ผลการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือวิเคราะห์หลายหลายชนิดนั้นได้สัญญาณออกมาในรูปของพีค
(peak)
ที่การแปลผลนั้นต้องอาศัยตำแหน่งและขนาด
(ความสูง
ความกว้าง และพื้นที่ใต้พีค)
ของพีคนั้น
โดยตำแหน่งที่เกิดมักจะเป็นตัวบอกว่าพีคนั้นเป็นพีคของสารใด
(เช่นในกรณีของแก๊สโครมาโทกราฟ)
หรือโครงสร้างใด
(เช่นในกรณีของอินฟราเรด)
ในขณะที่ขนาด
(ความสูง
ความกว้าง และพื้นที่ใต้พีค)
มักจะเป็นตัวบ่งบอกปริมาณและ/หรือพารามิเตอร์ต่าง
ๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดพีคนั้น
พีคสัญญาณ
XRD
เป็นตัวแทนพีคที่เกิดจากการหักเหรังสีเอ็กซ์จากโครงร่างผลึกเมื่อมองจากมุมมองต่างกัน
การมองด้วยมุมมองที่ต่างกันทำให้เห็นระยะห่างระหว่างชั้นอะตอม
(หรือไอออน)
ที่อยู่ด้านบนกับชั้นอะตอม
(หรือไอออน)
ที่เรียงซ้อนกันอยู่ต่ำลงไปนั้นมีระยะที่แตกต่างกัน
สำหรับผลึกแต่ละชนิดนั้น
พีค XRD
เปรียบเสมือนลายนิ้วมือของผลึกนั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีพีค
XRD
ของผลึกใดจะเหมือนกันเลย
คุณสมบัติเช่นนี้จึงทำให้นิยมใช้เทคนิค
XRD
ในการระบุตัวอย่างที่เป็นผลึกของแข็งว่าเป็นสารใด
ในช่วงไม่นานนี้มีความนิยมนำเอาผล
XRD
มาใช้ในการระบุ
"ขนาด"
ของผลึกกันมากขึ้น
การระบุขนาดผลึกนี้อาศัยค่าความกว้างของพีคที่ระยะครึ่งหนึ่งของค่าความสูงของพีค
แล้วนำไปแทนค่าในสมการที่รู้จักกันในชื่อ
Scherrer's
equation ที่เป็นสมการสำหรับคำนวณ
"ความหนาของระนาบ"
ที่สะท้อนรังสีเอ็กซ์ที่มุมนั้นออกมา
เวลาที่กล่าวถึงคำว่า
"ขนาด"
ก็ควรหมายถึงมิติของรูปทรง
๓ มิติ หรือตัวเลขที่แสดงค่าเฉลี่ยของมิติทั้ง
๓ มิติ ในขณะที่ "ความหนาของระนาบ"
นั้นมีความหมายเพียงแค่มิติเดียว
และจุดนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ควรพิจารณาเมื่อมีการกล่าวถึงการระบุ
"ขนาด"
ของผลึกด้วยการใช้
Scherrer's
equation ว่าเป็นค่าที่ได้จากพีคเพียงพีคเดียว
หรือค่าเฉลี่ยจากหลายพีค
เรื่องของ
Scherrer's
equation นั้นเคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้วใน
Memoir
ฉบับก่อนหน้านี้ดังนี้
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๙๙ วันพฤหัสบดีที่
๑๔ มกราคม ๒๕๕๓ เรื่อง "Scherrer's equation"
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๐๔ วันพฤหัสบดีที่
๒๑ มกราคม ๒๕๕๓ เรื่อง "Scherrer's equation (ตอนที่ ๒)"
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๖๘๑ วันพฤหัสบดีที่
๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ เรื่อง "Scherrer's equation (ตอนที่ ๓)"
และ
ปีที่
๗ ฉบับที่ ๙๐๘ วันจันทร์ที่
๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เรื่อง
"Scherrer's equation (ตอนที่ ๔)"
ลักษณะเส้น
base
line ของกราฟ
XRD
นั้นสัญญาณจะมีค่ามากที่ค่า
2
Theta น้อย
ๆ
อันเป็นผลจากการที่รังสีเอ็กซ์จากแหล่งกำเนิดส่วนหนึ่งสามารถเดินทางไปยัง
detector
ได้โดยตรงโดยไม่ได้เกิดจากการหักเหจากผลึกตัวอย่าง
แต่สัญญาณจะลดระดับลงอย่างรวดเร็วจนถือได้ว่า
base
line อยู่ในระดับที่ราบที่ค่า
2
Theta เพิ่มสูงขึ้น
แนวเส้น base
line นั้นไม่ส่งผลต่อ
"ตำแหน่ง"
พีค
แต่ส่งผลต่อ "ความสูง"
ของพีค
