เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผมได้รับคำถามมาคำถามหนึ่งเกี่ยวกับไอโซเทอมการดูดซับแบบ
BET
ของวัสดุรูพรุนชนิดหนึ่งที่มีพื้นที่ผิวสูงอยู่ในช่วง
1300-1600
m2/g กราฟที่ผมได้มาแสดงในรูปที่
๑ ข้างล่าง ลองพิจารณาดูกันเองก่อนนะครับ
คำถามที่เขาถามผมมาก็คือทำไมกราฟในช่วง
relative
pressure (p/p0) ตั้งแต่
0.3
ขึ้นไปจึงไม่แสดงลักษณะของ
hysteresis
loop (คือมีการไต่ขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง
p/p0
เข้าใกล้
1.0)
แต่ไต่ขึ้นในลักษณะที่เรียกว่าแทบจะเป็นเส้นตรงตลอดทั้งช่วง
(ยกเว้นช่วง
p/p0
ใกล้
0)
แล้วจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าอย่างไรดี
รูปที่
๑ ไอโซเทอมการดูดซับ (Exp
(Ad)) - คายซับ
(Exp
(De)) แก๊สไนโตรเจนบนพื้นผิววัสดุรูพรุนชนิดหนึ่งที่
-196ºC
ในเดือนกุมภาพันธ์ปีค.ศ.
๑๙๓๘
(จะตรงกับพ.ศ.
๒๔๘๐
นะครับ เพราะช่วงนั้นบ้านเราจะเริ่มปีใหม่ในวันที่
๑ เมษายน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น
๑ มกราคมในปีพ.ศ.
๒๔๘๔)
Stephen Brunauer, P. H. Emmett และ
Edward
Teller ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง
"Adsorption
of gases in multimolecular layers" ในวารสาร
Journal
of the American Cheical Society ๖๐(๒)
หน้า
๓๐๙ -
๓๑๙
ในบทความนี้ได้นำเสนอแบบจำลองการดูดซับโมเลกุลแก๊สบนพื้นผิวของแข็งที่ยอมให้มีการดูดซับซ้อนกันหลายชั้น
ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามแบบจำลอง
BET
(อ่านว่า
บี-อี-ที
เพราะเป็นชื่อย่อของคนทั้งสาม)
ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจวบจนถึงปัจจุบัน
รูปแบบของสมการ
BET
ที่พบเห็นกันทั่วไปนั้นคือสมการ
(A)
ในกรอบสีแดงของรูปที่
๒ ข้างล่าง ตามสมการนี้ถ้าเขียนกราฟโดยให้ค่า
p/p0
เป็นแกน
x
และ
p/(v(p0
- p)) เป็นแกน
y
ก็จะได้กราฟเส้นตรงที่มีความชันเท่ากับ
(c
- 1)/(vmc) และจุดตัดแกน
y
ที่
1/(vmc)
โดย
p
คือค่าความดันของการดูดซับ
p0
คือค่าความดันอิ่มตัว
v
คือปริมาตรแก๊สที่ของแข็งดูดซับเอาไว้
vm
คือปริมาณแก๊สที่ปกคลุมผิวของแข็งโดยมีความหนาเพียงชั้นโมเลกุลเดียว
(ที่เรียกว่า
monolayer)
และ
c
คือค่าคงที่
และเมื่อได้ค่า vm
มาก็จะคำนวณหาจำนวนโมเลกุลแก๊สที่ต้องใช้ในการปิดคลุมพื้นผิวด้วยความหนาเพียงชั้นโมเลกุลเดียวได้
จากนั้นเมื่อนำจำนวนโมเลกุลคูณด้วยพื้นที่ที่
๑ โมเลกุลปิดคลุมพื้นผิว
(เช่นในกรณีของไนโตรเจนจะมีค่าประมาณ
0.1620
nm2
โดยค่านี้ยังขึ้นอยู่กับว่าประมาณจากปริมาตรแก๊สที่กลายเป็นของเหลวหรือของแข็ง)
ที่มาที่ไปของสมการนี้เคยแสดงไว้ใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๐๒ วันพฤหัสบดีที่
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เรื่อง
"การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ตอนที่ ๖ แบบจำลองไอโซเทอมการดูดซับของ BET"
แต่สมการ
(A)
นี้ตั้งอยู่บนข้อสมมุติที่ว่าจำนวนชั้นการดูดซับนั้นสามารถหนาได้ถึง
"อนันต์"
