ถ้าเอ่ยคำว่า
"Reactor"
ให้กับคนทั่วไปที่ไม่ใช่วิศวกรเคมีฟัง
เชื่อว่าเกือบทั้งหมดคนนึกถึงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือ
"Nuclear
reactor" แต่คำว่า
reactor
ในที่นี้เป็นเรื่องของ
"Chemical
reactor" หรือเครื่องปฏิกรณ์เคมี
ที่ภาชนะที่เป็นที่เกิดปฏิกิริยาเคมี
ที่นำสารตั้งต้นมาทำปฏิกิริยา
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
กลายเป็นสารเคมีตัวใหม่
ในทางวิศวกรรมเคมีนั้นจะแบ่ง
Reactor
ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ตามรูปแบบการไหลผ่านและการผสม
รูปแบบแรกมีลักษณะเป็นถังผสม
ที่นำเอาสารตั้งต้นมาปั่นกวนและทำปฏิกิริยากันจนได้ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ
การทำงานของ reactor
แบบนี้อาจเป็นการทำงานแบบกะ
(คำว่า
"กะ"
ในที่นี้ตรงกับคำภาษาอังกฤษเรียกว่า
batch
นะ
ไม่ใช่ "ประมาณ")
หรือทำงานแบบต่อเนื่องก็ได้
ที่ภาษาทางวิศวกรรมเคมีเรียกว่า
Continuous
Stirred Tank Reactor หรือที่ย่อว่า
CSTR
แบบที่สองนั้นรูปแบบการไหลจะมีลักษณะไหลเหมือนกับการไหลไปตามท่อ
โดยในระหว่างที่ไหลผ่าน
reactor
ไปนั้นก็จะเกิดปฏิกิริยาไปด้วย
ความเข้มข้นของสารตั้งต้นก็จะลดลงตามระยะทางที่ไหลผ่านเพิ่มขึ้น
reactor
แบบนี้เรียกว่า
Tubular
reactor
การเกิดปฏิกิริยาใน
reactor
นั้นอาจเกิดโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยา
(catalyst)
ช่วย
หรือไม่มีก็ได้
ในกรณีที่มีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยจะเรียกว่าเป็น
catalytic
reactor
เฟสสารตั้งต้นที่ไหลเข้าออก
reactor
นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเฟสของเหลวหรือเฟสแก๊สเพียงชนิดเดียว
อาจมีทั้งเฟสของเหลวและแก๊สร่วมกันก็ได้
และในกรณีของ catalytic
reactor นั้นอาจมีการบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นของแข็งไว้ใน
reactor
หรือป้อนเข้าไปอย่างต่อเนื่องเหมือนกับสารตั้งต้นก็ได้
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละปฏิกิริยา
แต่ละกระบวนการ
catalytic
reactor แบบหนึ่งที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากในอุตสาหกรรมเคมี
ปิโตรเคมี และกลั่นน้ำมันคือ
แบบที่เรียกว่า fixed-bed
reactor (หรือ
fixed-bed
catalytic reactoc) หรือ
packed-bed
reactor รูปแบบการไหลผ่านเครื่องปฏิกรณ์ชนิดนี้จะเหมือนกับกรณีของ
tubular
reactor แต่แทนที่จะเป็นการไหลผ่านที่ว่าง
กลายเป็นการไหลผ่านชั้นอนุภาคของแข็ง
(ตัวเร่งปฏิกิริยา)
ที่บรรจุอยู่ภายใน
ทำนองเดียวกันกับน้ำที่ไหลผ่านชั้นทรายหรือเรซินที่ใช้กรองน้ำ
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ
fixed-bed
มีทั้งแต่ไม่กี่สิบมิลลิเมตร
(เช่นในกรณีของ
multi
tubular reactor ที่ใช้ในปฏิกิริยา
selective
oxidation ที่มีการคายความร้อนสูง
ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
25
มิลลิเมตร)
ไปจนถึงหลายเมตร
รูปร่างของอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่นำมาบรรจุใน
fixed-bed
reactor นั้นมีขนาดและรูปร่างที่หลากหลาย
ขนาดของอนุภาค
(ที่เริ่มจากไม่กี่มิลลิเมตรจนถึงระดับเซนติเมตร)
มักจะถูกกำหนดโดยค่าความดันลดที่ยอมรับได้