ซึ่งประเด็นเรื่องความสูงนี้ขอเก็บเอาไว้ก่อน
เพราะประเด็นที่อยากเล่าในวันนี้ก็คือพีคที่เห็นว่ามีเพียง
"พีคเดียว"
นั้น
สามารถทำให้มีหลายพีคได้หรือไม่ด้วยการทำ
peak
deconvolution หรือ
peak
fitting โดยผล
XRD
ที่เอามาเป็นตัวอย่างในวันนี้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
V2O5-MgO/TiO2
ที่นำกราฟ
XRD
มาแสดงในรูปที่
๑ โดยวันนี้จะลองพิจารณาพีคที่ตำแหน่ง
2
Theta ประมาณ
48º
กันก่อน
รูปที่
๑ กราฟ XRD
ของตัวเร่งปฏฺกิริยา
V2O5-MgO/TiO2
รูปบนคือผลการสแกนรวม
ส่วนรูปล่างเป็นภาพขยายของพีคที่ตำแหน่ง
2
Theta ประมาณ
48º
ที่ผ่านการตัด
base
line แล้ว
(แนวเส้นประสีแดงในรูปบน)
ด้วยโปรแกรม
fityk
0.9.8
ในรูปที่
๑ (ล่าง)
จะเห็นได้ว่าพีคที่ตำแหน่ง
2
Theta ประมาณ
48º
นี้เป็นพีคที่ไม่สมมาตรอยู่เล็กน้อย
กล่าวคือทางด้านซ้ายค่อนข้างจะกว้างกว่าทางด้านขวาอยู่เล็กน้อย
ถ้าเราคิดว่าที่ตำแหน่งนี้มีพีคเพียงแต่พีคเดียว
และต้องการค่าความกว้างของพีคที่ระยะครึ่งหนึ่งของค่าความสูงของพีคเพื่อนำไปใช้กับ
Scherrer's
equation นั้น
พอตัด base
line แล้วเราก็สามารถอ่านค่าความกว้างของพีคจากกราฟได้เลย
แต่ถ้าต้องการค่าพารามิเตอร์ของฟังก์ชันที่เป็นตัวแทนพีคนั้น
เพื่อนำไปใช้ในการคำนวณอื่น
(เช่นการหาพื้นที่ใต้พีค)
เราจำเป็นต้องทำ
peak
fitting กับข้อมูลดิบดังกล่าว
และคำถามแรกที่ปรากฏขึ้นมาก็คือ
เราควรใช้ distribution
function ตัวไหนมาทำ
peak
fitting กับพีคดังกล่าว
ในกรณีของผล
XRD
นั้น
distribution
function ที่มีการนำมาทำ
peak
fitting หลัก
ๆ ก็มีอยู่ ๒ ฟังก์ชันด้วยกัน
ฟังก์ชันแรกเป็นฟังก์ชันที่จากประสบการณ์ที่ผ่านมามักเห็นกลุ่มวิจัยต่าง
ๆ
ในบ้านเราที่ทำวิจัยทางด้านตัวเร่งปฏิกิริยาชอบใช้กันคือสมมุติให้การกระจายตัวเป็นแบบ
Gaussian
distribution ในขณะที่ก็มีบางตำรานั้นกล่าวว่า
distribution
function ที่เหมาะสมมากกว่าคือ
Cauchy
หรืออีกชื่อคือ
Lorentzian
distribution (ในที่นี้ขอเรียกว่า
Lorentzian
เพื่อให้ตรงกับที่โปรแกรม
fityk
ใช้)
แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาตามสภาพการณ์
คือในบางกรณีนั้นการใช้
Lorentzian
distribution จะให้ผลที่ดีกว่า
แต่ก็มีหลายกรณีที่ทั้งสองฟังก์ชันให้ผลทัดเทียมกัน
(ดูตัวอย่างการใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เพิ่มเติมได้ใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๖๑ วันศุกร์ที่
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง
"XRD - peak fitting")
รูปที่
๒ นั้นเป็นการทำ peak
fitting โดยสมมุติว่าพีคที่ตำแหน่งดังกล่าวมีพีคเพียงแค่พีคเดียว
การทำใช้โปรแกรม fityk
0.9.8 โดยหลังจากตัด
base
line แล้วก็ให้โปรแกรมเป็นผู้เลือกวางตำแหน่งพีคเริ่มต้น
จากนั้นก็ให้โปรแกรมเริ่มทำ
regression
จนโปรแกรมพบว่าไม่สามารถปรับค่าให้ดีขึ้นได้อีก
รูปที่ ๒ (บน)
นั้นใช้พีคเริ่มต้นเป็นชนิด
Gaussian
ส่วนรูปที่
๒ (ล่าง)
นั้นใช้พีคเริ่มต้นเป็นชนิด
Lorentzian
สิ่งที่ควรพิจารณาจากพีคที่ได้ก็คือ
ความสูงของพีค
ลักษณะรูปทรงบริเวณตอนกลางของพีค
และลักษณะการลู่เข้าหา base
line ที่ส่วนฐานของพีค
ซึ่งในกรณีนี้พบว่าการทำ
peak
fitting ด้วยฟังก์ชัน
