การได้มาซึ่งตัวอย่าง
การเก็บรักษาตัวอย่างหลังจากที่ได้รับมา
การเตรียมตัวอย่างให้พร้อมกับการวิเคราะห์
การปรับตั้งอุปกรณ์วิเคราะห์ก่อนทำการวิเคราะห์ตัวอย่าง
สิ่งต่าง
ๆ
ที่กล่าวมาข้างต้นต่างมีโอกาสที่จะส่งผลต่อข้อมูลดิบที่ได้จากการวิเคราะห์ด้วยเครื่องวิเคราะห์
ชนิดของอัลกอริธึมทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการปรับแต่งข้อมูลดิบ
ก็สามารถตกแต่งการแปลผลว่าจะให้ออกไปในทิศทางไหนก็ได้
อุปกรณ์วัดที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความว่องไวสูง
ก็จะไวต่อสิ่งรบกวนต่าง ๆ
ด้วย หลากหลายเครื่องมือวิเคราะห์ทางเคมี
เช่น X-ray
diffractometer (XRD), Gas chromatograph (GC), X-ray photoelectron
spectroscopy (XPS) จะให้เส้น
base
line ที่ไม่เรียบ
แต่จะมีการเต้นกระโดดขึ้นลงไปมา
ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของมัน
อันเป็นผลที่เกิดจากปัจจัยหลากหลาย
เช่น การรบกวนจากตัวอุปกรณ์วัดเอง
สิ่งปนเปื้อนที่ตกค้างอยู่ไม่สามารถกำจัดออกจากระบบได้หมด
เป็นต้น
ยิ่งการวิเคราะห์นั้นเป็นการวิเคราะห์ในระดับที่เข้าใกล้กับขีดจำกัดที่น้อยที่สุดที่อุปกรณ์วัดนั้นสามารถวัดได้
การแยกแยะว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็น
สิ่งปนเปื้อน สัญญาณรบกวน
หรือการมีอยู่ของสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ
ก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น
ตัวอย่างเช่นตัวเร่งปฏิกิริยา
MoO3-MgO/TiO2
(10 wt% MoO3 1 wt% MgO) และ
WO3-MgO/TiO2
(7 wt% WO3 1 wt% MgO) ที่นำมาเป็นตัวอย่างในวันนี้
เตรียมด้วยวิธี wet
impregnation โดยใช้เกลือโลหะที่มี
N
เป็นองค์ประกอบ
((NH4)6Mo7O24
ในกรณีของโลหะ
Mo
และ
(NH4)10H2(WO7)6.xH2O
ในกรณีของโลหะ
W)
และทำการปรับค่า
pH
ของสารละลาย
(ถ้าจำเป็น)
ด้วยสารละลาย
HNO3
หรือ
NH4OH
ในระหว่างกระบวนการเตรียม
จะมีการนำตัวเร่งปฏิกิริยาไปเผาในอากาศที่อุณหภูมิ
500ºC
เป็นเวลาอย่างน้อย
2
ชั่วโมงเพื่อให้เหลือแต่โครงสร้างโลหะออกไซด์บนพื้นผิว
(พวกแอมโมเนียมหรือไนเทรตควรที่จะสลายตัวไปหมด)
ผมได้ให้นิสิตป.โท
ในที่ปรึกษาส่งตัวอย่างทั้งสองไปวิเคราะห์ด้วยเครื่อง
XPS
เพื่อที่จะตรวจสอบดูว่ายังมีธาตุ
N
ตกค้างอยู่บนตัวเร่งปฏิกิริยาหรือไม่
การวิเคราะห์ด้วยเทคนิค
XPS
นี้ต้องกระทำในภาวะสุญญากาศยวดยิ่ง
(Ultra
High Vacuum หรือ
UHV)
ซึ่งโดยปรกติแล้วควรอยู่ที่ระดับ
10-6
Pa หรือต่ำกว่า
ในการวิเคราะห์นั้นหลังจากที่ได้ทำ
survey
scan แล้ว
ก็จะทำการวัดละเอียดตรงบริเวณค่าพลังงานยึดเหนี่ยว
(หรือ
binding
energy ที่มีหน่วยเป็นอิเล็กตรอนโวลต์
eV)
สำหรับธาตุ
N
นั้นจะอยู่ที่บริเวณ
400
eV โดยในการวัดละเอียดนั้นทางผู้ทำการวิเคราะห์ทำการสแกนค่าทีละ
0.1
eV โดยวัดที่แต่ละตำแหน่งนาน
0.2985
วินาทีก่อนย้ายไปวัดที่ตำแหน่งถัดไป
และทำการสแกนซ้ำทั้งหมด 3
ครั้ง
ข้อมูลดิบที่ได้จากการวิเคราะห์แสดงไว้ในรูปที่
๑ และ ๒ รูปบน ส่วนรูปกลางนั้นเป็นแนวเส้น
base
line ที่ซอร์แวร์ของเครื่องประมาณให้
(เส้นสีแดง)
เทียบกับข้อมูลที่ได้จากการวัด
(เส้นสีม่วง)
และรูปล่างนั้นเป็นผลที่ได้จากการทำ