(คือผลต่างระหว่างความดันด้านไหลเข้ากับความดันด้านไหลออก
ตัวเลขนี้บ่งบอกถึงความต้านทานการไหลผ่านเบด
ถ้าค่านี้สูงก็แสดงว่าความต้านทานการไหลผ่านเบดก็สูงตามไปด้วย)
ส่วนรูปร่างของตัวเร่งปฏิกิริยานั้นส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากค่าความดันลดที่ยอมรับได้
แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นผลมาจากปัจจัยเรื่องการถ่ายเทมวลสารและพลังงาน
(mass
and heat transfer)
ระหว่างของไหลที่ไหลผ่านอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยากับพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
และการแพร่ซึมเข้าไปข้างในอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยา
ซึ่งรายละเอียดในส่วนนี้ขอละเอาไว้ไม่กล่าวถึง
เพราะจะเป็นเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่ง
ปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยาที่จะบรรจุเข้าไว้ใน
fixed-bed
ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานและระยะเวลาวงรอบที่จะทำการเปลี่ยน
แต่โดยทั่วไปก็จะมักจะให้ตรงตามรอบเวลาการหยุดเดินเครื่อง
(shut
down) ประจำปีของโรงงาน
แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาทุกปี
อาจเป็น ๓ ถึง ๕ ปีครั้งก็ได้
คือใส่ไว้เยอะ ๆ เผื่อเอาไว้ก่อน
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนบ่อย
รูปที่
๑ Reactor
layout and piping arrangement (๑)
เอกสาร
"Reactor
layout and piping arrangement" ที่เอามาให้ดูในวันนี้
สำหรับคนที่ทำงานอยู่ในวงการแล้วคงจะเห็นว่ามันไม่มีเนื้อหาอะไร
แต่วัตถุประสงค์ของการนำเสนอในที่นี้คือให้นิสิตปริญญาตรีที่กำลังศึกษาอยู่
หรือคนที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านวิศวกรรมเคมี
แต่ต้องทำงานเกี่ยวกับวิศวกรรมเคมี
พอจะมองเห็นภาพบ้างว่าเนื้อหาในเอกสารนี้เกี่ยวกับอะไร
โดยเนื้อหาที่จะเล่าจะไม่ใช่การแปล
แต่จะขอเน้นไปด้านการอธิบายศัพท์และขยายความมากกว่า
เนื้อหาในย่อหน้าแรกในรูปที่
๑ หรือส่วนของบทนำ (Introduction)
ทำให้ทราบว่าเนื้อหาในส่วนนี้เป็นการยกตัวอย่างกรณีของ
fixed-bed
catalytic reactor ที่ใช้ในหน่วยการผลิตที่มีชื่อว่า
"Platformer"
(ย่อมาจาก
Platinum
reforming คือใช้โลหะพลาทินัมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
ใช้ในการเปลี่ยนสารประกอบไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรงช่วง
C6-C8
ให้กลายเป็นสารประกอบอะโรมาติก
เบนซีน โทลูอีน และไซลีน
เพื่อนำไปผสมเพิ่มเลขออกเทนในน้ำมันเบนซินหรือใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่อไป)
"Atmospheric
crude unit" คือหน่วยกลั่นน้ำมันที่ความดันบรรยากาศ
กล่าวคือในการกลั่นน้ำมันนั้นจะมีหอกลั่นอยู่ด้วยกันสองหอ
หอแรกเป็นการกลั่นที่ความดันบรรยากาศ
จะได้พวกน้ำมันเบา (แก๊สหุงต้ม
เบนซิน น้ำมันก๊าด ดีเซล)
ออกมา
น้ำมันส่วนเหลือที่ออกทางก้นหอเป็นพวกมีจุดเดือดสูง
จะส่งไปกลั่นแยกต่อที่หอกลั่นสุญญากาศ
โดยทำการกลั่นที่ความดันต่ำกว่าบรรยากาศ
ทั้งนี้เพื่อลดจุดเดือดของน้ำมันหนัก
ไฮโดรคาร์บอนที่จะนำมาเข้ากระบวนการ
platforming
จะอยู่ในช่วงของน้ำมันเบนซิน
(gasoline)
ที่บางทีก็เรียกว่าแนฟทาเบา
(light
naphtha)
H.D.S.
