เมื่อประมาณปลายเดือนที่แล้วเห็นมีการส่งอีเมล์เวียนไปมาเกี่ยวกับปัญหาของระบบน้ำระบายความร้อนของโรงงานแห่งหนึ่ง
แต่ข้อมูลมันก็ขาด ๆ หาย ๆ
ประมาณว่ามีการติดต่อโดยใช้อีเมล์บ้าง
โทรคุยกันบ้าง
ก็เลยไม่ชัดเจนว่าที่มาที่ไปของเรื่องนั้นมันเป็นอย่างไร
และเลือกใช้วิธีการใดในการแก้ปัญหา
พอช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงานดังกล่าวและได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับวิศวกรของโรงงานแห่งนั้น
ก็เลยพอจะเข้าใจว่าปัญหามันคืออะไร
และที่สำคัญคือเรื่องนี้ผมได้เคยเตือนเอาไว้เมื่อสองปีครึ่งก่อนหน้านี้ตอนที่เขาส่งแบบมาขอความเห็นจากผม
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักระบบน้ำระบายความร้อนที่มีใช้กันมากในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง
ๆ และกับระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้กันตามอาคารต่าง
ๆ
รูปที่
๑ หอทำน้ำเย็น (cooling
tower) ที่ฉีดพ่นน้ำให้ไหลลงมาตาม
packing
และมีพัดลมดูดอากาศให้ไหลเข้าทางช่องบานเกล็ดที่เห็นทางด้านซ้ายในรูป
(ด้านขวาก็มีช่องบานเกล็ดเช่นกัน)
อากาศจะไหลเข้าสัมผัสกับน้ำร้อนที่ตกลงมาทางด้านบน
และดึงเอาความร้อนออกจากน้ำด้วยการระเหยน้ำบางส่วนออกไปพร้อมกับอากาศที่ถูกดูดด้วยพัดลมที่ติดตั้งอยู่ทางด้านบนของหอทำน้ำเย็น
ทำให้น้ำร้อนเย็นตัวลงและสามารถหมุนเวียนกลับไปรับความร้อนมาใหม่ได้
รูปที่ ๒ ด้านบนของหอทำน้ำเย็นในรูปที่ ๑ จะเห็นท่อนำน้ำร้อนกลับที่ไหลแยกเข้าทางด้านซ้ายและด้านขวา และพัดลมดูดอากาศให้ไหลเข้าทางด้านข้างและไหลออกทางด้านบนไปพร้อมกับไอน้ำที่ระเหยออกมา
ระบบน้ำระบายความร้อนที่ใช้กันทั่วไปนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น
๓ แบบด้วยกัน
แบบที่
๑ คือระบบปิด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือระบบน้ำระบายความร้อนเครื่องยนต์ของรถยนต์ต่าง
ๆ น้ำจะไหลเวียนในระบบปิด
ความร้อนที่น้ำรับมาจากเครื่องยนต์จะระบายออกสู่อากาศผ่านทางหม้อน้ำที่เป็นรังผึ้งติดตั้งอยู่ทางด้านหน้าของรถ
แบบที่
๒ คือระบบกึ่งเปิด ระบบนี้จะคล้าย
ๆ กับระบบแรก
แต่จะมีการสัมผัสกันโดยตรงระหว่างน้ำกับอากาศ
ที่อุปกรณ์ที่เรียกว่าหอทำน้ำเย็น
(cooling
tower ดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที
๑ และ ๒ ที่ใช้กับระบบขนาดเล็ก)
น้ำร้อนบางส่วนจะระเหยกลายเป็นไอพร้อมกับการดึงเอาความร้อนออกจากน้ำ
และออกไปพร้อมกับอากาศที่ไหลผ่าน
(รูปที่
๓)
ทำให้น้ำร้อนมีอุณหภูมิลดลง
เนื่องจากระบบนี้มีการสูญเสียน้ำไปบางส่วนจากการระเหย