peak
deconvolution เพื่อหาว่ามีพีคที่ตำแหน่งใดบ้าง
รูปที่
๑ กราฟ XPS
ของตัวเร่งปฏิกิริยา
MoO3-MgO/TiO2
(บน)
ข้อมูลดิบที่ได้จากการวิเคราะห์
(กลาง)
เมื่อใช้โปรแกรมของเครื่องทำการหาแนวเส้น
base
line และ
(ล่าง)
ผลการทำ
deconvolution
การวิเคราะห์ทำที่ความดัน
4.9
x 10-6 Pa ตำแหน่ง
Binding
energy ของ
C
1s อยู่ที่
285.6
eV โดยมีพื้นที่ของพีค
7066.1
cps eV
รูปที่
๒ กราฟ XPS
ของตัวเร่งปฏิกิริยา
WO3-MgO/TiO2
(บน)
ข้อมูลดิบที่ได้จากการวิเคราะห์
(กลาง)
เมื่อใช้โปรแกรมของเครื่องทำการหาแนวเส้น
base
line และ
(ล่าง)
ผลการทำ
deconvolution
การวิเคราะห์ทำที่ความดัน
4.7
x 10-6 Pa ตำแหน่ง
Binding
energy ของ
C
1s อยู่ที่
285.7
eV โดยมีพื้นที่ของพีค
7019.4
cps eV
base
line ที่เต้นไปมา
(แบบกราฟบนสุดในรูปที่
๑ และ ๒)
เป็นผลจากสัญญาณรบกวนที่เรียกว่า
"Noise"
ตัว
noise
นี้ทำให้ค่า
y
ที่วัดได้
ณ ค่า x
หนึ่งนั้นไม่คงที่
มีการขึ้น ๆ ลง ๆ
แม้ว่าจะไม่มีตัวอย่างใส่ไว้ในเครื่องก็ตาม
วิธีการหนึ่งที่สามารถลดขนาดของ
noise
ได้ก็คือการทำการวัดซ้ำ
ซึ่งอาจจะทำโดยการเพิ่มเวลาการวัดค่า
y
ณ
ตำแหน่ง x
ใด
ๆ ให้นานขึ้น หรือทำการวัดซ้ำในช่วงค่า
x
ที่สนใจหลาย
ๆ ครั้งแล้วนำค่าที่ได้นั้นมาเฉลี่ย
ซึ่งจะพบว่าเมื่อทำไปได้ถึงระดับหนึ่งจะได้ขนาดของ
noise
ที่เล็กที่สุด
และแม้ว่าจะทำการวัดซ้ำเพิ่มขึ้นไปอีกก็จะพบว่าขนาดของ
noise
นั้นไม่ได้ลดต่ำลงกว่านั้นแล้ว
ขนาดของ noise
ก็คือช่วงระหว่างค่าสูงกับค่าต่ำของสัญญาณที่วัดได้
อย่างเช่นกราฟบนในรูปที่
๑ และ ๒ นั้นจะเห็นว่า noise
มีขนาดประมาณ
50
cps
ส่วนที่ว่าต้องวัดซ้ำกี่ครั้งหรือควรใช้เวลานานเท่าใดในการวัดค่า
y
ณ
ตำแหน่ง x
ใด
ๆ นั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวอย่างแต่ละอุปกรณ์
มันไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว
(ผมเคยวัด
FTIR
ตัวอย่างที่เป็นผง
เวลาวัดด้วยการผสมกับ KBr
พบว่าวัดเพียงแค่ประมาณ
10
รอบก็ได้ผลที่ใช้ได้แล้ว
แต่พอเล่นกับตัวอย่างที่ไม่ผสม
KBr
กลับต้องวัดถึง
500-1000
รอบ
แถมยังต้องไปลดความเร็วการเคลื่อนที่ของ
moving
mirror ลงอีก
ตรงนี้ดูตัวอย่างเพิ่มเติมได้ใน
Memoir
ปีที่
๙ ฉบับที่ ๑๒๗๕ วันเสาร์ที่
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เรื่อง
"สแกนกี่รอบดี (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๘๕)")
โดยทั่วไปสิ่งที่มักจะถือปฏิบัติกันก็คือจะถือว่ามี
"การเปลี่ยนแปลง"
หรือ
"สัญญาณ
(Signal)"
ก็ต่อเมื่อขนาดการเปลี่ยนแปลงนั้นใหญ่กว่าขนาดของ
noise
โดยอย่างแรกต้องทำการพิจารณาว่าขนาดการเปลี่ยนแปลงนั้นมีมากน้อยเท่าใด
โดยดูได้จากค่าอัตราส่วนระหว่างขนาดของสัญญาณต่อขนาดของ
noise
หรือที่เรียกว่า
Singnal
to Noise ratio หรือเขียนย่อว่าค่า
S/N
โดยตัวไปมักจะถือว่าการเปลี่ยนแปลงที่น้อยที่สุดที่ถือว่าเป็นสัญญาณได้นั้นควรมีค่า
"S/N
ไม่ต่ำกว่า
2"
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าถ้าค่า
S/N
ต่ำกว่า
2
แล้วจะใช้ไม่ได้นะครับ
เพียงแต่ว่าควรต้องทำการทดสอบเพิ่มเติมอีกเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็น
