ไฮโดรเจน
(Hydrogen H2)
เป็นแก๊สที่ติดไฟได้
แต่ด้วยการที่การเผาไหม้ไฮโดรเจนนั้นมี
Flame speed
สูงกว่าไฮโดรคาร์บอนประมาณ
๓ เท่า (ประมาณ
16 m/s ต่อ
48 m/s)
แต่ถ้ามีปริมาณไม่มากและเกิดผสมอยู่กับไฮโดรคาร์บอนด้วยแล้วก็จะส่งออกระบบ
flare ทั่วไป
แต่ถ้าจำเป็นต้องทำการไฮโดรเจนปล่อยทิ้งในปริมาณมากก็ต้องแยกระบบเผาไฮโดรเจนออกจากระบบ
flare
ที่ใช้เผาแก๊สทั่วไป
ในกรณีที่มันเกิดอย่างอิสระในอย่างช้า
ๆ ในปริมาณไม่มากก็จะปล่อยออกสู่บรรยากาศโดยตรง
(แต่ควรเป็นตำแหน่งที่อยู่สูงหน่อยและอากาศระบายได้ดี)
เพราะมันเป็นแก๊สที่เบากว่าอากาศและฟุ้งกระจายได้ง่าย
โอกาสที่จะสะสมจนมีความเข้มข้นสูงจนระเบิดได้จึงต่ำมาก
รูปที่ ๑
หลายเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแก๊สไฮโดรเจนที่เกิดและสะสมในระบบโดยไม่คาดคิด
(จาก
ICI Safety
Newsletters เดือนธันวาคม ๑๙๗๓
(พ.ศ.
๒๕๑๖))
Flame
speed คือความเร็วในการเคลื่อนที่ของเปลวไฟ
เช่นถ้าเราเอา เชื้อเพลิง
+ อากาศ
ฉีดออกจากหัวฉีดให้แก๊สผสมที่พุ่งออกมานั้นมีความเร็วแตกต่างกัน
(ผสมอากาศเข้าไปตรงบริเวณใกล้ทางออกของหัวฉีดนะ
แบบเตาแก๊สที่ใช้ตามบ้าน)
แล้วจุดไฟแก๊สผสมที่ออกมาจากหัวฉีดนั้น
ถ้าความเร็วของแก๊สนั้นต่ำกว่าความเร็วของเปลวไฟ
เปลวไฟจะวิ่งย้อนเข้ามาในหัวฉีด
ถ้าความเร็วของแก๊สที่พุ่งออกมานั้นพอดีกับความเร็วของเปลวไฟ
เปลวไฟก็จะลอยอยู่กับที่ตรงหัวฉีด
แต่ถ้าความเร็วของแก๊สผสมนั้นเร็วเกินไป
เปลวไฟก็จะถูกผลักห่างออกไปจากหัวฉีดและก็ดับได้
อุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการปรากฏของแก๊สไฮโดรเจนที่ไม่คาดคิด
๓ เรื่องในวันนี้นำมาจาก
ICI Safety
Newsletters ฉบับที่ ๕๙ เดือนธันวาคม
๑๙๗๓ (พ.ศ.
