พื้นที่บริเวณที่ผมอาศัยอยู่มันก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าพื้นที่ของหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่
ต้นไม้ขนาดใหญ่ก็มีจำนวนน้อยกว่า
แต่กลับมีสัตว์หลากหลายชนิดมากกว่า
นั่นคงเป็นเพราะมีต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์มากกว่า
นกแถวบ้านผมไม่ต้องหากินโดยการเก็บเศษอาหารที่คนกินเหลือไว้ที่โรงอาหาร
กระรอกกับกระแตก็ไม่ต้องรอผลไม้ที่มีคนใจดีมาแขวนไว้ตามต้นไม้เพื่อเป็นอาหารเหมือนดังเช่นที่ทำงานของผม
มองจากหน้าต่างข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่ผมนั่งทำงานที่บ้าน
มันก็วิ่งไต่รั้วกลับไปกลับมาให้เห็นอยู่ทั้งวัน
เดี๋ยวก็ไปกระโดดขึ้นต้นมะตูมบ้าง
กระถินบ้าง ต้นไผ่บ้าง
เวลามันนึกสนุกวิ่งไล่กันก็กระโจนข้ามไปมาระหว่างต้นประดู
ต้นไผ่ และต้นมะพร้าว
ช่วงประมาณกลางเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เดินทางไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์อีกครั้ง
แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกและห่างจากครั้งสุดท้ายที่ผมได้ไปประเทศทั้งสองเกือบสิบปี
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยก็คือ
แม้ว่าประเทศทั้งสองจะดูมีต้นไม้เยอะ
แต่ลักษณะต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นไม้ปลูกใหม่
เพราะมันมีขนาดเล็กและมีการวางแนวการปลูกเป็นเส้นตรง
แต่ที่สำคัญก็กลับไม่เห็นสัตว์จำพวกนกหรือกระรอกเลย
นั่งรถผ่านภูเขาในมาเลเซียมองไม่เห็นนกบินไปมาตลอดการเดินทางเป็นชั่วโมง
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะในการปลูกต้นไม้ของเขานั้นเขาอาจเน้นไม้โตเร็ว
หรือเลือกปลูกเฉพาะต้นไม้สายพันธุ์เดียวเพื่อที่
(คนส่วนใหญ่มักคิดเช่นนี้)
จะได้ดูเป็นระเบียบสวยงาม
และการปลูกนั้นก็มักจะเน้นไม้ที่ให้ดอกสวยงาม
(จะได้หากินกับการท่องเที่ยว)
หรือไม่ก็ไม้โตเร็วที่คาดหวังจะใช้ประโยชน์จากลำต้น
แต่ไม่ค่อยคำนึงถึงต้นไม้ที่สัตว์ใช้เป็นอาหารได้
รูปที่
๑ นกปรอดคู่หนึ่งเริ่มทำรังบนปลายกิ่งมะเฟือง
(รูปนี้ถ่ายเมื่อวันอาทิตย์ที่
๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗)
วัน-เวลา
ที่ถ่ายรูปปรากฏอยู่ที่มุมของรูปทุกรูปอยู่แล้ว
"ปรับปรุงภูมิทัศน์"
ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ใครต่อใครที่ได้เข้ามาบริหารหน่วยงานมักจะลงมือทำเป็นอย่างแรก
การปรับปรุงนี้ไม่ใช่ว่าภูมิทัศน์ของเดิมมันไม่ดี
แต่มักทำด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นสิ่งที่คนที่เดินผ่านไปมาภายนอกหน่วยงานมองเห็นว่าเขาได้มีการทำงาน
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
(แม้ว่าคนเหล่านั้นเพียงแต่เดินผ่าน
ไม่ได้มาติดต่อกับหน่วยงานนั้นเลย)
