ช่วงเทศกาลทีไร
สำหรับคนในกรุงเทพก็มักจะมีคำเชิญชวนให้ไปไหว้พระเก้าวัดเพื่อเสริมสิริมงคล
ผมก็เคยถามคนที่ไปไหว้พระเก้าวัดว่าไปแล้วได้อะไร
เพราะเห็นคนที่ไปไหว้พระเก้าวัดมักจะห่วงว่าจะไหว้พระไม่ครบเก้าวัดในหนึ่งวัน
คือแทนที่จะทำให้การเข้าวัดนั้นเป็นไปเพื่อทำให้จิตใจสงบ
จะได้มีสติเวลาจะทำงานทำการใด
ๆ และตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท
กลับทำให้กระวนกระวายใจหนักเข้าไปอีกเพราะกลัวว่าจะไม่ทันเวลา
จะว่าไปแล้วช่วงสิ้นปีผมก็แวะไปเข้าวัดเหมือนกัน
คือไปวัดเบญจมบพิตร
ที่ไปวัดดังกล่าวก็เป็นเพราะยังไม่เคยไปสักครั้ง
อยู่กรุงเทพมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว
นั่งรถผ่านวัดนี้ไม่รู้กี่พันครั้ง
แต่ไม่เคยย่างเท้าเข้าไปเหยียบสักที
ช่วงสิ้นปีก็เลยถือโอกาสชวนภรรยาไปวัดนี้ด้วย
ซึ่งก็เป็นการไปวัดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของทั้งคู่
ถัดจากวัดเบญจมบพิตรก็ไปยังศาลหลักเมืองต่อ
จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่มาที่นี้มันเมื่อไร
แต่ดูเหมือนว่าตอนนั้นยังเด็กมาก
วันนั้นอากาศดีก็อาศัยการเดินจากวัดเบญจมบพิตรไปตามถนนราชดำเนิน
แวะกินข้าวเที่ยงร้านข้าวแกงปักษ์ใต้บนทางเท้าที่แถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ได้เสื้อยืดเป็นของที่ระลึกมาหนึ่งตัว
จากนั้นก็แวะไปดูลอตเตอรี่ที่แยกคอกวัว
ก็ได้ดูอย่างเดียวไม่ได้ซื้อสักใบ
เพราะไม่ค่อยมีโชคทางด้านนี้อยู่แล้ว
จากนั้นก็เดินต่อไปยังศาลหลักเมือง
ที่ศาลหลักเมืองปรากฏว่าคนเยอะไปหมด
คือมีแต่คนไปกราบไหว้ศาลหลักเมือง
แต่ที่ถนนหลักเมืองที่อยู่ข้างศาลหลักเมืองนั้นกลับแทบจะไม่มีคนเลย
ทั้ง ๆ
ที่ผมเห็นว่ามันมีสิ่งน่าสนใจทางประวัติศาสตร์อยู่สิ่งหนึ่ง
นั่นคือ "รางรถราง"
รูปที่
๑ ป้ายนี้อยู่ข้างศาลหลักเมือง
ตรงจุดต้นทางรถรางสายบางคอแหลม
สายนี้มีความยาว ๙.๑๘
กิโลเมตร
ตรงข้างศาลหลักเมืองนั้นทางกรุงเทพมหานครได้นำป้ายไปปักไว้บอกว่า
"รถรางสายบางคอแหลม"
(รูปที่
๑)
แต่ไม่ยักพูดถึงปีที่เริ่มให้บริการและปีที่สิ้นสุดการให้บริการ
หรือไม่ได้บอกให้เห็นว่าบนพื้นถนนตรงหน้าป้ายมีรางรถรางอยู่
จากแผนที่ที่ค้นได้นั้น
ตรงถนนหลักเมืองข้างศาลหลักเมืองนั้นเป็นปลายทางด้านหนึ่งของรถรางสายบางคอแหลม
ที่เริ่มจากข้างศาลหลักเมือง
ไปตามถนนหลักเมือง
(ข้างกระทรวงกลาโหม)
จากนั้นก็ลัดเลาะออกมาจนโผล่ถนนเจริญกรุง
และไปสุดทางที่ถนนตก
แผนที่เส้นทางรถรางในกรุงเทพในปีค.ศ.