๒๕๑๖)
เรื่องแรกเป็นกรณีของถังเก็บกรดฟอสฟอริก
(Phosphoric acid -
H3PO4)
กรดเจือจางที่มีน้ำเป็นตัวทำละลายนั้นสามารถแตกตัวให้โปรตอน
(H+)
ออกมา
และเจ้าโปรตอนตัวนี้สามารถไปดึงอิเล็กตรอนจากอะตอมเหล็ก
ทำให้อะตอมเหล็กกลายเป็นไอออนละลายออกมา
แล้วตัวมันเองก็กลายเป็นแก๊สไฮโดรเจนระเหยออกมา
แต่ในกรณีที่เป็นกรดเข้มข้นมาก
การแตกตัวให้โปรตอนออกมาจะลดลงเพราะมันไม่มีตัวรับโปรตอน
ดังนั้นเหล็กที่ถูกกรดเจือจางกัดกร่อนได้ง่าย
กลับกลายเป็นว่าไม่มีปัญหากับกรดความเข้มข้นสูง
รูปที่ ๒
Chloride ion (Cl-)
ที่ปนเปื้อนเข้าไปในกรดฟอสฟอริก
จะทำให้เกิดกรด HCl
ขึ้น ซึ่งกรด HCl
นี้กัดเหล็กกล้าไร้สนิมได้ดีด้วย
และยังทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจนขึ้นด้วยดังข้อมูลที่แสดงใน
Table 4 ในรูป
(จากเอกสาร
Corrosion Resistance
of Nickel-Containing Alloys in Phophoric Acid, Publication No. 415,
โดย Nickel
Development Institute)
แต่แม้ว่าเป็นกรดเข้มข้นก็ไม่ใช่ว่าเหล็กมันไม่ถูกกัดกร่อนเลย
เอาเป็นว่าอัตราการถูกกัดกร่อนมันต่ำลงมากจนสามารถใช้งานได้นานกว่าจะหมดอายุใช้งาน
ดังนั้นด้วยเหตุนี้การออกแบบถังเก็บกรดจึงมีการคำนึงถึงแก๊สไฮโดรเจนที่อาจเกิดขึ้นในระบบ
(ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในถังหรือระบบท่อที่ลำเลียงกรดเข้าถัง)
และต้องมีการระบายแก๊สไฮโดรเจนนี้ออกไป
ซึ่งโดยปรกติก็สามารถใช้ช่อง
vent
(ที่ใช้ยอมให้อากาศไหลออกหรือไหลเข้าถังเมื่อระดับของเหลวในถังเปลี่ยนไป)
ได้อยู่แล้ว
ในเหตุการณ์แรกนี้ท่อ
vent ไม่ได้อยู่
ณ ตำแหน่งส่วนบนสุดของฝาถัง
แต่อยู่ต่ำกว่า จึงทำให้มีแก๊สไฮโดรเจนสะสมอยู่ในถังได้ แถมท่อทางออกยังถูกต่อออกทางมาทางด้านข้าง
และหันปลายท่อลงล่าง
(ก็คงเพื่อกันน้ำฝนเข้า)
โดยปลายท่อนั้นอยู่ใกล้กับทางเดิน
(น่าจะเป็นทางเดินยกระดับจึงได้อยู่สูงขนาดนั้น)
วันหนึ่ง
เปลวไฟที่เกิดจากการเชื่อมโลหะ
(ที่น่าจะมีการทำงานอยู่บริเวณนั้น)
จุดระเบิดแก๊สไฮโดรเจนที่รั่วออกมา
เปลวไฟเดินทางย้อนกลับเข้าไปในถัง
ทำให้ฝาถังปลิวออก
บทความไม่ได้เอ่ยว่าเกิดแก๊สไฮโดรเจนได้อย่างไร
และจุดกำเนิดอยู่ที่ไหน
แต่ไปเห็นข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจที่จัดทำโดย
Nickel Development
Institute (รูปที่
๒) ที่กล่าวว่า
แม้ว่าเหล็กกล้าไร้สนิม
(หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าเหล็กสแตนเลส)
SS-304 หรือ SS-316
จะทนต่อกรดฟอสฟอริกได้ดี
แต่ถ้ามีChloride
ion (Cl-)
ปนเปื้อนเข้าไปในระบบ
จะทำให้เกิดกรดเกลือ (HCl)
ขึ้น
และกรดเกลือตัวนี้ก็สามารถกัดเหล็กกล้าไร้สนิมทั้งสองตัวได้ดีซะด้วย
ร่วมกับการทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจน
ดังข้อมูลที่แสดงใน Table
4 ในรูปที่
๒ ในเหตุการณ์นี้แม้ว่าจะมีการย้ายท่อ vent ไปที่ส่วนบนสุดของถัง แต่ปลายท่อ vent ก็ยังควรต้องโค้งลงล่างอยู่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำฝนเข้าไปในถัง
เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นในขณะที่ช่างกำลังเจาะรูลูกสูบ
(piston)
ของเครื่องจักรไอน้ำ
เมื่อหัวสว่านเจาะทะลุชั้นผนังด้านนอกก็มีเปลวไฟยาว
๓ ฟุตพุ่งออกมา
ทำให้ช่างที่ทำการเจาะนั้นได้รับบาดเจ็บ
ผลการวิเคราะห์แก๊สภายหลังพบว่าแก๊สนั้นคือแก๊สไฮโดรเจน
(น่าจะเป็นการนำแก๊สที่ปรากฏในส่วนอื่นมาวิเคราะห์)
แต่บทความไม่ได้ให้รายละเอียดว่าแก๊สไฮโดรเจนเกิดจากไหนและมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
เหตุการณ์สุดท้ายเป็นกรณีที่จะว่าไปแล้วก็คงไม่มีใครคาดคิด
เพราะเกิดจากการที่แก๊สไฮโดรเจนที่เกิดขึ้นทางฝั่งหนึ่งของผนัง
vessel นั้น
สามารถซึมผ่านเนื้อโลหะของผนัง
vessel
และไปโผล่ทางอีกฟากหนึ่งของผนังได้
แก้วเป็นวัสดุที่ทนการกัดกร่อนได้ดี
แต่แตกหักง่ายและไม่เหมาะสำหรับใช้ทำภาชนะรับความดัน
ดังนั้นในกรณีที่ต้องทำงานกับสารที่กัดกร่อน
ทางเลือกที่มีก็คือการเลือกโลหะใช้ที่ทนต่อการกัดกร่อนของสารนั้นได้
(ซึ่งแน่นอนว่ามีราคาสูง)
มาทำเป็นตัว vessel
การเคลือบผิวด้านในของ
vessel
ที่ต้องสัมผัสกับสารกัดกร่อนนั้นด้วยวัสดุที่เหมาะสม
เช่นพอลิเมอร์หรือแก้ว
พอลิเมอร์มันก็ดีตรงที่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะแตก
แต่แก้วมันจะดีกว่าตรงที่มันทนอุณหภูมิได้สูงมากกว่า
รูปที่ ๓
ผนังด้านในของ vessel
เป็นผนังแก้วเพื่อป้องกันการกัดกร่อนโลหะที่ใช้ทำตัว
vessel
ส่วนผนังด้านนอกนั้นมีตัว
jacket
หุ้มอยู่เพื่อเป็นช่องทางสำหรับให้น้ำระบายความร้อนไหลเข้าออก
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ
vessel
ที่มีเคลือบผนังด้านในไว้ด้วยแก้ว
ในขณะที่ผนังด้านนอกนั้นมี
jacket
หุ้มอยู่เพื่อเป็นช่องทางให้น้ำหล่อเย็นไหลผ่าน
(รูปที่
๓)
ช่องทางน้ำไหลภายใน
jacket
นี้ไม่สามารถใช้เครื่องมือเข้าไปขัดผิวทำความสะอาดได้
ดังนั้นเวลาที่มีคราบสกปรกเกาะติด
ก็ต้องใช้สารเคมีเข้าไปละลาย
และคราบตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อใช้น้ำหล่อเย็นก็คือตะกรัน
(ซึ่งจะเกิดมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับน้ำที่นำมาใช้)
ตะกรันนี้ละลายได้ในกรด
ดังนั้นการล้างตะกรันออกจึงต้องใช้กรดเข้าไปละลาย
(แบบเดียวกับเวลาที่เราจะล้างกระติกน้ำร้อนไฟฟ้าที่มีตะกรันเกาะติด
เราก็จะใช้น้ำส้มสายชูละลายตะกรัน)
การล้างตะกรันในระบบท่อหรือระบบปิดใด
ๆ ด้วยการใช้กรดเข้าไปละลายเป็นเรื่องปรกติที่ทำกัน
ส่วนที่ว่าล้างตะกรันได้หมดหรือยังนั้นก็ดูได้จากสารละลายกรดที่ไหลออกมา
ถ้าเห็นว่าสารละลายกรดที่ไหลออกมามันเข้มข้นมากขึ้นหรือเริ่มมีไอออนโลหะละลายออกมามากขึ้น
นั่นก็แสดงว่าล้างตะกรันได้หมดแล้ว
ก็ยุติการล้างได้
และในจังหวะที่กรดที่ป้อนเข้าไปนั้นเริ่มกัดเนื้อโลหะ
ก็จะมีแก๊สไฮโดรเจนเกิดขึ้น
โมเลกุลแก๊สไฮโดรเจน
H-H
สามารถถูกดูดซับไว้ด้วยอะตอมโลหะหลายชนิด
โดยอะตอมโลหะจะดูดซับแก๊สไฮโดรเจนในรูปของอะตอม
H (คือใช้
๒ อะตอมโลหะจับอะตอม H
๒ อะตอม)
และเนื่องจากอะตอม H
มีขนาดเล็กมาก
อาจเล็กกว่าช่องว่างระหว่างอะตอมของโลหะอีก
ทำให้อะตอม H
สามารถแพร่ซึมเข้าไปในเนื้อโลหะและไปโผล่ในที่ว่างในเนื้อโลหะ
(ถ้ามี)
หรือไปยังอีกฟากหนึ่งของเนื้อโลหะได้
และเมื่อมันไปถึงอีกฝั่งหนึ่งก็จะรวมตัวกลับเป็นแก๊สไฮโดรเจนใหม่
เหล็กกล้า carbon
steel จะมีปัญหากับปรากฏการณ์นี้มากที่อุณหภูมิสูงและความดันไฮโดรเจนสูง
ซึ่งการละลายของอะตอมไฮโดรเจนในเนื้อโลหะอาจทำให้คุณสมบัติความแข็งแรงของเนื้อโลหะเปลี่ยนไป
(เช่นจากเหนียวกลายเป็นแข็งและเปราะ)
หรือไปรวมตัวกันในที่ว่างในเนื้อโลหะจนทำให้เนื้อโลหะปูดบวมออกมา
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า
Hydrogen Attack หรือ
Hydrogen damage
ไม่เพียงแต่ไฮโดรเจน
ไฮโดรคาร์บอนเช่นมีเทน
(CH4)
ที่อะตอมโลหะสามารถดูดซับเอาไว้โดยมีการแตกพันธะให้เกิดเป็น
H3C·
และอะตอม H
ออกมา (การดูดซับแบบ
dissociative
adsorption) ก็อาจเกิดปรากฏการณ์นี้ได้เช่นกัน
แต่ก็มีการนำเอาปรากฏการณ์นี้ไปใช้ประโยชน์
คือใช้แยกไฮโดรเจนออกจากแก๊สอื่น
วิธีการทำโดยการเคลือบโลหะที่เหมาะสม
(ที่สามารถดูดซับไฮโดรเจนได้ที่อุณหภูมิต่ำ)
ลงบนพื้นผิวที่มีรูพรุน
แก๊สไฮโดรเจนในแก๊สผสมจะสามารถแพร่ผ่านโลหะนั้นได้ในขณะที่แก๊สตัวอื่นแพร่ผ่านไม่ได้
เหตุการณ์ที่สามนี้เกิดจากแก๊สไฮโดรเจนที่เกิดขึ้นระหว่างการล้าง
jacket ด้วยกรด
แพร่ผ่านผนังของ vessel
ไปยังฝั่งผนังด้านในที่มีแก้วเคลือบเอาไว้
แก๊สไฮโดรเจนสะสมในช่องว่างระหว่างผนังโลหะด้านของ
vessel
กับผนังด้านนอกของชั้นแก้วที่เคลือบเอาไว้
จนมีความดันสูงพอจนทำให้ผนังแก้วนั้นแตกร้าว
เหตุการณ์นี้แม้ว่าจะไม่มีการระเบิดหรือเพลิงไหม้
แต่ต้นตอของความเสียหายก็ยากที่จะคาดถึง
ที่แปลกก็คือตัว
vessel
นั้นทำจากโลหะอะไร
เพราะถ้าเป็น carbon
steel
ธรรมดามันก็ไม่น่าจะเกิดเพราะอุณหภูมิการล้างก็ไม่น่าจะสูงอะไรและแก๊สไฮโดรเจนที่เกิดขึ้นก็ไม่น่าจะมีมากอะไร
แต่ทำไมจึงเกิดการแพร่ผ่านเนื้อโลหะที่ใช้ทำ
vessel ได้
เพราะถ้าแก๊สไฮโดรเจนแพร่ผ่านเนื้อเหล็กได้ง่าย
เราก็คงไม่สามารถเก็บแก๊สไฮโดรเจนไว้ในท่อเหล็กอย่างที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันได้
เรื่องเล่าในวันนี้ก็คงจบลงเพียงแค่นี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น