"พี่พูดเหมือนกับที่วิศวกรเกาหลีเขาพูดเลย"
วิศวกรรุ่นน้องคนหนึ่งบอกกับผม
พอเขาได้ยินความเห็นของผมเกี่ยวกับข้อสงสัยที่ว่าทำไม
mechanical
seal ของปั๊มหอยโข่งตัวหนึ่งมันพังเร็วผิดปรกติ
โรงงานนี้เป็นโครงการแบบ
turn
key ที่ซื้อเทคโนโลยีมาจากเกาหลี
ทีมวิศวกรผู้ออกแบบก็เป็นทีมหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่เกาหลี
ทีมวิศกรควบคุมงานก่อสร้างก็เป็นอีกทีมหนึ่งที่ส่งมาทำงานที่ไทย
และทีมเจ้าของกระบวนการที่ต้องมาทำหน้าที่ฝึกอบรมพนักงานไทยก็เป็นอีกทีมหนึ่ง
หน่วยผลิตที่เกิดปัญหาเป็นหน่วยผลิตที่ไม่ได้ดำเนินการต่อเนื่อง
ในแต่ละสัปดาห์อาจมีการเดินเครื่องเพียงแค่
๑ หรือ ๒ ครั้ง
(ขึ้นอยู่กับว่ามีวัตถุดิบป้อนเข้ามากน้อยเท่าใด)
และการเดินเครื่องแต่ละครั้งก็ใช้เวลาเพียงแค่
๑ หรือ ๒ วัน
ในการเดินเครื่องแต่ละครั้งนั้นมีปั๊มบางตัวที่ต้องเดินเครื่องตลอดเวลาที่หน่วยผลิตนี้เดินเครื่อง
ผลิตภัณฑ์ (เป็นของเหลวไวไฟ)
ที่ได้จะเก็บไว้ในถังเก็บขนาดความจุประมาณ
2
m3
ปั๊มตัวที่เกิดเรื่องเป็นปั๊มหอยโข่งที่ทำหน้าที่เพียงแค่ส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่ได้จากหน่วยนี้ที่อยู่ในถังเก็บไปยังหน่วยอื่นจนหมดถัง
ในระหว่างขั้นตอนการทดสอบสมรรถนะการผลิตของโรงงาน
(ซึ่งต้องกระทำก่อนส่งมอบโรงงานให้ผู้ว่าจ้าง
เพื่อแสดงว่าโรงงานทำงานได้ตามข้อกำหนด
และเป็นขั้นตอนการอบรมพนักงานไปด้วยในตัว)
mechanical seal
ของปั๊มหอยโข่งที่ทำหน้าที่ส่งต่อผลิตภัณฑ์จากถังบรรจุเกิดความเสียหาย
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากอายุการใช้งานของปั๊มตัวดังกล่าวแล้ว
(คิดเฉพาะช่วงเวลาที่มีการเดินเครื่องปั๊ม)
เรียกว่ามีอายุการใช้งานต่ำมาก
ทำให้เกิดคำถามว่าความเสียหายนี้เกิดจากสาเหตุใด
เนื่องจากโรงงานยังมีปั๊มแบบเดียวกันนี้อีกหลายตัว
รูปที่
๑ รูปแบบการติดตั้งปั๊มหอยโข่งที่เห็นกันทั่วไปนั้น
เราจะเห็นการยึดตรึงตัวแท่นวางปั๊มเข้ากับพื้นดังในรูป
สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่รู้ว่า
mechanical
seal คืออะไร
สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ใน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๑๐๙ วันอาทิตย์ที่
๓๑ มกราคม ๒๕๕๓ เรื่อง
"ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๒ อธิบายศัพท์"
ปั๊มหอยโข่งถ้ามีขนาดใหญ่หน่อย
ตัวปั๊มกับตัวมอเตอร์ขับเคลื่อนจะแยกชิ้นส่วนออกจากกัน
(และก็ไม่แปลกที่ตัวปั๊มกับมอเตอร์จะเป็นคนละยี่ห้อกัน
คือคนผลิตปั๊มก็ไม่จำเป็นต้องผลิตมอเตอร์ขาย
และคนผลิตมอเตอร์ก็ไม่จำเป็นต้องทำปั๊มขาย)
เวลาติดตั้งก็ต้องมีการเชื่อมต่อเพลาของใบพัดปั๊มและเพลาของมอเตอร์ให้แนวแกนเพลาตรงกันและอยู่ในแนวเส้นตรง
(เรียกว่าการทำ
alignment)
ถ้ามันตรงแนวจะเกิดปัญหากับตัวเพลาหรือ
bearing
ได้
การวางแนวแกนเพลาให้ตรงกันนี้อาจทำมาจากผู้ขายปั๊ม
คือประกอบมาเป็นชุดสำเร็จรูปบนแท่นวาง
พร้อมสำหรับการนำไปติดตั้งหน้างาน
(ติดตั้งมาบนฐานเหล็ก