และพบว่าใช้ได้ดีในกรณีที่ค่า
p/p0
ไม่เกิน
0.3
ดังนั้นข้อมูลที่จะนำมาคำนวณค่า
vm
และ
c
ควรอยู่ในช่วงที่ค่า
p/p0
ไม่เกิน
0.3
รูปที่
๒ สมการ (A)
ในกรอบสีแดงคือสมการ
BET
ที่ใช้ในกรณีที่ยอมให้จำนวนชั้นการดูดซับเพิ่มได้มากถึงเป็นอนันต์
ส่วนสมการ (B)
ในกรอบสีเขียวเป็นกรณีที่จำนวนชั้นการดูดซับมีจำกัด
ในกรณีที่จำนวนชั้นการดูดซับนั้นมีจำกัด
คือซ้อนกันหนาได้ไม่เกินระดับหนึ่ง
(เช่นเกิดจากขนาดของรูพรุนที่แคบ
ทำให้จำนวนชั้นโมเลกุลที่สามารถเรียงซ้อนกันได้นั้นมีจำกัด)
ปริมาณแก๊สที่พื้นผิวดูดซับเอาไว้ได้จะเป็นดังสมการ
(B)
ที่อยู่ในกรอบสีเขียวในรูปที่
๒ โดย n
คือจำนวนชั้นของการดูดซับที่เกิดขึ้น
สมการ (B)
นี้เกิดจากการสังเกตพบว่าเมื่อทำการเขียนกราฟโดยใช้สมการ
(A)
นั้น
ในช่วง p/p0
ตั้งแต่ประมาณ
0.35
ไปจนถึง
0.50
กราฟมีการเบี่ยงเบนออกไปจากการเป็นเส้นตรง
(รูปที่
๓)
การหาค่า
n
นั้นทำได้ด้วยการเดาค่า
n
ขึ้นมา
แทนค่าลงในสมการ (B)
แล้วพิจารณาดูว่าค่า
n
ไหนที่ให้ผลการคำนวณเข้ากับข้อมูลจากการทดลองมากที่สุด
ถ้าให้
n
= 1 สมการ
(B)
ก็จะกลายเป็นแบบจำลองการดูดซับของ
Langmuir
ที่การดูดซับนั้นมีความหนาเพียงชั้นโมเลกุลเดียว
รูปที่
๓ เนื้อหาของบทความที่กล่าวถึงผลการทดลองที่ไม่เป็นไปตามสมการ
(A)
แต่สามารถใช้สมการ
(B)
ทำนายได้
ตัวอย่างที่มีพื้นที่ผิวสูงมักจะเป็นตัวอย่างที่มีรุพรุนขนาดเล็ก
และด้วยรูพรุนที่มีขนาดเล็กทำให้จำนวนชั้นการซ้อนทับกันของการดูดซับนั้นมีจำกัด
จากข้อมูลในรูปที่ ๑
นั้นเมื่อใช้ค่าช่วง p/p0
ไม่เกิน
0.3
จะได้ค่า
vm
= 377.5009 ml/g ที่
STP
และ
c
= 10.250241 (เครื่องวิเคราะห์มันคำนวณให้
ผมไม่ได้คำนวณเอง)
รูปที่
๔ เป็นการเปรียบเทียบผลการทดลอง
(ใช้เส้นการดูดซับ)
ค่าที่คำนวณได้จากสมการ
(A)
และค่าที่คำนวณได้จากสมการ
(B)
โดยสมมุติค่า
n
= 5, 6 และ
7
จะเห็นว่าที่ค่า
n
= 6 นั้นจะให้ผลการคำนวณที่ใกล้กับผลการทดลองมาก
และถ้าเพิ่มค่า n
ขึ้นไปเรื่อย
ๆ สมการ (B)
ก็จะวิ่งเข้าหาสมการ
(A)
ผลการคำนวณในรูปที่
๔ แสดงว่าวัสดุรูพรุนที่เขาเอาผล
BET
มาสอบถามผมนั้นมีขนาดรูพรุนที่ค่อนข้างจำกัด
ไม่ได้มีรูพรุนที่มีขนาดที่ใหญ่มากจนโมเลกุลแก๊สสามารถเรียงซ้อนทับกันได้หลายชั้น
ณ
จุดนี้จะเห็นนะครับว่า
คำอธิบายผลการทดลองที่กระทำในปีนี้
มีปรากฏอยู่ในบทความต้นฉบับที่ตีพิมพ์เผยแพร่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อ
๘๐ ปีที่แล้ว
ถ้ามัวแต่ค้นหาดูแต่บทความย้อนหลังไม่เกิน
๕ ปีหรือ ๑๐
ปีแบบที่หลายสำนักในเมืองไทยเขาสอนนิสิตกัน
ก็ไม่รู้ว่าจะเจอคำตอบหรือเปล่า
รูปที่
๔ กราฟเปรียบเทียบข้อมูลเส้นการดูดซับ
(Exp
(Ad)) จากรูปที่
(๑)
กับผลการคำนวณด้วยสมการ
(A)
และสมการ
(B)
ที่ค่า
n
= 5, 6 และ
7 (เมื่อ n คือจำนวนชั้นของการดูดซับที่เรียงซ้อนกัน)
โดยใช้ค่า
vm
= 377.5009 ml/g ที่
STP
และ
c
= 10.250241 จะเห็นว่าที่
n
= 6 จะให้ผลการคำนวณที่ใกล้เคียงกับค่าที่ได้จากการวัดมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น