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเติมน้ำชดเชยน้ำที่สูญเสียไปกับการระเหย
รูปที่
๓ แผนผังการทำงานของหอทำน้ำเย็น
(cooling
tower)
แบบที่
๓ คือระบบเปิด
ระบบนี้จะนำน้ำจากแหล่งน้ำมารับความร้อนและปล่อยทิ้งออกไป
ระบบนี้จะใช้เมื่อมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่
และสามารถระบายน้ำร้อนทิ้งได้โดยไม่รบกวนสิ่งแวดล้อม
เช่นบริเวณที่อยู่ริมแม่น้ำหรือริมทะเล
ข้อดีของระบบนี้คือไม่มีความจำเป็นต้องปรับสภาพน้ำ
แต่น้ำที่นำมาระบายความร้อนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุหรือของแข็งแขวนลอยและไม่มีการควบคุมคุณภาพ
ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้จึงจำเป็นต้องสามารถทนต่อการกัดกร่อนและสึกหรอได้ดี
ตัวที่เป็นต้นเรื่องของเราในวันนี้คือแบบที่
๒ ที่เป็นระบบกึ่งเปิด
ในระบบนี้น้ำที่ใช้ในการระบายความร้อนนั้นมักจะมีแร่ธาตุละลายปนอยู่
(เรื่องปรกติของน้ำ)
ชนิดและปริมาณแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำจะขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่นำมาใช้เป็นน้ำระบายความร้อนและฤดูกาล
(บ่อยครั้งที่น้ำในช่วงหน้าแล้งและหน้าฝนมีแร่ธาตุเจือปนแตกต่างกัน
ที่เห็นได้ชัดคือกรณีของน้ำประปาในเขตกรุงเทพในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้
ที่สถานการณ์ฝนแล้งทำให้มีน้ำเค็มจากทะเลไหลย้อน
ส่งผลถึงแร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำประปาที่ผลิตได้)
และน้ำดังกล่าวมีการปรับสภาพก่อนนำมาใช้งานหรือไม่
(เช่นมีการแลกเปลี่ยนไอออนเพื่อลดความกระด้าง)
แร่ธาตุดังกล่าวไม่ได้ระเหยไปพร้อมกับน้ำที่ระเหยออกไป
ดังนั้นจะสะสมอยู่ในระบบ
และยังมีเพิ่มเติมเข้ามาอีกที่มาพร้อมกับน้ำที่เติมเข้ามาชดเชย
(makeup
water) น้ำส่วนที่ระเหยออกไป
ทำให้ความเข้มข้นของแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมความเข้มข้นของแร่ธาตุเหล่านี้ไมให้สูงเกินไปด้วยการระบายน้ำบางส่วนทิ้งโดยตรง
(ที่เรียกว่า
blowdown)
แร่ธาตุบางชนิดละลายได้น้อยในน้ำร้อน
ที่เห็นได้ชัดคือหินปูนหรือ
CaCO3
บริเวณที่เกิดปัญหาคือพื้นผิวโลหะที่ร้อนที่เป็นตัวส่งผ่านความร้อนจากของไหลภายในระบบมายังน้ำที่รับความร้อนที่อยู่อีกทางฟากหนึ่งของผิวโลหะ
(เช่นจากด้านนอกท่อมายังด้านในท่อ
หรือผนังในกาต้มน้ำที่ใช้กันทั่วไปตามบ้าน)
พื้นผิวดังกล่าวจะมีอุณหภูมิสูง
ทำให้แร่ธาตุที่ละลายน้ำได้น้อยเกิดการตกผลึกเป็นของแข็งสะสมอยู่บนพื้นผิวถ่ายเทความร้อนนั้น
กลายเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า
"ตะกรัน
-
scale"