Lorentzian
นั้นให้ผลที่ดีว่า
รูปที่ ๒ ผลการทำ peak fitting โดยสมมุติว่ามีเพียงพีคเดียว และมีการกระจายตัวแบบ (บน) Gaussian ที่ให้ค่าความกว้างของพีคที่ระยะครึ่งหนึ่งของค่าความสูงของพีคเท่ากับ 0.644º หรือ (ล่าง) Lorentzian ที่ให้ค่าความกว้างของพีคที่ระยะครึ่งหนึ่งของค่าความสูงของพีคเท่ากับ 0.454º
รูปที่ ๒ ผลการทำ peak fitting โดยสมมุติว่ามีเพียงพีคเดียว และมีการกระจายตัวแบบ (บน) Gaussian ที่ให้ค่าความกว้างของพีคที่ระยะครึ่งหนึ่งของค่าความสูงของพีคเท่ากับ 0.644º หรือ (ล่าง) Lorentzian ที่ให้ค่าความกว้างของพีคที่ระยะครึ่งหนึ่งของค่าความสูงของพีคเท่ากับ 0.454º
รูปที่
๓ เป็นการทำ peak
fitting โดยสมมุติว่าพีคที่ตำแหน่งดังกล่าวมี
๒ พีคซ้อนกันอยู่ การทำ peak
fitting
ครั้งนี้เริ่มจากการให้โปรแกรมเลือกวางตำแหน่งพีคที่หนึ่งและพีคที่สอง
จากนั้นจึงค่อยเริ่มทำการ
regression
ในกรณีนี้ถ้ามองโดยภาพรวมโดยพิจารณากราฟผลรวมของทั้ง
๒ พีคจะเห็นว่าการใช้พีคชนิด
Gaussina
หรือ
Lorentzian
นั้นให้ผลที่ทัดเทียมกัน
ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของความสูง
การสอดรับกับรูปทรงของพีค
และลักษณะการลู่เข้าหาเส้น
base
line
รูปที่
๓ ผลการทำ peak
fitting โดยสมมุติว่าพีคดังกล่าวประกอบลด้วยพีคสองพีค
และมีการกระจายตัวแบบ (บน)
Gaussian หรือ
(ล่าง)
Lorentzian
แต่ถ้าดูจากลักษณะของพีคย่อยที่เป็นองค์ประกอบ
จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอยู่
กล่าวคือในกรณีของฟังก์ชัน
Gaussian
นั้นบอกว่ามีพีคขนาดใหญ่และกว้างที่ค่า
2
Theta ประมาณ
47.8º
ในขณะที่พีคที่ตำแหน่ง
2
Theta ประมาณ
48.0º
นั้นแม้จะสูงกว่า
แต่ก็แคบกว่าและมีพื้นที่พีคที่ต่ำกว่า
โดยค่าความกว้างของพีคที่ระยะครึ่งหนึ่งของค่าความสูงของพีคนั้นคือ
0.928º
และ
0.366º
ตามลำดับ
ในขณะที่ฟังก์ชัน Lorentzian
นั้นบอกว่ามีพีคขนาดใหญ่และแคบที่ค่า
2
Theta ประมาณ
48.0º
และพีคที่เล็กกว่า
(ทั้งความสูงและพื้นที่ใต้พีค)
ที่ค่า
2
Theta ประมาณ
47.8º
โดยค่าความกว้างของพีคที่ระยะครึ่งหนึ่งของค่าความสูงของพีคนั้นคือ
0.340º
และ
0.472º
ตามลำดับ
ทีนี้ด้วยข้อมูลดิบเดียวกัน
ถ้าต้องการบอกว่ามีผลึกอยู่
๒ ขนาด ถ้าใช้ฟังก์ชัน Gaussian
จะได้ผลึกที่มีขนาดแตกต่างกันประมาณ
2.5
เท่า
โดยผลึกที่ให้พีคที่ ค่า
2
Theta ประมาณ
47.8º
เป็นผลึกที่มีขนาดเล็กมาก
(ก็ตัวหารมันมีค่ามาก)
แต่ถ้าใช้ฟังก์ชัน
Lorentzian
จะได้ผลึกที่มีขนาดแตกต่างกันเพียงประมาณ
1.4
เท่า
และเป็นผลึกที่มีขนาดใหญ่กว่าการใช้ฟังก์ชัน
Gaussian
ในการทำ
peak
fitting ด้วย
โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว
ผมเห็นว่าพีคดังกล่าวเป็นผลรวมของ
๒ พีค ที่พีคด้านซ้ายมีขนาดเล็กว่าพีคด้านขวา
จึงทำให้พีคมีการโป่งนูนขึ้นเล็กน้อยทางด้านซ้าย
(เรื่องปรกติที่มักพบเห็นกันในกรณีที่พบพีคมีการโป่งนูนเล็กน้อย)
แต่ทั้งนี้ก็ควรพึงระลึกด้วยว่า
ด้วยข้อมูลเดียวกัน
ถ้าใช้การเริ่มวางพีคและการทำ
regression
ที่ต่างกัน
(เช่นวางทีละพีคแล้วทำ
regression
หรือตำแหน่งจุดที่วาง)
ก็สามารถให้ผลการทำ
regression
ที่แตกต่างกันได้เช่นกัน
.....
จบตอนที่
๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น