๑๙๓๐
(พ.ศ.
๒๔๗๓)
ในรูปที่
๒ นั้นแสดงเครือข่ายรถรางเอาไว้ทั่วกรุง
และยังมีรถไฟสายปากน้ำและรถไฟสายมหาชัย-แม่กลองที่เริ่มจากสถานีคลองสาน
(ปัจจุบันเริ่มจากสถานีวงเวียนใหญ่)
รูปที่
๒ แผนที่เส้นทางรถรางในกรุงเทพมหาครในปึค.ศ.
๑๙๓๐
(พ.ศ.
๒๔๗๓)
ทางด้านทิศเหนือไปไกลสุดที่บางซื่อ
ส่วนทางด้านทิศใต้ไปไกลสุดที่ถนนตก
ส่วนด้านตะวันออกนั้นไปถึงคลองเตย
ตรงถนนพระราม ๔ จะเห็นมีทั้งรถราง
รถไฟสายปากน้ำ และคลอง
(ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นถนนไปแล้ว
แต่ยังมีชื่อสถานที่ที่เป็นอนุสรณ์อยู่
เช่นแยกสะพานเหลือง)
รูปต้นฉบับความละเอียดสูงดูได้จาก
http://2bangkok.com/2bangkok-tram-index.html
รูปที่
๓
แผนที่เส้นทางรถรางในกรุงเทพมหาครในเว็บที่ไปเอารูปนี้มาบอกว่าประมาณปึค.ศ.
๑๙๕๐
(พ.ศ.
๒๔๙๓)
รูปต้นฉบับความละเอียดสูงดูได้จาก
http://www.mappery.com/Bangkok-Tramway-Map
รูปที่
๓ เป็นแผนที่เส้นทางรถรางในกรุงเทพมหาคร
ในเว็บที่ผมไปเอารูปนี้มาเขาบอกว่าประมาณปึค.ศ.
๑๙๕๐
(พ.ศ.
๒๔๙๓)
หรืออีก
๒๐ ปีถัดมา
แต่ถ้าพิจารณาจากแผนที่แล้วคิดว่าน่าจะทำหลังปีค.ศ.
๑๙๖๘
เพราะมีการกล่าวถึงเส้นทางที่ใช้งานจนกระทั่งปีค.ศ.
๑๙๖๘
(ในกรอบที่มุมซ้ายล่างของรูปที่ขีดเส้นใต้สีแดง)
และในแผนที่นี้ก็มีสะพานกรุงธนปรากฏอยู่ทางด้านมุมซ้ายบน
(ในกรอบสีแดง)
ซึ่งสะพานกรุงธนนั้นเปิดใช้เมื่อปีพ.ศ.
๒๕๐๐
(หรือปีค.ศ.
๑๙๕๗)
ดังนั้นการที่ผู้ที่นำภาพนี้ไปโพสไว้แล้วกล่าวว่าเป็นภาพประมาณปีค.ศ.
๑๙๕๐
นั้นน่าจะเป็นการเข้าใจผิด
โดยไปตีความหมายเลข 1950
ที่ปรากฏใต้กรอบมุมซ้ายบนของภาพว่าเป็นเส้นทางในช่วงปีค.ศ.
ดังกล่าว
รูปที่
๔ ภาพขยายของรูปที่ ๓
แผนที่ในรูปที่
๒ ยังบอกให้เราทราบด้วยว่าในกรุงเทพมีรถรางอยู่
๑๐ เส้นทาง (ไม่รวมรถไฟสายปากน้ำและรถไฟสายแม่กลอง)
คือ
๑.