ย่อมากจาก
Hydrodesulfurisation
(หรือ
Hydrodesulfurization)
เป็นหน่วยที่ใช้กำจัดสารประกอบกำมะถันอินทรีย์ที่อยู่ในน้ำมัน
ด้วยการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาและแก๊สไฮโดรเจนเปลี่ยนอะตอม
S
ที่อยู่ในรูปสารประกอบอินทรีย์ให้กลายเป็นแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์
(H2S)
วัตถุประสงค์ของหน่วยนี้ก็เพื่อลดปริมาณกำมะถันในน้ำมัน
เพื่อที่ว่านำไปเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิงจะได้ไม่เกิดแก๊ส
SO2
ออกมา
และยังเป็นการป้องกันตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในหน่วย
catalytic
cracking (ทำให้ไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง)
ไม่ให้ถูกทำกลายด้วยสารประกอบกำมะถัน
(เพราะตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในหน่วย
catalytic
cracking มีฤทธิ์เป็นกรด
ส่วนสารประกอบกำมะถันอินทรีย์มีฤทธิ์เป็นเบสที่สามารถไปสะเทินความเป็นกรดของตัวเร่งปฏิกิริยา
catalytic
cracking ได้)
ข้อ
1.
กล่าวว่าเรื่องของ
piping
นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในการออกแบบตำแหน่ง
reactor
สิ่งที่สำคัญกว่าได้แก่การจัดการกับตัวเร่งปฏิกิริยา
(คือการบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาลงใน
reactor
และการนำเอาตัวเร่งปฏิกิริยาที่เสื่อมสภาพแล้วออกจาก
reactor
เพื่อเปลี่ยนตัวใหม่)
ข้อ
2.
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ
การเข้าถึง การซ่อมบำรุง
และความปลอดภัย
ข้อ
2
a) กล่าวถึงแผนการการจัดการกับตัวเร่งปฏิกิริยาที่จะนำออกจาก
reactor
ว่าจะถ่ายลงสู่อะไร
จะถ่ายลงสู่ถัง (drum)
หรือถึงบรรจุ
หรือถ่ายลงสู่รถบรรทุกโดยตรง
ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับความสูงและตำแหน่งของจุดที่จะถ่ายตัวเร่งปฏิกิริยาออก
ในกรณีที่จะถ่ายลงสู่รถบรรทุกโดยตรงก็ต้องมั่นใจว่ามีเส้นทางเข้าถึงและที่ว่าง
(ทั้งความกว้างและความสูง)
รอบ
reactor
ที่เพียงพอที่รถบรรทุกจะเข้าไปรองรับข้างใต้
reactor
ได้
ประเด็นนี้ควรได้รับการพิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน
(คือตำแหน่งที่ตั้ง
reactor)
รูปที่
๒ Reactor
layout and piping arrangement (๒)
ข้อ
2
b) (ในรูปที่
๒)
เป็นแผนการการบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าสู่
reactor
ปรกติตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นอนุภาคของแข็งมักจะบรรจุมาในถุงหรือในถัง
(ต่อไปขอใช้คำว่าถังอย่างเดียวก็แล้วกัน)
สำหรับ
fixed-bed
ขนาดเล็กนั้นอาจใช้วิธีการเทลงไปโดยตรงจากทางด้านบนได้
(ถ้าไม่ต้องกังวลว่าอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาจะเกิดการแตกหักเมื่อตกกระทบพื้นด้านล่าง)
หรือเทผ่านทางท่อหรือปล่องหรืองวง
(ที่เรียกว่า
chute)
แต่ถ้าเป็น
fixed-bed
ขนาดใหญ่อาจต้องให้คนเข้าไปอยู่ใน
reactor
เพื่อเข้าเทตัวเร่งปฏิกิริยาภายใน
หรือย้ายตำแหน่งปลายด้านล่างของ
chute
ว่าจะให้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เทลงมาตาม
chute
นั้นตกลงตำแหน่งใด
ประเด็นที่ต้องพิจารณาตรงนี้คือต้องมีที่ทำงานทางด้านบนของ
