ลำดับรูปในตอนที่
๔ นี้นับต่อเนื่องจากตอนที่
๓
แต่เนื่องจากเนื้อหาที่ตัดทอนมานั้นไม่ได้เรียงตามลำดับตามเนื้อหาต้นฉบับ
ดังนั้นลำดับรูปในเนื้อหาต้นฉบับจึงไม่ตรงกับลำดับรูปในบทความนี้
ตอนที่
๔
นี้เป็นการอธิบายตัวอย่างวิธีการป้องกันการสะสมประจุไฟฟ้าสถิตบนตัวอุปกรณ์
(คือไม่ได้ป้องกันการเกิด
แต่ป้องกันไม่ให้ประจุที่เกิดขึ้นนั้นสะสมจนก่อให้เกิดประกายไฟได้)
รูปที่
๑๕
เป็นตัวอย่างกรณีของของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้าไหลในท่อที่เป็นฉนวนไฟฟ้า
แต่ตัววาล์วนั้นมีโครงสร้างที่เป็นโลหะที่สัมผัสกับของเหลว
จะเกิดไฟฟ้าสถิตสะสมที่ชิ้นส่วนตัววาล์วที่เป็นโลหะนั้นได้
ในรูปคือ ball
valve ที่ตัว
ball
ทำจากโลหะ
ประจุไฟฟ้าจะสามารถกระจายไปยังด้ามที่ใช้ในการหมุนเปิด-ปิดวาล์วได้
และถ้ามีสื่อที่เป็นตัวนำไฟฟ้าเคลื่อนเข้ามาใกล้
(เช่นคนใช้มือเปล่าเข้าไปจะจับก้านวาล์วเพื่อเปิด-ปิด)
ก็จะเกิดประกายไฟฟ้ากระโดดข้ามได้
การเกิดไฟฟ้าสถิตเมื่อของเหลวไม่นำไฟฟ้าไหลอยู่ในท่อนี้จะเพิ่มมากขึ้นถ้าหาก
ของเหลวนั้นมีหยดของเหลวชนิดอื่น
(เช่นหยดน้ำในน้ำมัน)
ที่ไม่ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน
หรือมีอนุภาคของแข็ง แขวนลอยอยู่
หรือเมื่อไหลผ่านตะแกรงกรองที่มีรูขนาดเล็ก
(เล็กกว่า
10
ไมโครเมตร)
ในกรณีนี้การลดการเกิดนั้นสามารถทำได้ด้วยการพยายามทำให้ของเหลวนั้นสะอาด
(ไม่มีสิ่งอื่นแขวนลอยปะปนอยู่)
จำกัดความเร็วในการไหลไม่ให้สูงเกินไป
(ดูตัวอย่างในรูปที่
๑๖ ที่เป็นกรณีของน้ำมันปิโตรเลียม)
พยายามอย่าให้ในท่อมีอากาศตกค้างอยู่เมื่อเริ่มเติมของเหลวเข้าไปในท่อ
(อาจทำได้ยากในกรณีของท่อที่ใช้เป็นท่อระบายหรือจ่ายของเหลวลงสู่ภาชนะรองรับ
รูปที่
๑๕ ประจุไฟฟ้าที่สะสมที่ตัววาล์ว
เมื่อของเหลวไหลผ่านท่อที่เป็นฉนวนไฟฟ้า
แต่ตัววาล์วมีโครงสร้างที่เป็นโลหะที่มีการสัมผัสกับของเหลวที่ไหลผ่าน
สำหรับความเร็วในการไหลสูงสุดนั้น
ในบทความดังกล่าวกล่าวเอาไว้ว่า
ถ้าเป็น chargeable
ester ความเร็วในการไหลในท่อไม่ควรเกิน
10
m/s แต่ถ้าเป็นไฮโดรคาร์บอน
(ในบทความเรียกว่า
mineral
oil products)
ความเร็วในการไหลสูงสุดนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดท่อดังแสดงในรูปที่
๑๖ ซึ่งจะเห็นว่าจะต่ำกว่ากรณีของสารประกอบเอสเทอร์อยู่
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหมู่เอสเทอร์นั้นพอจะมีความเป็นขั้วอยู่บ้างแม้จะไม่มาก
แต่ไฮโดรคาร์บอนนั้นเป็นโมเลกุลที่ไม่มีขั้ว
(หรือเอสเทอร์นำไฟฟ้าได้ดีกว่าไฮโดรคาร์บอนนั่นเอง)
รูปที่
๑๖ ความเร็วสูงสุดของการไหลของน้ำมันปิโตรเลียม
(ที่สะอาด)
ในท่อ
เพื่อป้องกันปัญหาจากการสะสมไฟฟ้าสถิต
แต่ถ้ามีของแข็งหรือของเหลวที่ไม่ละลายเป็นเนื้อเดียวกันแขวนลอยอยู่
จะต้องใช้ค่าความเร็วที่ลดต่ำลงไปอีก
แต่ตัวเลขนี้ใช้ไม่ได้กับกรณีของอีเทอร์และคาร์บอนไดซัลไฟด์
(CS2)
ที่ค่าความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่
1
m/s สำหรับท่อขนาดไม่เกิน
25
mm (ถ้าเป็นท่อใหญ่กว่านี้ก็ต้องใช้ความเร็วที่ต่ำลงไปอีก)
ในกรณีของการใช้สายยางถ่ายของเหลว
(เช่นถ่ายลงภาชนะรองรับที่หิ้วไปไหนมาไหนได้)
บทความดังกล่าวกล่าวเอาไว้ว่า
จากประสบการณ์พบว่าแม้ใช้ภาชนะรองรับที่เป็นตัวนำไฟฟ้าและมีการต่อสายดินเอาไว้
ก็ยังไม่เพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย
มาตรการเพิ่มเติมที่จำเป็นต้องทำคือ
(ก)
จำกัดความเร็วในการไหลไม่ให้เกิน
1
m/s
(ข)
ใช้สายยางที่นำไฟฟ้าได้
ซึ่งอาจเป็น
-
สายยางที่ทำจากวัสดุที่นำไฟฟ้า
-
สายยางที่ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้าแต่มีตะแกรงโลหะนำไฟฟ้าได้ฝังอยู่ในเนื้อสายยาง
และตะแกรงโลหะนี้มีการเชื่อมต่อทางไฟฟ้าเข้ากับข้อต่อทั้งสองด้านของสายยาง
หรือ
-
เป็นสายยางที่ทำจากวัสดุที่นำไฟฟ้าที่มีการบุผนังด้านในเอาไว้
(ผนังบุหรือ
liner
มักจะเป็นวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้าเช่นพอลิเมอร์ต่าง
ๆ แต่ทนต่อสารเคมีที่ลำเลียง
ส่วนตัวโลหะที่ใช้ทำสายยางนั้นมันนำไฟฟ้า
แต่ไม่ทนต่อสารเคมีที่ลำเลียง)
รูปที่
๑๗
สายยางที่ใช้ในการลำเลียงของเหลวควรมีค่าความต้านทานไฟฟ้าระหว่างปลายสองข้างของสายไม่เกิน
106
โอห์ม
แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นสายยางชนิดไหนนั้น
ค่าความต้านทานไฟฟ้าระหว่างปลายสองข้างของสาย
(วัดจากข้อต่อด้านหนึ่งไปยังข้อต่ออีกด้านหนึ่ง)
ควรต้องไม่เกิน
106
โอห์ม
และควรต้องมีการตรวจสอบเป็นระยะ
รูปที่
๑๘
ข้างล่างเป็นกรณีของการถ่ายของเหลวจากภาชนะหนึ่งลงสู่ภาชนะหนึ่งผ่านทางระบบท่อที่ทำจากวัสดุไม่นำไฟฟ้า
(เช่น
แก้ว เซรามิก)
ชิ้นส่วนประกอบของท่อที่ทำจากโลหะ
(เช่น
วาล์ว หน้าแปลน)
ต้องได้รับการต่อสายดิน
หรือแม้แต่ตัวแผ่นอะลูมิเนียมที่ใช้ในการปิดคลุมฉนวนหุ้มท่อ
(ถ้ามี)
ก็ต้องได้รับการต่อสายดินด้วย
เพื่อระบายประจุไฟฟ้าออกไป
ถ้าจำเป็นต้องใช้หน้าแปลน
ก็ควรใช้หน้าแปลนที่ทำจากพลาสติก
ส่วนตัวนอตแต่ละตัว
(ทั้งตัวผู้และตัวเมีย
ที่มักทำจากโลหะ)
ที่ใช้ยึดหน้าแปลนเข้าด้วยกันนั้น
ไม่จำเป็นต้องทำการต่อลงดิน
รูปที่
๑๘ การถ่ายของเหลวจากภาชนะผ่านท่อแก้วลงสู่อีกภาชนะหนึ่ง
แผ่นอะลูมิเนียมที่ทำหน้าที่ปิดคลุมฉนวนหุ้มท่อจำเป็นต้องได้รับการต่อระบายประจุไฟฟ้าลงดินด้วย
ท่อที่ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า
(เช่นท่อแก้วและพลาสติก)
ไม่สามารถทำการต่อสายดินได้
แต่การระบายประจุไฟฟ้าสถิตย์ที่สะสมบนชิ้นส่วนที่เป็นโลหะต่าง
ๆ ของระบบท่อ (เช่น
วาล์ว หน้าแปลน)
สามารถทำได้ด้วยการใช้ลวดตัวนำไฟฟ้าพันไปรอบผิวนอกของท่ออย่างหลวม
ๆ (รูปที่
๑๙)
โดยให้ร้อยผ่านชิ้นส่วนโลหะที่ต้องการระบายประจุไฟฟ้าลงดิน
แต่ไม่ควรจะสอดลวดตัวนำไฟฟ้าไว้ภายในท่อ
เพราะถ้าลวดดังกล่าวเกิดขาดขึ้นมา
จะมีโอกาสที่จะเกิดประกายไฟได้
(เพราะทำให้ประจุไฟฟ้าสะสม
เนื่องจากไม่สามารถระบายลงดินได้)
รูปที่
๑๙ ตัวอย่างวิธีการที่
(บน)
เหมาะสมและ
(ล่าง)
ไม่เหมาะสม
ในการติดตั้งลวดตัวนำไฟฟ้าเพื่อระบายประจุไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นออกจากท่อ
รูปที่
๒๐
เป็นตัวอย่างการป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้าสถิตเมื่อทำการเทของเหลว
(ขอย้ำว่าของเหลวที่กล่าวมาในที่นี้คือของเหลวที่ไวไฟและไม่นำไฟฟ้าด้วยนะ)
ที่บรรจุอยู่ในถังบรรจุที่ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า
ลงสู่ถังอีกใบหนึ่งที่ทำจากโลหะด้วยการใช้กรวยรอง
(ทำจากโลหะเช่นกัน)
ประจุไฟฟ้าสถิตจะเกิดขึ้นจากความเสียดทานและการแยกตัวออกจากกันเมื่อของเหลวนั้นไหลออกจากปากถังบรรจุ
และอาจสะสมสูงมากพอที่จะทำให้เกิดประกายไฟฟ้ากระโดดข้ามไปยังตัวนำไฟฟ้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ได้
ในการนี้เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวจึงควรที่ทำการต่อสายดินให้กับทั้งภาชนะรองรับและตัวกรวยรอง
นอกจากนี้ท่อด้านล่างของกรวยควรจะยาวลงไปจนเกือบถึงก้นภาชนะรองรับเพื่อไม่ให้ของเหลวที่เทลงไปนั้นเกิดการกระเซ็นในช่วงแรกที่เริ่มทำการเท
(ซึ่งจะทำให้เกิดประจุไฟฟ้าสถิตได้มากขึ้นไปอีก)
บทความดังกล่าวยังกล่าวต่อไปด้วยว่าตัวผู้ปฏิบัติงานเองก็ควรต้องได้รับการ
"ต่อสายดิน"
ด้วย
แต่ไม่ใช่ด้วยการเอาสายไฟมาคีบต่อเข้ากับแขนขานะ
แต่ให้ใช้การสวมรองเท้าที่พื้นรองเท้าทำจากวัสดุที่นำไฟฟ้าและยืนอยู่บนพื้นที่นำไฟฟ้า
กรณีของการเทของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้า
ที่มีของเหลวที่นำไฟฟ้าผสมปนอยู่
บทความดังกล่าวกล่าวเอาไว้ว่าต้องทำการเทลงสู่ภาชนะบรรจุที่ทำจากวัสดุที่นำไฟฟ้าได้
(เช่นโลหะ)
เท่านั้น
แต่รูปที่บทความอ้างอิงไปถึง
(ในบทความต้นฉบับคือรูปที่
๑๕ แต่ในที่นี้คือรูปที่
๒๑)
กลับเป็นการถ่ายของเหลวจากภาชนะบรรจุที่เป็นโลหะ
(มีการต่อสายดิน)
ผ่านทางท่อสายยาง
ลงสู่ภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก
(ไม่นำไฟฟ้า)
ซึ่งมันขัดแย้งกันอยู่
รูปที่
๒๐
วิธีการที่เหมาะสมในการถ่ายของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้าจากภาชนะบรรจุ
(ที่ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า)
ลงสู่ภาชนะรองรับ
(ที่ทำจากวัสดุนำไฟฟ้า)
รูปที่
๒๑ การเทของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้า
ที่มีของเหลวที่นำไฟฟ้าผสมปนอยู่
รูปนี้
ในบทความต้นฉบับคำบรรยายในเนื้อหาบทความกับในรูปนั้นมีความขัดแย้งกันอยู่
รูปที่
๒๒ เป็นการถ่ายของเหลวจากถังบรรจุ
(ทำจากโลหะ)
ด้วยการใช้ปั๊มสูบเพื่อถ่ายลงสู่ถังอีกใบหนึ่ง
(เข่นอาจเป็นถังผสม
ที่ทำจากโลหะเช่นกัน)
ในรูปที่แสดงนี้ท่อที่จุ่มลงไปในของเหลวที่ต้องการสูบจะเป็นท่อโลหะ
(นำไฟฟ้าได้)
ส่วนท่อด้านขาออกของปั๊มจะเป็นสายยางที่ทอดตัวเข้าไปในถังรองรับ
(ถ้าจะให้ดีก็ควรที่จะลงไปต่ำพอที่จะลดการกระเซ็นของของเหลวที่ไหลตกลงไปในถังรองรับ)
การไหลแบบปั่นป่วนที่เกิดขึ้นภายในตัวปั๊มจะช่วยทำให้ไฟฟ้าสถิตย์เกิดได้มากขึ้น
ในรูปจะเห็นว่ามีการคีบสายดินที่หน้าแปลนด้านขาออกของตัวปั๊ม
(ด้านที่ต่อกับสายยาง)
เข้ากับถังที่บรรจุของเหลว
และถังที่รองรับของเหลว
(ในรูป
การต่อสายดินนั้นต่อผ่านตัวถังรองรับของเหลว)
แต่ทั้งนี้
ทางด้านถังบรรจุของเหลว
"ต้องไม่"
ทำการคีบสายดินเข้าตรงตำแหน่งช่องฝาเปิด-ปิด
(ตรงที่สอดท่อดูดของปั๊มเข้าไปในถังที่ในรูปเรียกว่า
bunghole)
เพราะตำแหน่งดังกล่าวเป็นตำแหน่งที่ไอเชื้อเพลิงนั้นพบกับอากาศ
มีโอกาสที่จะเกิดส่วนผสมที่เกิดการระเบิดได้
ซึ่งถ้าหากมีประกายไฟจากไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้นตรงบริเวณนั้น
(เช่นตอนที่จะคีบสายดินเข้ากับช่องฝาเปิด-ปิด)
ก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้
ตรงนี้คงต้องขอตั้งข้อสังเกตนิดนึงเพราะบทความไม่ได้กล่าวเอาไว้
ว่าปั๊มที่ใช้ในทำงานในบรรยากาศที่อาจมีไอระเหยของเชื้อเพลิงที่ลุกไหม้ได้นั้น
ถ้าเป็นปั๊มไฟฟ้าก็ต้องใช้มอเตอร์ชนิด
explosion
proof ซึ่งมีราคาแพง
แต่ในงานเช่นนี้อาจใช้ปั๊มที่ใช้แรงดันอากาศเป็นตัวขับเคลื่อน
รูปที่
๒๓ คล้ายกับรูปที่ ๒๒
ต่างกันตรงที่เป็นการถ่ายของเหลวจากถังใบหนึ่งสู่ถังอีกใบหนึ่งด้วยการใช้ปั๊ม
ในกรณีนี้จำเป็นต้องมีการต่อสายดินจากถังบรรจุใบหนึ่งลงสู่ดินโดยตรง
(เส้นที่อยู่ทางด้านซ้ายของถังใบซ้าย)
และเช่นเดียวกันกับกรณีของรูปที่
๒๒ คือ
ตำแหน่งคีบจับสายดินนั้นต้องไม่อยู่ตรงตำแหน่งช่องฝาเปิด-ปิดของถัง
รูปที่
๒๔
เป็นตัวอย่างการเดินท่อสำหรับป้อนของเหลวที่เป็นสารไวไฟและไม่นำไฟฟ้าลงสู่ถังผสม
(เป็นการเดินท่อแบบถาวร)
รูปแบบนี้มีประเด็นที่ต้องพิจารณาด้วยการสองประเด็นคือ
การเกิดไฟฟ้าสถิตและการไหลย้อนกลับ
รูปทางซ้ายนั้นปลายท่อป้อนของเหลวอยู่สูงจากระดับก้นถัง
(หรือผิวของเหลวในถัง)
ของเหลวที่ออกมาจากปลายท่อเมื่อตกกระทบพื้นด้านล่างก็จะแตกตัวออกเป็นละอองหยดเล็ก
ๆ ซึ่งทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้นในขณะที่ของเหลวไหลผ่านพ้นปลายท่อออกมาด้วย
แต่วิธีการนี้มีข้อดีตรงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องของเหลวที่อยู่ในถังนั้นจะเกิดการไหลย้อนกลับเข้าไปในท่อป้อน
ถ้าจะเลือกใช้วิธีการนี้ก็จำเป็นต้องควบคุมความเร็วของของเหลวที่ป้อนเข้าไปนั้นให้เหมาะสม
(ดูรูปที่
๑๖)
และถ้าให้ดีก็ควรทำในบรรยากาศแก๊สเฉื่อย
(คือไม่มีออกซิเจน)
และแก๊สเฉื่อยที่เหมาะสมก็คือไนโตรเจน
ส่วนคาร์บอนไดออกไซด์นั้นในบทความไม่แนะนำให้ใช้
เพราะแก๊ส CO2
ภายใต้ความดันที่ฉีดออกมาจากปลายท่อนั้นสามารถกลายเป็นผลึกน้ำแข็งแห้งที่มีประจุ
ที่สามารถทำให้เกิดประกายไฟได้
รูปที่
๒๒ การใช้ปั๊มช่วยในการถ่ายของเหลวจากภาชนะบรรจุลงสู่ถัง
รูปที่
๒๓
การใช้ปั๊มช่วยในการถ่ายของเหลวจากถังใบหนึ่งลงสู่ถังอีกใบหนึ่ง
ส่วนรูปทางด้านขวาของรูปที่
๒๔ นั้นที่ให้ปลายท่อป้อนของเหลวจุ่มลงไปใกล้ก้นถัง
(ที่เรียกว่า
dip
pipe)
ทำให้มันจมอยู่ในของเหลวที่ป้อนเข้าไปเมื่อทำการป้อนของเหลวเข้าไปได้ในปริมาณหนึ่ง
วิธีการนี้มีความเหมาะสมเมื่อพิจารณาในแง่ของการป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิต
แต่ก็ต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดการไหลย้อนกลับได้
(ซึ่งอาจเกิดจากการที่ความดันในถังเพิ่มสูงขึ้น
หรือจากการเกิดกาลักน้ำ)
รูปที่
๒๔ การถ่ายของเหลวลงสู่ถังผสม
ในบทความนี้มีการให้หมายเหตุพิเศษเฉพาะ
"enamelled
vessel" คือ
vessel
ที่มีการบุผิวด้านในด้วย
enamell
(ทำนองแบบเคลือบด้วยกระเบื้อง)
และการใช้
"tantalum
plug" (เล่นโลหะพิเศษซะด้วย)
เอาไว้ด้วย
ดูจากวัสดุที่กล่าวถึงแสดงว่าคณะผู้เขียนบทความชุดนี้คงต้องทำงานเกี่ยวกับการผลิตสารเคมีพิเศษ
(พวกมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง)
ตรงนี้คงต้องขอขยายความเพิ่มเติมนิดนึงคือ
โลหะบางชนิดนั้นต่อสารเคมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง
(ที่มักใช้ในงานพิเศษ)
แต่มันมีราคาแพง
ถ้าจะเอาโลหะชนิดนั้นมาขึ้นรูปเป็น
vessel
หรือท่อใช้กันทั้งระบบก็จะมีค่าใช้จ่ายสูง
การแก้ไขคือการขึ้นรูป
vessel
หรือท่อด้วยวัสดุอื่น
แล้วเคลือบผิวด้านที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีนั้นด้วยวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อนได้
(เช่นพอลิเมอร์หรือเซรามิก)
ยกเว้นส่วนที่หลีกไม่ได้ว่าต้องมีการสัมผัสกับสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงนั้น
(เช่นจุดเชื่อมต่อ
ช่องทางเข้า-ออก
หรือพื้นผิวแลกเปลี่ยนความร้อน)
ที่จะใช้โลหะที่ทนต่อการกัดกร่อนได้
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงการรั่วไหลของไอของเหลวออกจากถังบรรจุเข้ามาในอาคาร
ส่อให้เห็นว่าคณะผู้เขียนบทความต้องมีประสบการณ์การทำงานของโรงงานที่กระบวนการผลิตตั้งอยู่ในอาคารปิด
รูปที่
๒๕ -
๒๗
เป็นตัวอย่างวิธีการเก็บตัวอย่างของเหลวจากถังบรรจุ
ซึ่งแต่ละวิธีการนั้นเหมาะสมกับสภาพงานที่แตกต่างกัน
รูปที่
๒๕
เป็นการเก็บตัวอย่างในถังผสมด้วยการหย่อนเก็บตัวอย่างจากช่องเปิดทางด้านบนของถังเข้าไปตักของเหลวในถัง
วิธีการนี้ใช้ได้กับถังที่ไม่มีความดันภายใน
ตัว sampling
device (ตัวภาชนะเก็บตัวอย่างและเชือกที่หย่อนเข้าไป)
ควรทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้า
และเพื่อป้องกันอันตรายจากการระเบิดหรือเพลิงไหม้
ก็ควรต้องมีการปิดคลุมของเหลวในถังเอาไว้ด้วยแก๊สไนโตรเจน
พึงสังเกตว่าจุดเก็บตัวอย่างนั้นจะมีห้องเล็ก
ๆ
อยู่ทางด้านบนที่มีการป้อนแก๊สไนโตรเจนเข้าไปไล่อากาศออกจากบริเวณนั้นก่อนที่จะทำการเปิดวาล์ว
(ในรูปคือ
ball
valve) และหย่อนขวดเก็บตัวอย่างเข้าไปในถัง
ในบทความนี้ยังกล่าวเอาไว้ด้วยว่าหลังจากที่ปิดการทำงานของใบพัดกวนและหยุดการป้อนของเหลวแล้ว
ควรรออย่างน้อย 3
นาทีเพื่อให้ระบบหยุดนิ่งเสียก่อน
จากนั้นจึงค่อยทำการเก็บตัวอย่าง
รูปที่
๒๕ การเก็บตัวอย่างในถังบรรจุด้วยขวดเก็บตัวอย่าง
รูปที่ ๒๖ เป็นตัวอย่างการใช้แรงดันแก๊สที่ป้อนเข้าไปในถัง ไปดันให้ของเหลวในถังไหลออกทางท่อที่จุ่มอยู่ใต้ผิวของเหลว วิธีการนี้ใช้ได้ในกรณีที่ถังผสมนั้นพอจะรับความดันเอาไว้ได้บ้าง ข้อดีของวิธีการนี้ก็คือไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับการเปิดฝาถังเพื่อเก็นตัวอย่าง แต่ก็ต้องระวังไม่ป้อนแก๊สไนโตรเจนเข้าไปจนถังรับความดันไม่ได้
รูปที่
๒๖ อีกวิธีการหนึ่งในการเก็บตัวอย่างของเหลวในถัง
ในกรณีของถังที่ทำงานที่ความดันสูงนั้น
การให้ของเหลวในถังไหลด้วยความดันภายในถังลงสู่ภาชนะเก็บตัวอย่างอาจเกิดอันตรายจากการที่ของเหลวที่ไหลออกมานั้นพุ่งออกมาแรง
วิธีการที่ปลอดภัยกว่าคือการให้ท่อเก็บตัวอย่าง
(ที่จุ่มอยู่ใต้ของเหลวภายในถังเชื่อมต่อเข้ากับถังเก็บตัวอย่างขนาดเล็ก
จากนั้นจึงให้แรงดันภายในถัง
(หรือใช้การทำสุญญากาศในถังเก็บตัวอย่างขนาดเล็กร่วม)
สูบของเหลวจากถังผสมให้เข้ามาอยู่ในถังเก็บตัวอย่างขนาดเล็กนี้ก่อน
จากนั้นจึงค่อยทำการถ่ายของเหลวจากถังเก็บตัวอย่างขนาดเล็กนี้ลงสู่ขวดเก็บตัวอย่างอีกที
ส่วนของเหลวที่เหลืออยู่ในถังเก็บตัวอย่างขนาดเล็กนี้
จะส่งกลับคืนไปยังถังผสมอย่างไร
ก็ฝากไว้ให้คิดกันเล่น ๆ
ก็แล้วกัน
รูปที่
๒๗ อีกวิธีการหนึ่งในการเก็บตัวอย่างของเหลวจากถัง
รูปที่ ๒๘ และ ๒๙ แสดงตัวอย่างการต่อลงดินเมื่อมีการถ่ายน้ำมันระหว่างรถกับถังเก็บหรือหัวจ่าย ในกรณีของรถนั้นการต่อสายดินจากตัวรถนั้นจะผ่านทางสายยาง (ที่ควรต้องนำไฟฟ้าได้) กลับไปยังถังเก็บหรือหัวจ่ายที่มีการต่อสายดินอยู่ ในกรณีของถังขนาดเล็กที่ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้านั้น (เช่นถังพลาสติก) ก็ไม่ควรมีขนาดความจุมากเกินกว่า 5 ลิตร ในรูปยังใช้การวางถังดังกล่าวบนพื้น (เช่นพื้นคอนกรีต) แทนการถือเติม
รูปที่ ๒๘ และ ๒๙ แสดงตัวอย่างการต่อลงดินเมื่อมีการถ่ายน้ำมันระหว่างรถกับถังเก็บหรือหัวจ่าย ในกรณีของรถนั้นการต่อสายดินจากตัวรถนั้นจะผ่านทางสายยาง (ที่ควรต้องนำไฟฟ้าได้) กลับไปยังถังเก็บหรือหัวจ่ายที่มีการต่อสายดินอยู่ ในกรณีของถังขนาดเล็กที่ทำจากวัสดุที่ไม่นำไฟฟ้านั้น (เช่นถังพลาสติก) ก็ไม่ควรมีขนาดความจุมากเกินกว่า 5 ลิตร ในรูปยังใช้การวางถังดังกล่าวบนพื้น (เช่นพื้นคอนกรีต) แทนการถือเติม
รูปที่
๒๘ การถ่ายของเหลวระหว่างรถบรรทุกลงกับถังเก็บ
รูปที่
๒๙ การเติมน้ำมันให้กับรถยนต์และถังเก็บขนาดเล็ก
ส่วนรูปที่
๓๐
เป็นข้อมูลประเภทวัสดุที่เหมาะสมสำหรับการใช้ทำถังบรรจุของเหลวไวไฟแต่ละขนาด
จะเห็นว่าตัวที่มีปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตมากหน่อยคือ
CS2
ที่ภาชนะบรรจุควรทำจากโลหะ
ฉบับนี้คงจบแค่นี้
แม้ว่าเนื้อหาในบทความยังไม่หมด
รูปที่
๓๐ ขนาดและวัสดุที่เหมาะสมสำหรับใช้ทำภาชนะเก็บของเหลว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น