ที่มีมาตรฐานกำหนดมิติ
ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าขนาดจะไม่พอดีกับฐานคอนกรีตที่เตรียมไว้
แต่ถ้าจะให้มั่นใจก็ควรมีการตรวจซ้ำซะหน่อย)
หรือไม่ก็นำมาทำกันเองที่หน้างาน
แต่ถ้าเป็นปั๊มตัวเล็ก ๆ
อาจใช้การยึดใบพัดของปั๊มหอยโข่งเข้ากับเพลาของมอเตอร์นั้นโดยตรง
ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการจัดแนวเพลา
ปั๊มตัวใหญ่ที่เห็นทั่วไปนั้นเวลาติดตั้งก็จะทำการยึดตัวแท่นเหล็กที่เป็นที่ติดตั้งปั๊มและมอเตอร์เข้ากับฐานหรือพื้นคอนกรีต
เรียกว่ายึดตรึงให้อยู่กับที่
แต่การยึดปั๊มให้อยู่กับที่นี้ก็ต้องคำนึงเรื่องเผื่อการขยายตัวของท่อด้านขาเข้า-ขาออกเวลาที่มันร้อนเอาไว้ด้วย
ไม่ใช่ว่าให้มันออกแรงไปกดที่ตัวปั๊มซะเต็มที่
แต่ถ้าเป็นท่อที่ไม่ได้รับความดันอะไรก็อาจใช้ข้อต่ออ่อนติดตั้งในท่อด้านขาเข้าและขาออก
(ดูรูปที่
๑ ประกอบ)
ปั๊มตัวที่เกิดปัญหานั้นเป็นปั๊มขนาดเล็ก
ใบพัดของปั๊มติดตั้งอยู่บนเพลามอเตอร์
(ตัดปัญหาเรื่องการจัดแนวเพลาออกไป)
ท่อด้านขาเข้าและขาออกมีข้อต่ออ่อนเป็นตัวเชื่อมต่อ
แต่ไม่มีการยึดตัวปั๊มทั้งชุดเข้ากับพื้น
ทำเพียงแค่วางตั้งไว้เฉย
ๆ บนพื้นคอนกรีตเท่านั้นเอง
โดยก้นถังนั้นอยู่ที่ระดับสูงกว่าตัวปั๊ม
(ทำนองเดียวกับปั๊มในรูปที่
๒)
หลังจากเกิดเรื่องการรั่วไหลอันเนื่องจากความเสียหายของ
mechanical
seal ทางผู้ว่าจ้างก็ได้มีการสอบถามไปยังวิศวกรที่ปรึกษา
(ที่เน้นไปทางด้านงานก่อสร้าง)
ว่าปัญหาน่าจะเกิดจากอะไร
คำตอบเดียวที่เขาได้รับคือน่าจะเป็นเพราะปั๊มตัวดังกล่าวไม่ได้ถูกยึดตรึงเอาไว้กับพื้น
(และในโรงงานก็ยังมีปั๊มแบบเดียวกันนี้อีกหลายตัว)
คือผิดที่
Installation
ซึ่งทางวิศวกรเกาหลีที่เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างเองก็ยืนยันว่าแม้ว่ามันจะไม่ได้ถูกยึดเข้ากับพื้น
แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา
และได้ตั้งคำถามกลับว่าปัญหาเกิดจาก
"การใช้งานที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่า"
หรือผิดที่
Operation
รูปที่
๒ ปั๊มตัวที่เห็นในกรอบสี่เหลี่ยมในรูป
(มีขาถังบังอยู่และมีฝาครอบปิดคลุม)
วางตั้งอยู่เฉย
ๆ กับพื้นโดยไม่มีการยึดตรึง
บังเอิญว่าในงานนี้
ผมเองมีโอกาสได้เข้าไปมีส่วนช่วยในส่วนของทั้งการก่อสร้างและการเดินเครื่อง
ทำให้พอจะทราบอยู่บ้างว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นนั้นใช้งานอย่างไรบ้าง
จึงทำให้ทราบว่าปั๊มตัวที่เกิดความเสียหายนี้เป็นตัวที่เรียกว่ามีการใช้งานน้อยมากเมื่อเทียบกับตัวอื่น
แต่ด้วยที่มันเป็นปั๊มที่ใช้สำหรับส่งของเหลวจากถังเก็บใบหนึ่ง
"จนหมดถัง
(หรือเกือบหมดถัง)"
ไปยังถังเก็บอีกใบหนึ่งของอีกหน่วยผลิต
เพื่อที่จะได้มีถังว่างสำหรับรองรับรอบการผลิตถัดไป
ดังนั้นวิธีการเดินเครื่องปั๊มตัวดังกล่าวจึงมีความสำคัญ
เพราะว่าถ้าปล่อยให้ปั๊มเดินเครื่องโดยไม่มีของเหลวไหลผ่าน
มันก็จะเกิดความเสียหายได้
ด้วยเหตุนี้พอมีการถามความเห็นเรื่องนี้มายังผม
