ช่วงที่หายหน้าไปก็มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของคุณแม่ที่จังหวัดพัทลุง
ในช่วงที่ขับรถกลับก็มีโอกาสคุยกันถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ
๔๐ ปีที่แล้ว (จำไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดเมื่อใด
แต่ถ้านับจากปัจจุบันก็เกินกว่า
๓๐ แต่ไม่ถึง ๔๐ ปีแน่)
แนวถนนสาย
๔๑ เดิมนั้นไม่ได้ตัดตรงเหมือนปัจจุบัน
แต่จะเลี้ยวเข้าแวะตามอำเภอต่าง
ๆ ระหว่างทาง เรียกว่าถนนไปถึง
ชุมชนก็เจริญ
ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังกว่าชุมชนไหนอยากให้ถนนผ่านใกล้บ้านตัวเอง
เพื่อที่จะได้เดินทางได้สะดวก
ก็จะบริจาคที่ดินให้ตัดถนนผ่าน
รัฐก็ประหยัดค่าเวนคืนที่ดิน
แต่คนเดินทางไกลต้องเดินทางคดเคี้ยวไม่น้อย
แต่ในยุคสมัยนั้น
ถ้าจะเดินทางไกลกันจริง ๆ
แล้ว ในพื้นที่ที่มีรถไฟผ่านก็มักจะใช้รถไฟมากกว่า
ภาคใต้ฝั่งตะวันออกก็เช่นเดียวกัน
มีการวางรถไฟวิ่งผ่าน
พอจะตัดถนนลงใต้
ก็เลยตัดจากชุมพรไปทางระนอง
รูปที่
๑ ทางหลวงสาย ๔๑
จากทุ่งสงก่อนเข้าพัทลุง
เส้น ๔๐๔๘ คือแนวเส้นถนนเดิมที่มุ่งเข้าตัวจังหวัด
ส่วนแนวเส้นปัจจุบันเป็นแนวเส้นตัดใหม่
โดยเยื้องออกมาทางด้านตะวันตกของเส้นเดิม
ตำแหน่งที่เป็นดาวแดงคือตำแหน่งที่เคยมีโรงพัก
แนวถนนเพชรเกษมจากชุมพรก็จะเลียบฝั่งตะวันตกไปจนถึงตรัง
ก่อนวกกลับมายังฝั่งตะวันออกที่พัทลุง
เส้นทางสาย ๔๐
ที่เชื่อมชุมพรกับพัทลุงนั้นสร้างกันภายหลัง
แต่ก่อนใครจะใช้รถเดินทางไปยังสุราษฎร์ธานี
ก็ต้องขับรถไปที่ตะกั่วป่าก่อน
จากนั้นจึงค่อยตัดกลับมายังสุราษฎร์ธานี
ถ้าจะไปนครศรีธรรมราช
ก็ต้องเดินทางไปยังตรังก่อน
จากนั้นจึงค่อยวกย้อนขึ้นมายังทุ่งสง
แล้วค่อยตรงไปยังนครศรีธรรมราช
ถ้าใครอยากเดินทางแบบสบาย
ๆ ไปยังภูเก็ต
ก็ต้องนั่งรถไฟสายใต้ไปบัตเตอร์เวิอร์ธก่อน
จากนั้นจะลงเรือไปปีนังหรือย้อนกลับมายังภูเก็ตก็ตามแต่
ที่นี้พอคนเริ่มใช้รถเดินทางมากขึ้น
จากชุมชนที่เคยดีใจว่ามีถนนเข้าถึง
กลายเป็นการจราจรที่หนาแน่นจนถนนชุมชมเดิมรองรับไม่ไหว
ก็เริ่มมีการพิจารณาปรับแนวถนนเดิมให้ตรงขึ้นและหลีกเลี่ยงเข้าชุมชน
ตัวอย่างเช่นเส้นทางจากพัทลุงไปยังหาดใหญ่
(ที่ยกตัวอย่างเส้นนี้เพราะเคยใช้เดินทางตั้งแต่เป็นเด็ก)
แต่เดิมนั้นจะต้องผ่าน
อ.รัตภูมิ
ก่อนเข้าหาดใหญ่
แต่พอตัดใหม่ทำให้ไม่ต้องผ่าน
อ.รัตภูมิ
โดยตรงไปหาดใหญ่ได้เลย
ผลที่ตามมาก็คือปัจจุบันแนวถนนตัดใหม่ก็มีการขยายช่องทางเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่แนวถนนเดิมก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม
คือยังเป็นถนนสองช่องทางจราจรรถวิ่งสวนกัน
ถูกลดฐานะเป็นถนนเลข ๔ หลัก
เลี้ยวคดผ่านไปตามหมู่บ้านต่าง
ๆ ที่ชาวบ้านเขาบริจาคที่ดินให้ตัดถนน
ทุกครั้งที่มีโอกาสเดินทางผ่านถนนเหล่านี้ที่เคยนั่งรถผ่านเมื่อ
๓๐-๔๐
ปีที่แล้ว ก็ยังได้บรรยากาศการเดินทางเหมือนเมื่อ
๓๐-๔๐
ปีก่อนนั้น
ในสมัยที่ยังมีการสู้รับกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั้น
เส้นทางสายใต้ตั้งแต่ชุมพรลงไปเรียกได้ว่าเป็นเส้นที่อันตราย
เพราะทั้งสุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช และพัทลุง
ต่างเป็นพื้นที่สีแดง
พูดให้ง่าย ๆ
ให้เห็นภาพก็คือรัฐมีอำนาจในตอนกลางวัน
ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มีอำนาจในตอนกลางคืน
ถ้าอยู่นอกตัวเมือง
พอตกค่ำทีก็ปิดบ้านและเก็บตัวอยู่ในบ้านกันหมด
รูปที่
๒ ถ้าขับรถตามสาย ๔๑
มุ่งหน้าไปทุ่งสงออกมาจากแยกบรรจบถนนเพชรเกษม
พอเลยจุดบรรจบสาย ๔๐๔๘
(ที่อยู่ทางด้านขวา)
มาเล็กน้อย
ก่อนจะถึงปั๊มน้ำมันและวัดทุ่งขึงหนัง
จะมีที่ว่างอยู่พื้นที่หนึ่ง
เป็นที่ราชพัสดุ
ตำแหน่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ
ก่อนที่จะถูกโจมตีและเผาทำลายด้วยผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
(ผกค.)
เมื่อเกือบ
๔๐ ปีที่แล้ว
และหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีการสร้างโรงพักขึ้นทดแทนอีกเลย
บ้านเก่าของคุณแม่ผมที่ทุ่งขึงหนังก็อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงเช่นเดียวกัน
ตอนเด็ก ๆ ไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไร
รู้แต่ว่าหัวค่ำเคยช่วยคุณยายเรียงมะม่วงใส่ถังก่อนที่จะบ่ม
และนำไปขายในตลาดตอนเช้า
เคยช่วยคุณตาอาบน้ำให้หมูในคอกพร้อมกับการล้างคอกด้วยการใช้สายยางฉีด
(สนุกกันแบบเด็ก
ๆ)
หรือไม่ก็ไปคุ้ยฟางในเล้าเพื่อเก็บไข่ไก่และไข่เป็ด
หัดปั่นจักรยานสองล้อเป็นก็ที่นั่น
โทรทัศน์ตอนนั้นมีให้ดูได้เพียงแค่ช่องเดียวคือช่อง
๑๐ หาดใหญ่ (เสาส่งอยู่ห่างไปกว่า
๑๐๐ กิโลเมตร)
บ้านที่อยู่ในจังหวัดรอบ
ๆ จึงต้องมีเสาโทรทัศน์ที่สูงและมี
Booster
ช่วยขยายสัญญาณ
จึงจะพอดูโทรทัศน์ได้
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ได้มีโอกาสได้เห็นและยังคงความประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ
ท้องฟ้าที่มืดมิดที่มองเห็นทางช้างเผือกได้ชัดเจน
รูปที่
๓ ภาพอีกมุมหนึ่งของพื้นที่ดังกล่าว
ระหว่างจังหวัดตรังกับพัทลุงจะมีแนวภูเขาที่ทอดต่อยาวในทิศทางเหนือใต้
แนวภูเขานี้เป็นแนวเดียวที่ทอดยาวจากมาเลเซียต่อไปยังแม่ฮ่องสอนและเลยเข้าไปในพม่า
แต่บริเวณที่คั่นระหว่างตรังกับพัทลุงนั้นชาวบ้านเรียกว่าเทือกเขาบรรทัด
ถนนเพชรเกษมช่วงที่เชื่อมระหว่างตรังกับพัทลุงที่ต้องข้ามเขานั้นคดไปคดมามากจนขนานนามกันว่า