สายบางคอแหลม
เริ่มจากข้างศาลหลักเมือง
ออกมาเข้าถนนเจริญกรุง
จนไปถึงถนนตก
๒. สายสามเสน เริ่มจากบางซื่อ ไปตามถนนสามเสน เข้าถนนราชินี ออกมาเยาวราช เข้าพระราม ๔ และไปสิ้นสุดที่คลองเตย
๓. สายอัษฎางค์ เป็นสายสั้น ๆ เริ่มจากบริเวณท่าเรือราชินีมายังถนนพระพิพิธ
๔. สายราชวงศ์ เป็นสายสั้น ๆ เริ่มจากท่าน้ำราชวงศ์มาบรรจบถนนเจริญกรุง
๕. สายหัวลำโพง เริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพง มาตามถนนกรุงเกษม เลี้ยวซ้ายเข้าถนนบำรุงเมือง ไปออกถนนตะนาว และสิ้นสุดที่บางลำพู
๖. สายดุสิต เริ่มจากถนนสามเสน ซึ่งถ้าดูจากตำแหน่งของโรงพยาบาลวชิระแล้วคิดว่าน่าจะเป็นบริเวณแยกซังฮี้ หรือจุดตัดระหว่างถนนสามเสนกับถนนราชวิถีในปัจจุบัน มาตามถนนสามเสน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพิษณุโลก จากนั้นน่าจะเลี้ยวขวาเข้าถนนนครสวรรค์ และมาออกถนนจักรพรรดิพงษ์ เข้าถนนวรจักร และมาสิ้นสุดที่บริเวณจักรวรรดิ์
๗.
สายรอบเมือง
สายนี้วิ่งเป็นวงกลมไปตาม
ถนนมหาราช ถนนพระอาทิตย์
ถนนมหาชัย ถนนจักรเพชร
และกลับมายังถนนมหาราชใหม่อีกครั้ง
๘. สายสุโขทัย เป็นสายสั้น ๆ ถ้าใช้โรงพยาบาลวชิระเป็นหลักสายนี้น่าจะเริ่มจากแม่น้ำเจ้าพระยาตรงสุดถนนสุโขทัย จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าถนนขาว และเลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชวิถี และมาสิ้นสุดที่ถนนสามเสนตรงแยกซังฮี้
๙. สายสีลม ที่เริ่มจากถนนสีลมปลายด้านถนนเจริญกรุง ไปตามถนนสีลม ออกถนนราชดำริ และไปสิ้นสุดที่ท่าเรือประตูน้ำ
๑๐. สายประตูน้ำ สายนี้ในแผนที่ผมหาไม่เจอ แต่เห็นมีชื่อสายยศเส (Yotse line) ที่เริ่มจากถนนราชดำริ มาตามถนนพระราม ๑ และไปสิ้นสุดที่ถนนพระราม ๆ ปลายด้านสะพานกษัตริย์ศึก (สะพานข้ามทางรถไฟที่มาจากหัวลำโพง) ก็เลยไม่แน่ใจว่าเป็นสายเดียวกันหรือเปล่า
รูปที่
๕ เส้นสีเขียวในรูปคือถนนหลักเมือง
ที่ยังมีรางรถรางให้เห็นอยู่
รูปที่
๗ รูปนี้มองจากประตูทางออกศาลหลักเมืองด้านถนนหลักเมือง
มองไปยังวัดพระแก้ว
ตรงบริเวณรางแยกตรงนี้เป็นจุดให้รถรางหลบหลีกกัน
รูปที่
๘ ภาพขยายของทางแยกที่เห็นในรูปที่
๗
จำได้ว่าแต่ก่อนเวลานั่งรถเมล์มาถึงถนนเจริญกรุง
ผ่านถนนวรจักรและมุ่งตรงไปยังหัวลำโพง
จะเห็นรางรถรางอยู่ทางด้านขวามือยาวตลอดถนนทั้งเส้น
ซึ่งก็คงจะเห็นรางรถรางสายบางคอแหลมนี้
แต่ปัจจุบันรางส่วนนี้หายไปแล้วเพราะถนนด้านดังกล่าวถูกขุดเพื่อวางท่อระบายน้ำ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหายไปเมื่อใด
และไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้บ้างหรือเปล่า
รูปภายในแผนที่ street
view ของ
google
map ที่ระบุว่าถ่ายไว้เมื่อเดือนกันยายน
ค.ศ.