(ดูเหมือนว่าจะเป็นคนสุดท้าย)
จากมุมมองตรงนี้ผมก็เลยตั้งคำถามกลับไปว่าปัญหาเกิดจาก
"การใช้งานที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่า"
และก็ได้รับคำตอบกลับมาดังประโยคแรกที่ขึ้นต้น
Memoir
ฉบับนี้
จะว่าไป
ปั๊มตัวเล็ก ๆ
นี่ก็เห็นมีการใช้งานกันโดยไม่จำเป็นต้องทำการยึดตรึงกับพื้น
(อาศัยน้ำหนักของตัวมันเองทำให้มันตั้งวางได้มั่นคง)
เช่นปั๊มน้ำขนาดเล็กที่สามารถเคลื่อนย้ายไปติดตั้งตามที่ต่าง
ๆ ซึ่งมันก็ทำงานได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
ในมุมมองของผมความเสียหายน่าจะเกิดจากการที่มีการปล่อยให้ปั๊มเดินเครื่องเปล่าโดยไม่มีของเหลวไหลผ่านตัวปั๊มที่เรียกว่า
"pump
runs dry" เป็นเวลานานเกินไป
(ไม่ต้องถึงระดับเป็นชั่วโมง
แค่เป็นนาทีก็พอ)
อันเป็นผลจากการสูบเอาของเหลวออกจนหมดถัง
(หรือเมื่อใกล้หมดถัง)
ซึ่งในช่วงที่ของเหลวใกล้หมดถังนี้จะเกิด
vortex
ขึ้นในถัง
ทำให้มีแก๊สไหลปนมากับของเหลวที่ไหลเข้าปั๊ม
และเมื่อไม่มีของเหลวไหลเข้าปั๊ม
ก็จะไม่มีการระบายความร้อนออกจากชิ้นส่วนต่าง
ๆ ของปั๊ม (รวมทั้ง
mechanical
seal ที่มีการขัดสีกันตลอดเวลา)
ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านี้เกิดความเสียหายได้
(และเกิดได้เร็วและง่ายด้วย)
เทคนิคหนึ่งของการใช้ปั๊มสูบของเหลวออกจากถัง
(ที่ระดับก้นถังอยู่สูงกว่าระดับตัวปั๊ม)
เพื่อระบายของเหลวออกจากถังให้ได้มากที่สุด
ได้เคยเล่าไว้ใน Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๐๐ วันศุกร์ที่
๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "Vortex breaker"
อันที่จริงตอนที่ผมพิจารณาปัญหาเรื่องนี้
ผมตั้งสมมุติฐานขึ้นมาพิจารณา
๓ ข้อด้วยกัน
สมมุติฐานข้อแรกคือปัญหาเกิดจากการเลือกใช้ปั๊มที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า
ข้อที่สองคือปัญหากเกิดจากการติดตั้งที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า
และข้อที่สามคือปัญหาเกิดจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า
และหลังจากที่ได้พิจารณาข้อมูลต่าง
ๆ
เท่าที่มีแล้วผมจึงคิดว่าประเด็นที่สามคือการใช้งานที่ไม่เหมาะสมน่าจะเป็นต้นตอของปัญหา
ท้ายสุดเหตุการณ์นี้จบลงอย่างไรและสาเหตุที่แท้จริงนั้นคืออะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
ผมเพียงแต่ให้มุมมองของต้นตอปัญหาจากอีกมุมมองหนึ่งคือ
operation
และผมเองก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องไปคุยกับทางฝ่ายผลิตและผู้ก่อสร้าง
คิดว่าหลังจากได้ยินความคิดเห็นของผมแล้ว
เขาคงไม่ให้ผมเข้าร่วมคุยด้วยแน่
เพราะความเห็นผมมันดันไปตรงกับทางเกาหลี
ที่ว่าความผิดพลาดอาจจะอยู่ทางฝ่ายไทยเองก็ได้
แต่ทั้งนี้มันก็ต้องไปตรวจสอบวิธีการทำงานที่ทางฝ่ายเกาหลีสอนด้วยว่า
ตรงหน่วยนี้ให้เดินเครื่องอย่างไร
เพราะถ้าไม่สอนวิธีข้อควรระวังในการเดินเครื่อง
หรือสอนให้เดินเครื่องแบบผิด
ๆ ผู้สอนก็ควรต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น