วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ศพไม่เน่าด้วยน้ำมันก๊าด (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๑๓) MO Memoir : Sunday 23 October 2559

ตอนเรียนอยู่ต่างประเทศเคยมีพี่ที่เป็นนักเรียนไทยเล่าให้ฟังว่า ฝรั่งถามคำถามในทำนองว่าในเมื่อศาสนาพุทธสอนว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ และสอนให้รู้จักปล่อยวาง แล้วทำไมพิธีศพของคนไทยจึงต้องมีการเก็บศพเอาไว้หลาย ๆ วัน (ที่เห็นกันในปัจจุบันปรกติก็อย่างน้อย ๗ วัน) ก่อนเผา ไม่ทำพิธีให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว (ดังเช่นพิธีการฝังในศาสนาของเขาที่กระทำกันภายในไม่กี่วันหลังการเสียชีวิต) ซึ่งแกก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
 
จากการได้อ่านเรื่อเล่าหรือนิยายเกี่ยวกับผีของไทยที่แต่งขึ้นในยุคสมัยต่าง ๆ ผมเองรู้สึกว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา นั่นคือการ "ฝังศพ" หรือ "เก็บศพ" ถ้าเป็นเรื่องผีเก่า ๆ ที่เขียนโดยนักเขียนรุ่นเก่าในอดีตนั้น (เช่น เหม เวชกร, อ. อรรถจินดา) ที่เรื่องเขียนของท่านเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นบันทึกรูปแบบการดำเนินชีวิตของคนในยุคที่ท่านผู้เขียนนั้นใช้ชีวิตมา มักจะไม่กล่าวถึงการเผาศพโดยเร็วหลังการเสียชีวิต แต่จะนำศพไปฝังหรือนำไปเก็บในโกดังเอาไว้ก่อน ถือเป็นเรื่องปรกติ ต่างจากในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดเรื่องราวทำนอง ศพนั้นมีการฟื้นคืนชีพขึ้นมาก ศพนั้นหายไปบ้าง วิญญาณผู้ตายยังวนเวียนอยู่ยังไม่ไปไหน ฯลฯ ขึ้นมามากมาย
  
บันทึกของ Otto E. Ehlers ในหนังสือ "On horseback through Indochina Vol. 3 Vietnam, Singapore, and Central Thailand" (จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ White Lotus) ที่เข้ามาเยือนภูมิภาคนี้ในช่วงปีค.ศ. ๑๘๙๒-๑๘๙๓ (พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๓๖ หรือช่วงรัชกาลที่ ๕) ได้ให้ข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจในระหว่างการเข้าไปแวะเยือนวัดสระเกศ ผู้เขียนเล่าถึงการเข้าไปเยือนบริเวณที่ทำการเผาศพที่ได้การเผาศพบนตระแกรงเหล็ก การนำศพมาเชือดให้แร้งกิน ตามด้วยการให้ฝูงสุนัขเข้ามากินกระดูกที่เหลือ นอกจากนี้ยังมีการขังสุนัขไว้ในโลงที่บรรจุโครงกระดูก เพื่อให้สุนัขแทะกินเนื้อส่วนที่ยังคงหลงเหลือติดกระดูกอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้ "การเผาศพนั้นทำได้ง่ายขึ้น"
 
Ehlers บันทึกเอาไว้ว่าแม้ว่าการเผาศพนั้นจะเป็นธรรมเนียมของชาวสยาม แต่การเผาศพด้วยเมรุก็มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นการให้แร้งและสุนัขจัดการกับส่วนที่เป็นเนื้อก่อน จากนั้นจึงค่อยเผากระดูกที่เหลือ จึงเป็นการประหยัดไม้ฟืน ซึ่งตรงนี้ผมเห็นว่า Ehlers น่าจะเข้าใจผิด เพราะกับชาวสยามที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางให้กับ Ehlers ก็ยังไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นวิธีการดังกล่าว (แสดงว่ามันไม่เป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไป) การจัดการกับศพในวัดสระเกศที่ Ehlers เห็นนั้นน่าจะเป็นศพนักโทษ
 
แต่มันก็ยังมีวิธีง่าย ๆ อีกวิธีในการทำให้ศพนั้นเหลือแต่กระดูก ก็คือ "การปล่อยให้ศพเน่าไปตามธรรมชาติ" โดยเอาศพนั้นไปฝังหรือไปเก็บไว้ในที่ลับตา ซึ่งคงต้องเก็บไว้นานพอ จากนั้นจึงค่อยนำเอากระดูกที่เหลืออยู่มาเผา และนี่ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดธรรมเนียมการเก็บศพเอาไว้ก่อนเป็นเวลานาน พอได้เวลาที่เหมาะสมจึงค่อยเอามาเผา
 
ตั้งแต่เดิมมาในบ้านเราสำหรับครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ เมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งเสียชีวิตก็ต้องมีการสวดทำบุญก่อน จะสามวันหรือเจ็ดวันก็ตามแต่ จากนั้นจึงค่อยจัดการกับศพนั้นต่อไป ซึ่งแต่ก่อนก็คงจะเป็นการเก็บเอาไว้เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันก็มีการเผาเพิ่มเติมเข้ามา และช่วงที่เป็นปัญหาก็คือช่วงของการสวดนี่แหละ
 
ในอดีตนั้นการให้บริการรักษาศพคนตายไม่ให้เน่ายังอยู่ในบริเวณจำกัด ไม่เหมือนในปัจจุบันที่มีบริการทั้งการฉีดยาดองศพและการแช่แข็งในโลงเย็น (ตู้เย็นแช่ศพ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้ไฟฟ้า) ให้เรียกใช้บริการอย่างง่ายดาย ปัญหาเรื่องศพเริ่มขึ้นอืดหรือส่งกลิ่นในระหว่างงานสวดวันหลัง ๆ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีการหนึ่งที่นาวาเอก สวัสดิ์ จันทนีย์ บันทึกไว้ในหนังสือนิทานชาวไร่เล่ม ๒ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๐๙ ที่ใช้แก้ปัญหาศพเน่าเหม็นส่งกลิ่นคือการใช้ "น้ำมันก๊าดกรอกปากศพ" ส่วนวิธีการเป็นอย่างไรนั้นอยากให้ลองอ่านเอาเองก่อนในรูปที่สแกนมาให้ดู
 


ในปัจจุบัน ด้วยการที่วัดต่าง ๆ มีเมรุเผาศพที่ปกปิดมิดชิดและเรียกใช้บริการป้องกันไม่ให้ศพเน่านั้นได้ง่าย การจัดการเผาศพหลังการเสียชีวิตในเวลาไม่เกิน ๗ วันจึงเป็นเรื่องปรกติที่เห็นกันทั่วไป การเก็บศพเอาไว้จนถึง ๑๐๐ วันหรือนานกว่านั้นจึงไม่ค่อยพบเห็น และถ้าเก็บไว้ก็คงด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเผา

ส่วนที่ว่าน้ำมันก๊าดมันทำให้ศพไม่เน่าได้อย่างไรนั้น อันนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

ไม่มีความคิดเห็น: