ช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
มีโอกาสได้เข้ารับการอบรมที่ทางสถานฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยจัดให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมการค้าต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
และบุคคลากรจากทางมหาวิทยาลัย
เกี่ยวกับการพิจารณาสินค้าที่ใช้ได้สองทาง
(Dual-used
item หรือ
DUI)
โดยการอบรมครั้งนี้จะเน้นไปที่การพิจารณาตัวผู้รับสินค้าเป็นหลักเสียเป็นส่วนใหญ่
โดยมีเรื่องเกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของสินค้า
(เช่นราคาต่อหน่วย
คุณภาพสินค้ากับงานที่จะนำไปใช้)
รวมอยู่บ้าง
ในการอบรมดังกล่าวมีสินค้าตัวอย่างชิ้นหนึ่งซึ่งก็คือ
"วาล์ว"
ที่ถูกยกขึ้นมาเป็นโจทย์ประกอบการพิจารณาว่าเหตุผลที่ทางผู้ซื้อของซื้อนั้นดูสมเหตุสมผลหรือไม่
โดยผู้ซื้ออ้างว่าจะนำไปใช้กับระบบแก๊สคลอรีนที่ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำเสีย
ตัวคลอรีนเองนั้นไม่ได้ปรากฏในรายชื่อสินค้าที่ใช้ได้สองทางที่กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบ
กฎหมายของบ้านเราเองนั้นมันไปปรากฏอยู่ในรายชื่อสารเคมีที่ใช้ในการสงครามเคมีที่กระทรวงกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบ
ตามประกาศกระทรวงกลาโหม
เรื่อง "กำหนดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต
ตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์
พ.ศ.
๒๕๓๐"
ลงวันที่
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
(ไม่ทราบเหมือนกันว่าขณะนี้มันมีฉบับที่ใหม่กว่านี้หรือเปล่า)
โดยที่ตัวแก๊สคลอรีนเองก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่ามันเป็นอาวุธเคมีตัวแรกที่ถูกนำมาใช้
โดยใช้ครั้งแรกในสงครามโลกครั้งที่
๑
รูปที่
๑ คู่มือการเลือกใช้โลหะผสมในงานที่เกี่ยวข้องกับ
แก๊สคลอรีน (Chlorine
- Cl2) แก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์
(Hydrogen
chloride - HCl) และกรดไฮโดรคลอริก
(Hydrochloric
acid - HClaq) ที่จัดทำโดย
Nickel
institute เอกสารฉบับนี้ดาวน์โหลดได้ที่
https://www.nickelinstitute.org/media/3795/nickelpub10020_12pgdec03final.pdf
แม้ว่าคลอรีนจะเป็นแก๊สพิษตัวแรกที่ถูกนำมาใช้
แต่มันก็ถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยตัวอื่นที่มีพิษรุนแรงกว่า
แต่ในตัวอย่างที่เขายกมานั้นคงต้องการสื่อถึงการนำเอาสิ่งของที่ใช้กับคลอรีนไปผลิตเป็นอาวุธทำลายล้างสูงตัวอื่น
ดังนั้นก่อนที่จะเข้าใจว่าสิ่งของนั้นมันเกี่ยวข้องกับการนำไปผลิตเป็นอาวุธทำลายล้างสูง
(ส่วนที่ไม่ใช่อาวุธเคมี)
ได้อย่างไร
ก็เลยต้องขอทบทวนความรู้
(ของตัวเอง)
เกี่ยวกับการผลิตแก๊สคลอรีนและการนำไปใช้งานก่อนเสียหน่อย
รูปที่
๓ ตารางส่วนผสมของโลหะผสมรหัสต่าง
ๆ (ต่อจากรูปที่
๒)
คลอรีน
(Chlorine
- Cl2) เป็นแก๊สที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตโซดาไฟ
(Caustic
soda หรือโซเดียมไฮดรอกไซด์
Sodium
hydroxide - NaOH) ในกระบวนการผลิตโซดาไฟจะนำเกลือแกง
(โซเดียมคลอไรด์
Sodium
chloride - NaCl) มาละลายน้ำ
(เกลือสินเธาว์จะดีกว่าเกลือทะเลตรงที่เกลือสินเธาว์มีความบริสุทธิ์สูงกว่า)
แล้วนำสารละลายที่ได้ไปแยกด้วยไฟฟ้ากระแสตรง
จะเกิดแก๊สคลอรีนที่ขั้วบวกและแก๊สไฮโดรเจนที่ขั้วลบ
แก๊สที่ออกมาจากขั้วไฟฟ้านี้จะเป็นแก๊สที่มีความชื้นปะปนอยู่อันเป็นผลจากการระเหยของน้ำและอุณหภูมิที่สูงขึ้นของสารละลาย
สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดที่เมื่อละลายน้ำแล้วแตกตัวให้โปรตอน
H+
กลายเป็น
H3O+
(Hydronium ion) นั้น
ตัวที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเหล็กก็คือ
H3O+
ตัวนี้
ดังนั้นถ้าสารนั้นไม่มีน้ำที่เป็นของเหลวปนอยู่
(คือเป็นของเหลวที่ไม่มีน้ำปนอยู่เลยหรือแก๊สที่ไม่มีโอกาสที่ไอน้ำจะเกิดการควบแน่นเป็นของเหลวได้ในระบบ)
มันก็จะไม่กัดกร่อนเหล็ก
ตัวอย่างของสารเหล่านี้ได้แก่
กรดกำมะถันเข้มข้น (Sulphuric
acid - H2SO4) แก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์
(Hydrogen
chloride - HCl) เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังเหมือนกันถ้าหากสารนั้นเกิดปฏิกิริยา
Autoprotolysis
ได้
ปฏิกิริยานี้คือปฏิกิริยาที่โมเลกุลหนึ่งแตกตัวให้
H+
ออกมาโดยมีอีกโมเลกุลหนึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรับ
H+
ตัวนั้น
ตัวอย่างของสารนี้ได้แก่กรดอะซีติก
(Acetic
acid - CH3COOH หรือกรดน้ำส้มสายชู)
เพราะกรดตัวนี้แม้ว่าจะเป็นกรดเข้มข้นที่ไม่มีน้ำปนก็ยังสามารถกัดกร่อน
carbon
steel ได้ง่าย
รูปที่
๔ ขอบเขตอุณหภูมิการใช้งานสำหรับโลหะบางชนิดกับแก๊สคลอรีนที่แห้ง
คลอรีนและฟลูออรีน
(Fluorine
- F2) มีการทำปฏิกิริยากับโลหะที่แตกต่างไปจากรูป
HX
คือแก๊สเหล่านี้เมื่อละลายน้ำแล้วก็จะได้สารละลายกรดที่กัดกร่อนโลหะได้
แต่ในสภาพที่ไม่มีน้ำปนเลยนั้นนั้นก็ใช่ว่ามันจะไม่กัดกร่อน
เพราะมันสามารถทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิดกลายเป็นสารประกอบเฮไลด์ของโลหะตัวนั้นได้โดยตรง
เช่นกรณีของโลหะไทเทเนียม
(Titanium
- Ti)
ที่เกิดการลุกไหม้ได้เมื่อสัมผัสกับคลอรีนเหลวที่แห้งแม้ว่าจะเป็นที่อุณหภูมิต่ำถึง
-18ºC
แต่ถ้าเป็นคลอรีนที่มีความชื้นอยู่จะไม่เป็นอะไร
เพราะจะเกิดปฏิกิริยาทำให้เกิดชั้นฟิล์มป้องกันบนพื้นผิวโลหะที่หยุดยั้งการกัดกร่อนลึกลงไป
ในขณะที่ carbon
steel นั้นไม่มีปัญหากับคลอรีนที่แห้ง
แต่ถูกกัดกร่อนรุนแรงเมื่อสัมผัสกับคลอรีนที่มีความชื้น
แก๊สคลอรีนที่เกิดที่ขั้วไฟฟ้าในระหว่างกระบวนการผลิตโซดาไฟนั้นเป็นแก๊สที่มีความชื้น
ดังนั้นระบบท่อตรงนี้ต้องใช้วัสดุที่ทนต่อคลอรีนที่ชื้นได้
แต่เมื่อผ่านกระบวนการกำจัดความชื้นออกไปแล้วก็สามารถเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ไม่ถูกกัดกร่อนด้วยคลอรีนแห้ง
ตัวที่มีปัญหาก็คือระบบกำจัดความชื้นออกจากคลอรีน
เพราะต้องทนทั้งคลอรีนที่ชื้นและคลอรีนที่แห้ง
รูปที่
๕
ขอบเขตอุณหภูมิการใช้งานสำหรับโลหะบางชนิดกับแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์ที่แห้ง
แก๊สคลอรีนที่ได้จากกระบวนการผลิตอาจถูกนำไปใช้ต่อในรูปของคลอรีนเหลวบรรจุถัง
(แบบถังแก๊สหุงต้ม)
เพื่อไปใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในกระบวนการผลิตน้ำประปาและการบำบัดน้ำเสีย
(ฆ่าเชื้อโรคที่เป็นอันตรายก่อนปล่อยน้ำทิ้ง)
หรือนำไปใช้ในการผลิตไวนิลคลอไรด์
(Vinyl
chloride H2C=CHCl)
ที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพอลิไวนิลคลอไรด์
(Polyvinylchloride
- PVC) หรือนำไปผลิตเป็นโซเดียมไฮโปคลอไรต์
(Sodium
hypochlorite - NaOCl) ที่ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ฟอกขาว
(Bleaching
agent เช่นน้ำยาซักผ้าขาว)
และฆ่าเชื้อโรค
หรือนำไปทำปฏิกิริยากับแก๊สไฮโดรเจนที่เกิดจากขั้วไฟฟ้าอีกขั้วหนึ่งเพื่อผลิตแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์
(Hydrogen
chloride - HCl) ก่อนนำไปละลายน้ำให้กลายเป็นกรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก
(Hydrochloric
acid - HCl) อีกทีที่มีการนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์หลายอย่าง
(เช่นน้ำยาล้างห้องน้ำ)
สำหรับคนที่มีความรู้เรื่องเคมีอยู่บ้างอาจรู้สึกเบื่อที่เห็นว่าทำไปต้องวงเล็บชื่อสารเคมีเอาไว้ทั้ง
ๆ ที่มันก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไป
เหตุผลก็เพราะบทความนี้เขียนเผื่อคนที่ไม่ได้มีพื้นฐานเรื่องเคมีเข้ามาอ่านด้วย
เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำความเข้าใจได้บ้างว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่
เนื้อหาการเลือกวัสดุสำหรับคลอรีน
ไฮโดรเจนคลอไรด์ และกรดไฮโดรคลอริก
ที่นำมาเขียนบทความนี้นำมาจากเอกสารคู่มือการเลือกใช้โลหะผสมที่จัดทำโดย
Nickel
Institute ที่แสดงในรูปที่
๑ รูปที่ ๒ และ ๓ เป็นตารางชื่อโลหะผสม
(อิงตาม
Unified
Numbering System - UNS
ซึ่งจะแตกต่างไปจากชื่อการค้าที่เรียกกันในท้องตลาดอยู่)
และอัตราส่วนผสม
อัตราการกัดกร่อนของโลหะนั้นจะใช้หน่วยเป็น
mm/yr
(มิลลิเมตรต่อปี)
หรือ
in./yr
(นิ้วต่อปี)
หรือ
mil/yr
(หน่วย
mil
ในที่นี้คือ
1/1000
นิ้ว)
รูปที่
๖ กราฟแนะนำการเลือกชนิดโลหะสำหรับใช้กับสารละลายกรดไฮโดรคลอริก
Carbon
steel ทนต่อคลอรีนที่แห้งได้ดี
(รูปที่
๔)
แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมและอุณหภูมิจะต้องไม่สูงเกินไป
ไม่เช่นนั้นจะเกิดการลุกไหม้ได้
(พวกที่เป็นฝอยจะลุกไหม้ได้ง่าย)
ด้วยเหตุนี้คลอรีนเหลวที่แห้งจึงสามารถเก็บในถังเหล็กกล้าที่อุณหภูมิห้องได้
ความทนทานต่อการกัดกร่อนยังขึ้นอยู่กับความเค้นที่มีอยู่ในเนื้อโลหะด้วย
โลหะบางตัวนั้นทนต่อการกัดกร่อนถ้าหากอยู่ในสภาพที่ไม่มีความเค้น
(stress)
เช่นในสภาพที่แช่อยู่
หรือไม่ได้มีความเค้นสูง
ผลของความเค้นที่ทำให้โลหะถูกกัดกร่อนได้ง่ายขึ้นนั้นเรียกว่า
stress
corrossion cracking
อุปกรณ์บางชนิดจะมีบางชิ้นส่วนที่มีความเค้นมากกว่าชิ้นส่วนอื่นในขณะใช้งาน
จึงจำเป็นต้องใช้โลหะที่แตกต่างออกไป
เช่นในกรณีของ globe
valve ตัว
disk
ที่ใช้ในการปิดช่องทางการไหลด้วยการกดอัดปิดรูที่ตัว
seat
ตัว
stem
ที่ใช้ในการเคลื่อนตัว
disk
ขึ้นลงและทำหน้าที่กดอัดตัว
disk
ให้ปิดแน่น
รวมทั้งตัวสลักเกลียวที่ใช้ยึดส่วน
Bonnet
และ
Body
ของวาล์วเข้าด้วยกัน
(ซึ่งต้องมีการขันตึงในระดับหนึ่ง
และอาจสัมผัสกับ fluid
ภายในที่ซึมออกมา)
จะมีความเค้นในตัวที่สูงกว่าส่วนอื่น
ๆ แม้ว่าจะทำงานที่ความดันเดียวกัน
รูปที่
๕ เป็นกรณีของแก๊ส HCl
ที่แห้ง
พึงสังเกตว่าเมื่อเทียบกับรูปที่
๔ แล้ว Carbon
steel และ
18-8
Stainless steel ทนต่อ
HCl
ที่แห้งได้ดีกว่า
Cl2
ที่แห้ง
(พิจารณาจากอุณหภูมิใช้งานที่ใช้ได้ที่อุณหภูมิสูงขึ้น)
ในขณะที่
Alloy
400 (UNS no. N04400 ในรูปที่
๒)
ทนต่อ
Cl2
ที่แห้งได้ดีกว่า
HCl
ที่แห้ง
หลายคน
(รวมทั้งผมด้วย)
คงไม่คุ้นกับชื่อ
Alloy
400 แต่จะคุ้นกับชือ
Monel
เสียมากกว่า
Monel
เป็นชื่อทางการค้าของโลหะผสม
Ni-Cu
ที่มีสัดส่วนของ
Ni
อยู่ประมาณ
60%
ขึ้นไป
ซึ่งถ้าเทียบกับชื่อระบบ
UNS
แล้วก็จะตรงกับพวก
Alloy
400
Inconel
ก็เป็นชื่อของโลหะผสมของ
Ni-Cr-Fe
(โดยอาจมี
Mo
ร่ว
สารละลายกรด
HCl
เป็นตัวที่มีปัญหาในการกัดกร่อนมากกว่าทั้งคลอรีนและแก๊ส
HCl
ที่แห้ง
เรียกว่าไม่สามารถใช้ได้ทั้ง
carbon
steel และ
stainless
steel เบอร์
304
และ
316
(ที่เป็นที่ใช้งานกันทั่วไป)
อันที่จริงในกรณีที่ไม่ได้ทำงานที่อุณหภูมิสูง
ก็อาจใช้พวกท่อพลาสติกหรือท่อเหล็กที่บุผิวในไว้ด้วยพลาสติกที่เหมาะสมที่ไม่ทำปฏิกิริยากับสารละลาย
HCl
ก็ได้
โดยไม่จำเป็นต้องเลือกใช้โลหะที่ทนการกัดกร่อนได้
(ที่มักจะมีราคาสูงตามไปด้วย)
เช่นท่อ
PVC
สามารถใช้กับสารละลาย
HCl
เข้มข้นได้ถึง
30
wt% ที่อุณหภูมิไม่เกิน
60ºC
แต่ทั้งนี้การต่อท่อต้องไม่ใช่ต่อด้วยกาวนะ
คงต้องใช้การเชื่อม
รูปที่
๗ กราฟแสดงช่วงใช้งานของโลหะกับสารละลายกรด
HCl
ที่ความเข้มข้นและอุณหภูมิต่าง
ๆ (ดูรูปที่
๘ ประกอบ)
รูปที่
๘ รายชื่อโลหะที่ใช้งานได้สำหรับแต่ละ
Zone
ในรูปที่
๗
ตัววาล์วก็เช่นกัน
ในกรณีที่ไม่ได้รับความดันและอุณหภูมิสูง
(และไม่คาดคิดว่าจะมีปัญหาไฟไหม้ลุกครอกตัววาล์ว)
ก็อาจเลือกใช้พวก
diaphragm
valve ในการควบคุมการปิดเปิดก็ได้
โดยไม่จำเป็นต้องหันไปใช้วาล์วที่ทำจากโลหะที่ทนการกัดกร่อนสูง
ฉบับนี้คงพอเพียงแค่นี้ก่อน
ตอนต่อไปจะเป็นกรณีของฟลูออรีนและไฮโดรเจนฟลูออไรด์บ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น