reactor
สำหรับให้พนักงานขึ้นไปปฏิบัติงาน
และควรต้องมีอุปกรณ์ช่วยยกในการยกถังบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยานั้นขึ้นไปข้างบน
(รวมทั้งส่งกลับลงมาด้วย)
และในกรณีที่คาดว่าจะต้องมีการนำถังบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาจำนวนหลายถังไปกองรวมไว้ด้านบนก่อนการเท
ก็ต้องมั่นใจว่าพื้นที่ทำงานตรงนั้นสามารถรับน้ำหนักถังบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาที่นำไปกองเอาไว้ได้ด้วย
ซึ่งข้อมูลตรงนี้จำเป็นต้องแจ้งให้ทางวิศวกรโยธาผู้ทำการออกแบบโครงสร้างทราบด้วย
(เพราะมันเป็นงานพิเศษที่นาน
ๆ ทำครั้งและมักไม่ปรากฏในรายละเอียดการทำงานตามปรกติ)
ข้อ
2
c) เกี่ยวข้องกับประเด็นที่อาจมีฝนตกในระหว่างการทำงาน
เพราะการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาใน
fixed-bed
นั้นมักจะกินเวลาหลายวัน
และในกรณีที่น้ำอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเร่งปฏิกิริยาได้ก็ให้คำนึงถึงโอกาสที่จะมีฝนตกในระหว่างการทำงานด้วย
ว่าจะให้มีโครงสร้างหลังคาป้องกันแบบชั่วคราว
(เสร็จงานแล้วรื้อออก)
หรือแบบถาวร
แต่ถ้าตั้งใจจะให้มีโครงสร้างแบบถาวรก็ควรพิจารณาติดตั้ง
"loading
beam" (ในที่นี้คือคานเหล็กรูปตัวไอ
(I)
ที่มีรอกติดตั้งอยู่ถาวรและเคลื่อนไปมาตามแนวความยาวคานได้)
แทนการใช้
"davit"
(แขนโค้งรูปร่างคล้ายสระอา
"า"
ที่หมุนรอบแนวตั้งได้)
แม้ว่าการใช้
davit
จะประหยัดกว่า
แต่จะมีขีดจำกัดเรื่องของระยะทางและน้ำหนักที่รับได้
ข้อ
2
d)
เป็นส่วนของรถบรรทุกที่จะใช้ลำเลียงถังบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาและขนตัวเร่งปฏิกิริยาออกไป
โดยให้คำนึงถึง วงเลี้ยว
ความกว้าง ความยาว และความสูงของรถด้วย
เพราะปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวกำหนด
ความสูง พื้นที่ว่าง
และเส้นทางเข้าถึงตัวอุปกรณ์
ข้อ
2
e) (รูปที่
๓)
กล่าวถึงการตรวจสอบความสูงของรถบรรทุกและวิธีการที่จะถ่ายตัวเร่งปฏิกิริยาออกจาก
reactor
ว่าจะถ่ายออกทางด้านข้างหรือทางด้านล่าง
จำเป็นต้องมีเครื่องมือเพิ่มเติมเช่น
chute
สายยาง
หรือกรวย
ติดตั้งเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการถ่ายตัวเร่งปฏิกิริยาลงสู่รถหรือไม่
ข้อมูลเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความสูงของ
reactor
จากพื้น
โดยให้คำนึงถึงปัญหาที่อาจมีกับระบบท่อและการถอดหน้าแปลนที่อยู่ทางด้านล่างด้วย
ข้อ
2
f) ให้ทำการระบุน้ำหนักของถังหรือถุงที่ใช้บรรจุตัวเร่งปฏิกิริยา
และให้คำนึงถึง "ขนาด"
ของภาชนะบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาด้วย
เพราะขนาดของภาชนะบรรจุส่งผลต่อที่ว่างที่ต้องใช้ในการทำงาน
(ไม่ว่าจะเป็นการกองเก็บบนพื้นทำงานด้านบน
หรือในช่วงที่ยกขึ้นจากรถบรรทุกที่นำมาส่ง
เพราะส่งผลต่อระยะการทำงานของ
davit
หรือ
loading
beam ด้วย)
โดยให้ตรวจสอบในหัวข้อต่อไปนี้
(Check
I - Check VI)
ข้อ
2
f) Check I กล่าวถึงราวกั้นพื้นที่ทำงานด้านบน
(กันคนทำงานร่วงลงมา)
ว่าเป็นการติดตั้งแบบถาวรหรือถอดออกได้
(ซึ่งถ้าถอดออกได้จะทำให้การยกภาชนะบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยามาวางบนพื้นที่ทำงานด้านบนทำได้ง่ายขึ้น
เพราะไม่ต้องยกข้ามราวกั้น)
ในหัวข้อนี้กล่าวไว้ว่าการใช้ประตูแบบบานพับ
(swing
gate) ที่เปิดประตูเข้ามาทางด้านในพื้นที่ทำงาน
เป็นวิธีที่ดีและปลอดภัยที่สุด
รูปที่
๓ Reactor
layout and piping arrangement (๓)
ข้อ
2
f) Check II กล่าวถึงความสูงรวมของ
ถังหรือถุงบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยา
และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ที่ต้องใช้ในการยกภาชนะบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยา
ไม่ว่าจะเป็นฐานรอง (cradle
- ถ้ามี)
ระยะความสูงของลวดที่ใช้ยก
เป็นต้น
ข้อ
2
f) Check III กล่าวถึงความสามารถในการรับน้ำหนักของลวดและอุปกรณ์ยก
ข้อ
2
f) Check IV ตำแหน่งระดับความสูงของอุปกรณ์ยก
(คือให้สูงพอที่จะยกภาชนะบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาให้สูงเหนือระดับพื้นที่จะนำมาวางด้านบน)
ข้อ
2
f) Check V (รูปที่
๔)
กล่าวถึงระดับตำแหน่งความสูงของหน้าแปลน
(คงหมายถึงหน้าแปลนที่ต้องเปิดออกเพื่อทำการบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยา)
และแนวเส้นท่อที่อาจกีดขวางการทำงาน
ข้อ
2
f) Check VI กล่าวถึงการบรรจุทางด้านบนสุด
ปรกติแก๊สที่ไหลเข้า fixed-bed
จะไหลเข้าทางด้านบน
ตรงกลาง reactor
ในกรณีนี้คงหมายถึงการที่จะใช้
ข้อ
2
g) กล่าวถึงการเข้าถึงพื้นที่ทำงานทางด้านบนสุดของเครื่องปฏิกรณ์
reformer
ว่าจะใช้บันไดชนิดปีน
(ladder)
หรือเป็นขั้นเดินขึ้นไป
(stairs)
การเลือกชนิดบันไดตรงนี้ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งาน
ซึ่งความถี่ในการใช้งานก็ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของตัวเร่งปฏิกิริยาว่าต้องมีการเปลี่ยนบ่อยครั้งแค่ไหน
และในกรณีที่เป็นเครื่องปฏิกรณ์สองตัววางคู่ขนานกัน
(แต่ใช้งานทีละตัว
พอตัวเร่งปฏิกิริยาของเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ใช้งานอยู่นั้นเสื่อมสภาพ
จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกริยา
ก็เปลี่ยนเส้นทางการไหลให้ไปเข้าเครื่องปฏิกรณ์อีกเครื่องแทน)
การมีขั้นบันไดแบบเดินขึ้นไปนั้นจะเหมาะสมกว่า
ข้อ
2
g) 1. กล่าวถึงรูปแบบของฐาน
(reactor
support) ของเครื่องปฏิกรณ์
(ฐานในที่นี้คือโครงสร้างของตัวเครื่องปฏิกรณ์ที่ถ่ายน้ำหนักตัวเครื่องปฏิกรณ์ลงพื้นหรือโครงสร้างอื่นนะ
ไม่ใช่พื้นหรือโครงสร้างอาคารที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักของเครื่องปฏิกรณ์)
จุดที่ควรตรวจสอบ
ในกรณีที่ฐานนี้ไม่ใช่แบบ
skirt
ข้อ
2
g) 1. ข้อย่อย
I
กล่าวว่าถ้าโครงสร้างของพื้นที่ทำงานนั้นเป็นอิสระจากตัวเครื่องปฏิกรณ์
ให้คำนึงถึงการขยายตัวของเครื่องปฏิกรณ์
(ที่จะร้อนขึ้นในขณะใช้งาน)
ว่าจะส่งผลต่อพื้นที่ทำงานด้านบนหรือไม่
ไม่ใช่ว่าตอนสร้างเสร็จก็ดูเรียบร้อยดี
แต่พอใช้งานจริง ตัวเครื่องปฏิกรณ์
(คงรวมถึงตัวท่อที่ต่ออยู่ด้วย)
มีการขยายตัวจนไปเบียดเข้ากับพื้นที่ทำงาน
รูปที่
๔ Reactor
layout and piping arrangement (๔)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น