แหล่งที่มาของแร่ธาตุที่ละลายในน้ำอีกแหล่งหนึ่งคือฝุ่นผงที่ล่องลอยมากับอากาศที่ไหลเข้าหอทำน้ำเย็น
ฝุ่นผงดังกล่าวถ้ามีส่วนที่ละลายน้ำได้ก็จะไปเป็นตัวเพิ่มความเข้มข้นของแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำ
แต่ถ้าไม่ละลายก็จะกลายเป็นของแข็งที่แขวนลอยอยู่ในน้ำที่ไหลอยู่ในระบบ
และถ้าบริเวณใดของระบบที่น้ำไหลช้าหรือหยุดนิ่ง
ของแข็งดังกล่าวก็จะตกลงสู่พื้นสะสมรวมกันที่เรียกว่า
"ตะกอน
-
deposit"
ตะกอนยังอาจมากับน้ำที่เติมเข้ามาโดยตรงก็ได้ถ้าไม่มีการกรองออก
ดังนั้นจะเห็นว่าเป็นการยากที่จะป้องกันไม่ให้มีตะกอนหรือตะกรันเกิดขึ้นในระบบ
ในกรณีของตะกอนนั้นเราสามารถป้องกันไม่ให้มันไหลกลับเข้าไปในระบบได้ด้วยการกรองเอามันออกจากน้ำที่สูบจากทางด้านล่างของหอทำน้ำเย็น
ก่อนที่จะส่งน้ำนั้นไปรับความร้อนจากอุปกรณ์ต่าง
ๆ ภายในโรงงาน ส่วนกรณีของตะกรันนั้น
เราลดปัญหาได้ด้วยการปรับสภาพน้ำที่เติมเข้ามาชดเชย
รวมทั้งใช้การระบายน้ำบางส่วนทิ้งเพื่อควบคุมความเข้มข้นของแร่ธาตุที่ละลายน้ำอยู่
ที่มันทำให้ผมสับสนตอนที่รับฟังเรื่องราวคือ
ตกลงว่าปัญหามันเกิดจาก
"ตะกรัน"
หรือ
"ตะกอน"
หรือจากทั้งสองสาเหตุ
เพราะมีการใช้คำทั้งสองร่วมกัน
คือจากการพบปะพูดคุยนั้นดูเหมือนว่ามีปัญหาเรื่อง
"ตะกอน"
แต่แนวทางการแก้ปัญหาที่เห็นมีการเสนอนั้นมันเป็นการแก้ปัญหาการเกิด
"ตะกรัน"
คลอไรด์
(chloride
- Cl-) คือไอออนลบของคลอรีน
(chlorine
- Cl2) ทั้งคลอไรด์และคลอรีนมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนโลหะ
แม้แต่เหล็กกล้าไร้สนิมหรือที่เรามักเรียกจนติดปากกันว่าสแตนเลสสตีล
(stainless
steel) หรือเหล็กสแตนเลส
นั้นก็ยังมีปัญหากับคลอไรด์และคลอรีนที่ละลายอยู่ในน้ำที่มันสัมผัส
การกัดกร่อนเหล็กกล้าไร้สนิมด้วยคลอไรด์หรือคลอรีนมีรูปแบบที่เรียกว่า
pitting
คือเป็นรูเล็ก
ๆ (ขนาดอาจประมาณ
1
มิลลิเมตรหรือเล็กกว่า)
ลึกลงไปในเนื้อโลหะจนทะลุ
แต่ถ้าเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยจะเรียก
crevice)
การกัดกร่อนนี้จะเกิดได้ดีขึ้นในบริเวณที่น้ำไม่มีการไหลเวียน
(เช่นใต้อนุภาคของแข็งที่ตกตะกอน
หรือตรงผิวสัมผัสระหว่างชิ้นงานโลหะสองชิ้นที่วางติดกัน
(เช่นระหว่างนอตกับหน้าแปลน)
เหล็กสแตนเลสเบอร์
316
นั้นจะทนต่อคลอไรด์และคลอรีนได้ดีกว่าเหล็กสแตนเลสเบอร์
304
ที่ราคาต่ำกว่า
และคลอรีนนั้นมีฤทธิ์ในการกัดกร่อนมากกว่าคลอไรด์อยู่มาก
ในขณะที่เหล็กสแตนเลส 316
สามารถทนต่อการกัดกร่อนจากคลอไรด์ได้ถ้าหากมีความเข้มข้นไม่เกิน
2000
ppm แต่จะทนต่อคลอรีนในน้ำได้ไม่เกิน
4
ppm* ในระบบน้ำประปานั้นคลอไรด์อาจมากับน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปา
หรือมาจากไฮโปคลอไรต์ (ClO-)
ที่เติมลงไปเพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำ
และคลอรีนก็มาจากแก๊สคลอรีนที่เติมลงไปในน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำ
ส่วนจะเลือกเติมไฮโปคลอไรต์หรือคลอรีนนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตน้ำประปา
ที่ผมพบก็คือในการสื่อสารนั้นมีการใช้ทั้งคำว่า
"คลอไรด์"
และ
"คลอรีน"
ปะปนกัน
โดยดูเหมือนว่าผู้สนทนาบางรายนั้นคิดว่ามันเป็นตัวเดียวกัน
ซึ่งในความเป็นจริงนั้นมันไม่ใช่
กรณีนี้เป็นตัวอย่างของการสื่อสารระหว่างผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาที่แตกต่างกัน
เมื่อมีการสนทนาร่วมกันในหัวข้อที่แต่ละคนนั้นไม่ได้รู้ลึกลงไปทางด้านดังกล่าว
การใช้คำที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยแต่มีความหมายแตกต่างกันมาก
อาจนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้
ปิดท้ายเรื่องน้ำของวันนี้ด้วยเรื่องการเติมกรดกำมะถัน
H2SO4
เพื่อลดค่า
pH
ของน้ำหล่อเย็นในระบบกึ่งเปิด
กล่าวคือถ้าน้ำที่เติมเข้ามาชดเชยน้ำระเหย
(makeup
water) มีคาร์บอเนต
(CO32-)
ละลายปนอยู่
ตัวคาร์บอเนตนี้เมื่อละลายน้ำจะไปดึงโปรตอนจากน้ำทำให้เกิดเป็นไบคาร์บอนเนต
(HCO3-)
และไฮดรอกไซด์
(OH-)
ตัวไบคาร์บอนเนตนั้นเมื่อได้รับความร้อนจะสามารถสลายตัวกลายเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2)
กับไฮดรอกไซด์
(OH-)
ที่เป็นเบสแก่
ทำให้ค่า pH
ของน้ำเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย
ๆ ได้
ด้วยเหตุนี้ระบบน้ำหล่อเย็นหลายแห่งจึงจำเป็นต้องมีการเติมกรดลงไปเพื่อลดค่า
pH
และกรดที่เลือกใช้กันก็คือกรดกำมะถัน
H2SO4
ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงจากไอออนลบที่ก่อให้เกิดปัญหากับโลหะ
และถ้าในน้ำนั้นมี Ca2+
ละลายอยู่ก็ลดการเกิดตะกรันลงได้บ้าง
เพราะ CaSO4
นั้นแม้ว่าจะลายน้ำได้น้อยลงเมื่อน้ำร้อนขึ้น
แต่ก็ยังละลายน้ำได้ดีกว่า
CaCO3
อันที่จริงความกระด้างของน้ำที่เกิดจาก
CaCO3
นั้นเรียกว่า
"ความกระด้างชั่วคราว"
เพราะถ้านำน้ำนั้นไปต้ม
CaCO3
จะตกตะกอนออกมา
ทำให้ความเข้มข้นของ Ca2+
ในน้ำลดลง
ตามโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไปก็ใช้วิธีการนี้ในการลดความกระด้างน้ำ
ด้วยการต้มน้ำก่อนนำไปใช้งาน
ส่วนความกระด้างที่เกิดจาก
CaSO4
นั้นเรียกว่า
"ความกระด้างถาวร"
เพราะ
CaSO4
ไม่ตกตะกอนออกมาแม้ว่าจะเอาน้ำไปต้ม
ความเข้มข้น Ca2+
ยังคงอยู่เหมือนเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น