"เขาพับผ้า"
คือเขาเปรียบเสมือนผ้าที่พับทบซ้อนกันไว้หลาย
ๆ ชั้น ปัจจุบันเส้น "เขาพับผ้า"
นี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว
แต่ถ้าเหลือบมองข้างทาง
ก็ยังอาจเห็นซากถนนแนวเก่าอยู่เป็นบางช่วง
บริเวณแนวเทือกเขาบรรทัดนี้เคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ปฏิบัติการในเขตจังหวัดพัทลุง
"คอมมิวนิสต์ไม่มีหรอก"
คุณน้าคนหนึ่งของผมเคยเล่าให้ผมฟัง
ในระหว่างเขาขับรถพาผมชมภูมิประเทศด้านทิศตะวันตกของจังหวัดพัทลุง
ชาวบ้านในพัทลุงยุคนั้นอยู่กันอย่างยากลำบาก
โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิลำเนาค่อนไปทางเทือกเขาบรรทัด
ถูกเพ่งเล็งทั้งจากทางฝ่าย
ผกค.
ว่าเป็นพวกเจ้าหน้าที่
และถูกเพ่งเล็งจากทางเจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุน
ผกค.
ที่แย่ก็คือปฏิบัติการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐในการจัดการกับชาวบ้าน
ทำให้ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยต้องหนีไปพึ่งพรรคคอมมิวนิสต์
ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้มีแนวคิดทางการเมืองเช่นนั้น
เพียงแต่ต้องการความปลอดภัยและแก้แค้นเจ้าหน้าที่รัฐ
ความโหดร้ายทารุณของเจ้าหน้าที่รัฐในจังหวัดพัทลุงในยุคนั้นมีมากแค่ไหน
ลองใช้คำว่า "ถังแดง"
หาใน
google
ดู
ก็จะทราบได้เอง
บนถนนฝั่งตรงข้ามเยื้องกับบ้านของคุณตาคุณยายของผมไปไม่มาก
เคยเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ
ไปใต้ครั้งนี้ก็ได้แวะไปหยุดยืนที่บริเวณนั้นอีกครั้ง
เลยได้ถามญาติ ๆ
ที่อยู่แถวนั้นเกี่ยวกับเหตุการณ์เผาโรงพัก
ตอนขับรถกลับคุณแม่เล่าให้ฟังว่า
(ช่วงเกิดเหตุนั้นครอบครัวผมอยู่กรุงเทพ)
คืนนั้นมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายบุกไปที่บ้านน้องชายของคุณยายก่อน
มีการเจรจาอะไรกันบ้างก็ไม่รู้ชัด
ดูเหมือนจะเป็นทำนองว่าจะมายิงน้องชายของคุณยาย
เพราะเขาเป็นตำรวจ
แต่พอไม่เจอตัวก็เลยเปลี่ยนเป็นบุกโจมตีโรงพักแทน
เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำโรงพักสู้ไม่ได้
ต้องยอมวางอาวุธ
ฝ่ายผู้ก่อการร้ายก็ลำเลียงเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บมาวางไว้นอกโรงพัก
ก่อนเผาโรงพักทิ้งและจากไป
ญาติของคุณแม่ผมท่านหนึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของผมก็เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย
และนับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา
สถานที่แห่งนั้นก็ไม่เคยมีการสร้างสิ่งก่อสร้างใดอีกเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น