๒๐๑๑
นั้นก็ไม่ปรากฏรางดังกล่าวแล้ว
ถ้ารางมันถูกรื้อไปใหม่
ๆ ตั้งแต่ตอนเลิกวิ่งรถราง
มันก็คงเหลือเพียงแค่ความทรงจำและคงไม่มีใครกล่าวถึง
แต่นับถึงวันนี้เมื่อมันผ่านมาถึง
๔๕ ปีแล้ว
ก็น่าจะมีการพิจารณาว่าร่องรอยรางรถรางที่ยังเหลืออยู่นั้น
ควรจะมีการอนุรักษ์เพื่อเก็บรักษาเอาไว้เป็นอนุสรณ์ให้คนรุ่นหลังได้เห็นหรือไม่ว่าในอดีตนั้นกรุงเทพเคยมีรถรางวิ่งไปบริเวณไหนบ้าง
และรางรถรางหน้าตาเป็นอย่างไร
และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมได้ไปถ่ายรูปร่องรอยรางรถรางที่ยังคงหลงเหลืออยู่
เพราะไม่รู้ว่ามันจะหายไปเมื่อใด
อย่างน้อยก็ยังมีบันทึกให้คนรุ่นหลังรู้ว่า
ณ วันเวลาที่ไปถ่ายรูปนั้น
สภาพของเส้นทางเดิมเป็นอย่างไร
รูปที่
๙ จากจุดยืนในรูปที่ ๗
คราวนี้เป็นการมองไปยังด้านคลองหลอด
ศาลหลักเมืองอยู่ทางซ้ายมือ
กระทรวงกลาโหมอยู่ทางขวามือ
รูปที่
๑๐ เดินเลยศาลหลักเมืองมาเล็กน้อย
แล้วมองย้อนกลับลงไป
จะเห็นช่วงที่เป็นรางแยก
รางเส้นนอกเห็นได้ชัดเจน
ส่วนรางเส้นในด้านทางเท้ามีถังขยะวางขวางอยู่
รูปที่
๑๑ จากรูปที่ ๑๐
ทีนี้เป็นการมองไปทางด้านคลองหลอดบ้าง
กระทรวงกลาโหมอยู่ด้านขวามือ
ด้านหน้าซ้ายมือคือกรมพระธรรมนูญ
รูปที่
๑๒ เดินถัดมาจากรูปที่ ๑๑
มาอยู่บริเวณหน้ากรมพระธรรมนูญ
รูปที่ ๑๓ เดินมาจนเกือบถึงคลอง ปลายรางด้านที่เห็นนั้น (ก่อนจุดที่โดยยางมะตอยราดทับ) จะเห็นว่ารางมีการโค้งไปทางขวาเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นเส้นทางว่าจากจุดนี้รถจะวิ่งเลี้ยวไปทางขวาและข้ามสะพานข้ามคลองไป เดินถัดไปจากนี้ไม่ได้แล้วเพราะทหารยามสองท่านที่เฝ้าอยู่ในรูปไม่ให้เดินต่อไป เพราะเป็นด้านหลังกระทรวงกลาโหม
รูปที่
๑๔ เดินไปจนสุดถนนหลักเมืองและมองย้อนกลับมาทางวัดพระแก้ว
รูปที่ถ่ายเอาไว้ในวันนี้ ณ วันนี้ยังอาจไม่มีค่าใด ๆ ส่วนในอนาคตมันจะมีค่าใด ๆ หรือไม่นั้นก็คงต้องให้คนรุ่นหลังเป็นผู้ตัดสินเอง
รูปที่ถ่ายเอาไว้ในวันนี้ ณ วันนี้ยังอาจไม่มีค่าใด ๆ ส่วนในอนาคตมันจะมีค่าใด ๆ หรือไม่นั้นก็คงต้องให้คนรุ่นหลังเป็นผู้ตัดสินเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น