signal
ที่มีขนาดต่ำมากจริง
ๆ (ตัวอย่างเรื่องนี้อ่านเพิ่มเติมได้ใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๔๗๐ วันพุธที่ ๒๗
มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง
"การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๓๗ Noise หรือ Peak"
และปีที่
๖ ฉบับที่ ๖๖๖ วันศุกร์ที่
๑๓ กันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง "ค่า signal to noise ratio ที่ต่ำที่สุด")
มาถึงจุดนี้
ถ้าคุณกลับไปดูกราฟบนในรูปที่
๑ และ ๒ ใหม่ คุณคิดว่ามันมี
peak
อยู่ตรงไหนบ้างครับ
ประการถัดมาที่อยากให้พึงระลึกไว้ก็คือ
base
line ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรงเสมอไป
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับชนิดตัวตรวจวัดว่ามันไวต่ออะไรบ้าง
และสิ่งที่เราทำการวัดนั้นมีปราฏการณ์อื่นเกิดขึ้น
ณ ตำแหน่ง x
ที่เราต้องการวัดค่า
y
หรือไม่
(อย่างเช่นในกรณีของ
XPS
มันจะมีบางช่วงที่ต้องลาก
base
line แบบที่มีชื่อว่า
Shirley
baseline) และเพื่อให้ข้อมูลดิบนั้นมันดูง่ายขึ้น
ก็เลยมีการคิดค้นเทคนิคทางคณิตศาสตร์ต่าง
ๆ มาเพื่อทำการจัดการกับ
noise
ที่มักจะเรียกกันว่าการทำ
"Smoothing"
หรือการปรับเส้น
base
line ให้เรียบ
ซึ่งแน่นอนว่าการใช้เทคนิคที่แตกต่างกัน
หรือใช้เทคนิคเดียวกัน
ก็ทำให้ได้เส้น base
line ที่แตกต่างกันได้
การปรับเส้น base
line ให้เรียบนี้มีทั้งการคงเส้น
base
line ให้อยู่
ณ บริเวณค่า y
ที่วัดได้
(เช่นกราฟรูปกลางในรูปที่
๑ และ ๒)
และการปรับย้ายตำแหน่งโดยย้ายเส้น
base
line มาอยู่ที่ค่า
y
= 0 (กราฟรูปล่างในรูปที่
๑ และ ๒)
"Deconvolution"
เป็นกระบวนการหนึ่งทางคณิตศาสตร์ที่สามารถบ่งบอกได้ว่าฟังก์ชันผลรวมที่เราเห็นนั้น
ประกอบด้วยฟังก์ชันย่อยกี่ฟังก์ชัน
และแต่ละฟังก์ชันมีขนาดเท่าใด
ตำแหน่ง จำนวน
และขนาดของฟังก์ชันย่อยแต่ละฟังก์ชันย่อยที่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
เช่น เราเลือกชนิดฟังก์ชันย่อยได้ถูกต้องกับปรากฏการณ์หรือไม่
การเลือกจำนวน ขนาด และตำแหน่ง
ของฟังก์ชันย่อยที่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการหาคำตอบ
ตัวอย่างเช่นจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
(ด้วยการใช้โปรแกรม
fityk)
การทำการ
peak
deconvolution สัญญาณ
UV-Vis
การเลือกฟังก์ชันย่อยเป็นชนิด
Gaussian
distribution ที่สมมาตรทั้งซ้ายและขวาจะให้ผลที่ออกมาดี
ในขณะที่ถ้าเป็นโครมาโทแกรมของ
GC
นั้น
การเลือกฟังก์ชันย่อยเป็นชนิด
Gaussian
distribution ที่ไม่สมมาตร
(คือซ้าย-ขวา
กว้างไม่เท่ากัน)
จะให้ผลที่ออกมาดี
แต่พอเป็นกรณีของผล
XRD
นั้นพบว่า
บางครั้งการใช้ Gaussian
distribution ที่สมมาตรก็ให้ผลที่ดี
และบ่อยครั้งที่พบว่าการใช้
Lorentzian
หรือ
Voigt
distribution นั้นให้ผลที่ออกมาตรงกับความเป็นจริงมากกว่า
(เรื่องนี้เคยเขียนเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๖๑ วันศุกร์ที่
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง
"XRD - peak fitting" และปีที่
๖ ฉบับที่ ๖๘๓ วันเสาร์ที่
๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ เรื่อง "XRD - peak fitting (ตอนที่ ๒)")
กราฟรูปล่างสุดในรูปที่
๑ และ ๒ เป็นผลจากการปรับ
base
line ให้เรียบ
ย้ายตำแหน่ง base
line มาอยู่ที่ระดับ
y
= 0 และการทำ
peak
deconvolution ผลที่ได้ก็คือกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยา
MoO3-MgO/TiO2
นั้นตัวซอร์ฟแวร์แปลผลว่ามี
N
จำนวน
2
สปีชีย์อยู่บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
และในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยา
WO3-MgO/TiO2
นั้นตัวซอร์ฟแวร์แปลผลว่ามี
N
จำนวนถึง
5
สปีชีย์อยู่บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
แต่สิ่งสำคัญที่อยากให้พึงสังเกตก็คือ
"ความสูง"
ของแต่ละพีคที่ซอร์ฟแวร์จัดทำให้ในกราฟรูปล่างนั้น
มันไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่กว่าขนาดของ
nosie
เลย
(ขนาดของ
noise
อยู่ที่ประมาณ
50
cps) อีกประเด็นที่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผลการวิเคราะห์นี้ก็คือ
ตัวอย่างนั้นมีการสแกนเพียงแค่
3
รอบเท่านั้นเอง
(จากประสบการณ์ของผมที่เคยใช้เครื่องนี้เมื่อหลายปีที่แล้วพบว่าจำนวนรอบการสแกนมันน้อยไปมาก)
ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ขนาดของ
noise
ที่วัดได้นั้นลดต่ำลงจนเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สำหรับนิสิตที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
ผมจะบอกกับนิสิตเสมอว่าผลการวิเคราะห์ที่จะนำมาถกเถียงกันนั้นขอเป็นตัวข้อมูลดิบที่ได้จากการวัดจริง
อย่าเพิ่งนำไปผ่านกระบวนการใด
ๆ เพื่อให้มันดู "ดีขึ้น"
หรือให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง
เพราะการนำไปผ่านกระบวนการทางคณิตศาสตร์นั้นมันทำได้ทั้งทำให้สิ่งที่มีนั้นหายไป
และสิ่งที่ไม่มีนั้นปรากฏขึ้น
และถ้าจำนำเสนอข้อมูลที่ผ่านกระบวนการทางคณิตศาตร์แล้ว
ก็ควรนำเสนอข้อมูลดิบแนบเอาไว้ด้วย
เพื่อที่จะได้ตรวจสอบได้ว่ามีการบิดเบือนผลการวัดหรือไม่
ผลการวิเคราะห์ที่นำมาเป็นตัวอย่างในวันนี้
เป็นตัวอย่างที่เตรียมโดยใช้สารตั้งต้นที่มีธาตุ
N
เป็นองค์ประกอบ
และแม้ว่าการวิเคราะห์นั้นจะทำในสุญญากาศ
แต่ก็ยังมีอากาศ
(แก๊สผสมระหว่างไนโตรเจน
+
ออกซิเจน)
ตกค้างอยู่ภายในตัวเครื่องและภายใน
"รูพรุน"
ของตัวอย่าง
(ปริมาณแก๊สที่ตกค้างอยู่ในรูพรุนดูได้จากการเปลี่ยนแปลงความดันภายในห้องวิเคราะห์เมื่อเริ่มทำการฉายรังสีเอ็กซ์ลงไปบนตัวอย่าง)
โดยความเห็นส่วนตัวของผม
กราฟข้อมูลดิบ (รูปบน)
ทั้งในรูปที่
๑ และ ๒ นั้นผมถือว่าไม่มีพีค
และถ้าหากเห็นพีคเล็ก ๆ
ที่สงสัยว่าเป็นพีคไนโตรเจน
ก็ยังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นพีคของสารประกอบไนโตรเจนที่อยู่บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา
(ไม่จำเป็นต้องแทรกเข้าไปในโครงร่างผลึก)
หรือมาจากแก๊สไนโตรเจนที่ค้างอยู่ในระบบ
แต่พักหลัง
ๆ นี้ ที่เห็นบ่อยขึ้นก็คือมีนักวิจัยจำนวนไม่น้อยที่พยายาม
"ทำอย่างไรก็ได้"
เพื่อให้ข้อมูลดิบที่ได้มานั้น
"มีพีคเกิดขึ้นในตำแหน่งที่ต้องการ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น