่งกรด
Lewis)
แสดงการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่ช่วงเลขคลื่นประมาณ
1250,
1630 และ
3330
cm-1
โดยช่วงเลขคลื่นที่นิยมใช้สำหรับการระบุว่าเป็นการดูดซับบนตำแหน่งกรด
Brönsted
คือ
1450
cm-1
และช่วงเลขคลื่นที่นิยมใช้สำหรับการระบุว่าเป็นการดูดซับบนตำแหน่งกรด
Lewis
คือ
16.0
cm-1 (เหตุผลทึ่เขาไม่นิยมใช้ช่วงเลขคลื่นที่
3300
หรือ
3330
cm-1 ก็คือบริเวณดังกล่าวมันซ้อนทับกับการสั่นของหมู่
-OH
ของโมเลกุลน้ำ
และในระหว่างการเตรียมตัวอย่างนั้นตัวอย่างก็มักจะดูดซับเอาความชื้นจากอากาศเอาไว้ได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้เส้นทางการเดินของแสงอินฟราเรดจากแหล่งกำเนิดไปยังตัวอย่างและตัวตรวจวัดนั้น
ก็มีช่วงที่ต้องเดินทางผ่านอากาศที่มีความชื้นอยู่ด้วย
จึงทำให้เห็นสัญญาณการดูดกลืนของน้ำเป็นประจำ)
ส่วนในกรณีของไพริดีนนั้นนิยมใช้การดูดกลืนที่เลขคลื่นประมาณ
1540
cm-1 บ่งบอกถึงการดูดซับบนตำแหน่งกรด
Brönsted
และที่เลขคลื่นประมาณ
1445
cm-1 บ่งบอกถึงการดูดซับบนตำแหน่งกรด
Lewis
ผมเองไม่เคยทดลองกับแอมโมเนีย
เคยแต่ทดลองทำกับไพริดีน
ซึ่งก็ได้เคยยกตัวอย่างสเปกตรัมการดูดกลืนแสงอินฟราเรดของไพริดีนที่เกาะบนตำแหน่งกรด
Brönsted
และ
Lewis
ไว้ใน
Memoir
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๕๔๖ วันจันทร์ที่
๒๓ เมษายน ๒๕๖๑ เรื่อง
"การจำแนกตำแหน่งที่เป็นกรด Bronsted และ Lewis บนพื้นผิวของแข็งด้วยเทคนิค Infrared spectroscopy และ Adsorbed probe molecules"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น