และงานปรับปรุงภูมิทัศน์ที่เห็นชอบทำกันก็คือ
ตัดต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่เดิม
ปลูกต้นไม้ใหม่
โดยต้นไม้ที่นำมาปลูกใหม่มักเน้นไปที่
"ชื่อ"
ต้นไม้ที่ตนเองคิดว่าปลูกแล้วจะช่วยเสริมบารมี
ทำให้บริหารงานในหน่วยงานนั้นได้สบาย
จะทำอะไรก็ได้ ตรงไหนเป็นสนามหญ้าก็ปูอิฐ
ตรงไหนเป็นพื้นปูอิฐก็เทปูน
จนผมคิดเล่น ๆ
ว่าสงสัยผู้บริหารในยุคถัดไปคงต้อง
"ปูพรม"
ให้คนเดินกันในมหาวิทยาลัยแล้ว
เพราะพื้นที่ที่เป็นดินหรือสนามหญ้าที่จะเหลือให้ปูอิฐและเทปูนคงไม่เหลือแล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นประจำที่ผู้บริหารมักจะไม่ใส่ใจ
ทั้ง ๆ
ที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ทำงานในหน่วยงานเหล่านั้นก็คือ
"ห้องน้ำ"
ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สถานที่ราชการกับบริษัทเอกชนมองตรงข้ามกัน
ในขณะที่สถานที่ราชการจะเน้นไปที่ภาพลักษณ์ปรากฏข้างนอกเป็นหลัก
แต่สภาพในห้องน้ำเองกลับไม่ได้เรื่อง
แต่ในส่วนของบริษัทเอกชนที่ได้แวะไปหลายแห่งกลับพบว่า
แม้ว่าการจัดสวนด้านนอกอาคารจะดูไม่เลิศเลอเหมือนกับสถานที่ราชการ
แต่การดูแลห้องน้ำของเขานั้นไม่ว่าจะเป็นด้านความสะอาด
หรืออุปกรณ์ที่ใช้การได้นั้น
เหนือกว่าสถานที่ราชการมาก
สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการปลูกต้นไม้ในบ้านตัวเองและจากสวนที่อยู่รอบ
ๆ บ้านก็คือ
ความหลากหลายของสายพันธุ์พืชนั้นส่งผลต่อสัตว์ที่จะมาใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณนั้น
การมีไม้ดอกที่ออกดอกตลอดทั้งปีหรือออกดอกสลับกันแต่มีดอกออกทั้งปี
จะเป็นอาหารให้กับแมลงหรือนกที่กินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้เหล่านั้น
และแมลงเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอาหารให้กับนกที่กินแมลงอีกทีหนึ่ง
พืชบางชนิดก็มีใบที่ผีเสื้อชอบมาวางไข่และเพราะมันใช้เป็นอาหารของหนอนผีเสื้อได้
ไม้ผลขนาดเล็ก (เช่นลูกตะขบ
ลูกไทร)
ก็เป็นอาหารของนกขนาดเล็ก
แต่ดูเหมือนถ้าเป็นพวกกระรอก
กระแต มันจะนิยมผลไม้ที่ลูกใหญ่กว่า
เช่น มะม่วง มะละกอ และกล้วย
(ที่บ้านโดนมันมาแย่งกินเป็นประจำ)
หรือไม่ก็ขโมยไข่นกกิน
และเวลากลางคืนก็ต้องพยายามทำให้บริเวณรอบบ้านตรงส่วนที่ไม่จำเป็นนั้นให้มีความมืดให้มากที่สุด
จะได้ไม่รบกวนหิ่งห้อยที่ออกมาบินเล่นตอนหัวค่ำ
รูปที่
๓ ตำแหน่งที่ตั้งของรังนกอยู่ในกรอบสีเหลืองในรูป
(รูปนี้ถ่ายเมื่อวันอาทิตย์ที่
๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗)
รูปที่
๕ เพียงแค่สองวันถัดมา
นกคู่นี้ก็สร้างรังเสร็จแล้ว
ที่นี้ก็เหลือเพียงแค่การวางไข่
รูปนี้เป็นรูปด้านบนของรังที่สร้างเสร็จแล้ว
(รูปนี้ถ่ายเมื่อวันอังคารที่
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗)
รูปที่
๖ รูปด้านล่างของรังที่สร้างเสร็จแล้ว
จะเห็นว่านกไม่ได้เก็บเพียงแค่กิ่งไม้เล็ก
ๆ (อันที่จริงคือก้านของใบไม้)
มาทำรัง
มันเจออะไรที่เป็นเส้นเล็ก
ๆ ที่มันคาบได้มันก็คาบเอามาหมด
เส้นสีฟ้า ๆ
ในรูปคือเชือกพลาสติกที่มันเอาทำทำรังด้วย
(รูปนี้ถ่ายเมื่อวันอังคารที่
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗)
รูปที่
๗ สร้างรังเสร็จก็มาวางไข่
วันนี้เห็นเพียงแค่ฟองเดียว
แต่ไม่กี่วันถัดมามาแอบดูตอนแม่นกไม่อยู่
ก็พบว่ามันมีการวางไข่เพิ่มอีกเป็นสองฟอง
(รูปนี้ถ่ายเมื่อวันศุกร์ที่
๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗)
ที่บ้านมีมะเฟืองอยู่สองต้น
ออกผลเป็นประจำ แต่ก็ไม่มีใครกินมะเฟือง
ก็เลยปล่อยให้มันสุกและร่วงหล่นลงสู่พื้น
วันดีคืนดีก็เห็นมีนกแก้วมาเก็บกินดังที่เคยถ่ายภาพและวิดิโอมาให้ดูก่อนหน้านี้
(Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๗๘๗ วันพฤหัสบดีที่
๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ เรื่อง
"นกแก้วกินมะเฟือง")
มะเฟืองนี่ดีอยู่อย่างก็คือมันมีใบเขียวทั้งปี
และใบมันก็เล็ก
ใบร่วงหล่นลงมาก็เอาไปกองใส่โคนต้นไม้อื่นให้มันเป็นปุ๋ยได้ง่าย
ไม่เหมือนใบใหญ่ ๆ
เช่นมะม่วงหรือการเวก
เมื่อปลายเดือนที่แล้วมีนกปรอดคู่หนึ่งแวะเวียนมาทำรังอยู่ที่ปลายกิ่งต้นมะเฟือง
ต้นเดียวกับที่มีนกแก้วมาเก็บมะเฟืองกิน
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ก็เห็นมันมาทำรังอยู่บนต้นมะตูมแขกหลังบ้าน
แต่ไม่รู้ตัวอะไรมาแอบขโมยไข่กินไปก่อน
แม่นกก็เลยต้องทิ้งรังไป
คราวนี้ก็เลยต้องเฝ้าดูหน่อยว่าจะมีตัวอะไรมาขโมยกินไข่อีกหรือเปล่า
กิ่งมะเฟืองที่มันเลือกทำรังนั้นก็ไม่ใช่กิ่งใหญ่อะไร
ไม่ได้อยู่สูงจากพื้นมากนัก
เวลาลมพัดแรงก็แกว่งไปมา
แต่รังนกก็ยังคงอยู่ได้
รูปที่ถ่ายมาก็คัดมาบางรูป
เป็นรูปตั้งแต่วันที่เห็นนกคู่นี้มาสร้างรัง
จนกระทั่งออกไข่
ตอนแรกก็ออกมาฟองเดียวก่อน
จากนั้นก็ออกเพิ่มอีกเป็นสองฟอง
แม่นกก็จะมานั่งกกไข่อยู่เกือบตลอดเวลา
เว้นแต่เวลาที่บินออกไปหาอาหาร
ส่วนตัวผู้นั้นก็เห็นแวะเวียนมาหาบ้างเหมือนกัน
เวลาจะเข้าไปถ่ายรูปก็ต้องหาจังหวะเวลาที่แม่นกไม่อยู่ที่รัง
เอาบันไดพับมากางแล้วปีนขึ้นไปถ่ายรูป
พยายามจะไม่ไปยุ่งกับกิ่งที่มันทำรังอยู่
แต่บังเอิญช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาต้องไปต่างประเทศซะหลายวัน
ไม่ได้กลับมาดูเพียงแค่
๕-๖
วันก็ปรากฏว่าหายไปทั้งรังแล้ว
หวังว่าช่วงเวลาดังกล่าวไข่คงฟักออกเป็นตัวและลูกนกก็คงจะโตพอที่จะบินออกไปหากินเองได้แล้ว
ในเวลาเดียวกันที่อีกมุมหนึ่งของบ้าน
ตรงหน้าต่างห้องนอนลูกสาวคนเล็กบนชั้นสอง
หน้าต่างมุมนี้เป็นบานเลื่อนที่ไม่ค่อยได้เปิดเท่าใดนัก
และมีผ้าม่านบังอยู่อีก
ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาก็ไปพบรังนกอีกรังพร้อมไข่อีกฟองหนึ่งอยู่ที่ขอบหน้าต่าง
(ดูรูปที่
๑๐)
แต่พออ้อมไปดูอีกมุมหนึ่งก็เห็นว่าไข่ฟองดังกล่าวถูกเจาะเป็นรูเรียบร้อยแล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวอะไรมาเจาะกิน
แต่ที่รู้สึกสงสัยก็คือนกอะไรมาทำรังในที่แบบนี้
ไม่มีการหลบซ่อนสายตาจากสัตว์อื่นเลย
และตัวอะไรที่มาเจาะกินไข่นกฟองดังกล่าว
รูปที่
๘ หลังออกไข่แล้ว
แม่นกก็มานั่งเฝ้ารังกกไข่
(รูปนี้ถ่ายเมื่อวันเสาร์ที่
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗)
รูปที่
๙ ท้ายสุดพบว่าออกไข่ไว้
๒ ฟอง แสดงว่าแม่นกไม่ได้ออกไข่ทีเดียว
๒ ฟอง แต่ออกทีละครั้ง ครั้งละ
๑ ฟอง เสียดายที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ
เลยไม่ได้อยู่เฝ้าดูเพียงแค่
๕-๖
วัน ทั้งแม่นกและไข่นกก็หายไปหมดแล้ว
ไม่รู้ว่าฟักออกเป็นตัวหรือโดนขโมยไปกิน
เพราะบริเวณรอบข้างและในรังเองก็ไม่เห็นมีเปลือกไข่ตกอยู่
(รูปนี้ถ่ายเมื่อวันศุกร์ที่
๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗)
รูปที่
๑๐
อันนี้เป็นรังนกอีกรังหนึ่ง
มาพบทีหลัง
มาทำรังอยู่ริมขอบหน้าต่างห้องนอนลูกสาวคนเล็ก
ปรกติหน้าต่างบานนี้ก็ไม่ค่อยได้เปิด
และมีผ้าม่านบังอยู่อีก
ก็เลยไม่รู้ว่ามีนกอะไรมาทำรังเอาไว้เมื่อใด
แต่พอดูให้ดีก็พบว่าไข่ถูกเจาะกินเรียบร้อยไปแล้ว
รูที่เจาะอยู่อีกด้านหนึ่ง
ชำเลืองดูจะมองเห็นแต่ถ่ายรูปไม่ได้
ในรูปจะเห็นคราบเหลือง ๆ
(ตรงลูกศรสีเหลืองชี้)
ที่คิดว่าเกิดจากการที่มีสัตว์บางชนิดมาเจาะไข่นกกิน
(ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันเสาร์ที่
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗)
คลิปที่แนบมาเป็นคลิปที่ถ่ายไว้ในวันที่เห็นนกคู่นี้มาทำรัง
(วันอาทิตย์ที่
๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๗)
เนื่องจากนกเลือกมุมทำรังที่ค่อนข้างจะหลบซ่อนสายตาสักหน่อย
ก็เลยเห็นรังมันไม่ค่อยชัด
ระหว่างที่นั่งพิมพ์ Memoir ฉบับนี้ก็ได้ยินเสียงนกร้องอยู่รอบ ๆ บ้าน ฟังจากเสียงก็บอกได้ว่าคงไม่ต่ำกว่า ๔-๕ ชนิด เดี๋ยวพอหัวค่ำก็คงมีตุ๊กแกออกมาร้องอีก ช่วงนี้มีอยู่ตัวหนึ่งมันหากินอยู่รอบ ๆ ตัวบ้านข้างนอก พอกลางวันมันก็หลบไปซุกอยู่ตรงซอกระหว่างชายคากับตัวบ้าน พอตกค่ำมันก็ออกมาซ่อนอยู่หลังประตู เวลาดี ๆ มันก็ส่งเสียงร้องออกมาทีหนึ่ง นี่ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอีกสองสัปดาห์จะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนมาค้างที่บ้านหนึ่งคืน ไม่รู้ว่าเขาจะกลัวตุ๊กแกหรือเปล่า เพราะห้องที่คิดว่าจะจัดให้เขาพักนั้นมันอยู่ตรงมุมที่ตุ๊กแกชอบมาอยู่ซะด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น