ตอนที่กลับมาทำงานใหม่ด้วยการรับหน้าที่ดูแลห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานที่ใช้สอนนิสิตปี
๒ นั้น งานแรกที่กระทำคือจัดการกับสารเคมีต่าง
ๆ ที่ไม่มีการใช้งาน
และจัดระเบียบการเก็บสารเคมี
และสารตระกูลหนึ่งที่มีการพิจารณาการใช้งานเป็นพิเศษคือสารตระกูล
"อีเทอร์
-
Ether"
เมื่อพิจารณาจากจำนวนอะตอม
C
H และ
O
ที่มีอยู่ในโมเลกุล
สามารถจัดได้ว่าอีเทอร์
R-O-R'
เป็นไอโซเมอร์กับแอลกอฮอล์
R-OH
จึงไม่แปลกที่ตำราเคมีอินทรีย์หลายเล่มจะรวมเรื่องของอีเทอร์ไว้กับหัวข้อแอลกอฮอล์
ทั้ง ๆ
ที่สารทั้งสองมีพฤติกรรมการทำปฏิกิริยาเคมีที่แตกต่างกัน
(ค่อนข้างจะมากซะด้วย)
อีเทอร์จัดว่าเป็นสารประกอบที่ค่อนข้างเฉื่อย
(ทำนองเดียวกับอัลเคน)
แต่เนื่องด้วยโครงสร้างโมเลกุลอีเทอร์มีทั้งส่วนที่ไม่มีขั้ว
(หมู่
R
และ
R')
และส่วนที่มีขั้วอยู่เล็กน้อย
(ตรงอะตอม
O)
ทำให้สารอินทรีย์จำนวนมากสามารถละลายได้ในอีเทอร์
จึงทำให้นิยมใช้อีเทอร์ในการสกัดสารอินทรีย์
และประกอบกับการที่อีเทอร์มีจุดเดือดต่ำ
ทำให้สามารถแยกอีเทอร์ออกจากสารอินทรีย์ที่มันสกัดออกมาได้โดยไม่ต้องใช้อุณหภูมิสูง
(ซึ่งอาจทำให้สารอินทรีย์ที่สกัดออกมานั้นเสื่อมสภาพได้)
เพียงแค่ใช้อุณหภูมิไม่มากกับสุญญากาศช่วย
ก็สามารถแยกอีเทอร์ออกจากสารที่สกัดออกมาได้ง่าย
แต่ถึงกระนั้นก็ตามอีเทอร์ในสภาพที่เก็บรักษาเอาไว้ในขวดนั้น
สามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ
(ซึ่งมักจะเริ่มการสัมผัสเมื่อเปิดขวดใช้ครั้งแรก)
ได้อย่างช้า
ๆ เกิดเป็นสารประกอบไฮโดรเปอร์ออกไซด์
(hydroperoxide
- ดูรูปที่
๑ ข้างล่าง)
ซึ่งสารประกอบไฮโดรเปอร์ออกไซด์นี้สามารถเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรซ์เป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นของสารประกอบเปอร์ออกไซด์
(peroxide)
รูปที่ ๑ การเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์ของไดเอทิลอีเทอร์ (Diethyl ether H3C-CH2-O-CH2-CH3)
รูปที่ ๑ การเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์ของไดเอทิลอีเทอร์ (Diethyl ether H3C-CH2-O-CH2-CH3)
สารประกอบเปอร์ออกไซด์ของอีเทอร์ตัวนี้แหละที่เป็นปัญหา
เพราะมันเป็นสารประกอบที่ไม่เสถียรและไวต่อการเสียดสี
ในกรณีของอีเทอร์ที่บรรจุขวดมานั้น
บริเวณที่มีการสัมผัสกันระหว่างอีเทอร์กับออกซิเจนในอากาศก็คือบริเวณฝาขวดที่จะเริ่มมีการสัมผัสกันครั้งแรกเมื่อมีการเปิดขวดอีเทอร์ขวดนั้นครั้งแรก
ดังนั้นบริเวณนี้จะเป็นที่สะสมของสารประกอบเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้น
แรงเสียดสีที่เกิดขึ้นเมื่อทำการเปิดฝาขวดนั้นมากเพียงพอที่จะทำให้สารประกอบเปอร์ออกไซด์ที่สะสมอยู่นั้นสลายตัวและเกิดการระเบิดขึ้นมาได้
ด้วยเหตุนี้สำหรับผู้ที่ต้องใช้อีเทอร์ในการทำการทดลองนั้น
จึงควรที่จะต้องทำการบันทึกเอาไว้ว่าขวดอีเทอร์ที่ใฃ้นั้นมีการเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อใด
และถ้าหากใช้ไม่หมดภายใน
๖ เดือนก็ต้องทำการกำจัดเปอร์ออกไซด์ที่เกิดขึ้น
(ถ้ายังต้องการเก็บอีเทอร์ขวดนั้นไว้ใช้ต่อ)
หรือกำจัดอีเทอร์ขวดนั้นทิ้งไป
(ถ้าไม่ต้องการใช้อีเทอร์ขวดนั้นอีกแล้ว)
แต่การระเบิดนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขณะเปิดฝาขวด
แม้ว่าจะเก็บขวดอีเทอร์ดังกล่าวไว้ในตู้เย็น
ก็ยังสามารถเกิดการระเบิดขึ้นมาได้
(ดูรูปที่
๒ ข้างล่าง)
รูปที่ ๒ ภาพตู้เย็นเก็บสารเคมี (ตัวซ้าย) เสียหายจากการระเบิดของอีเทอร์อันเนื่องมาจากการเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์ (จากหนังสือ A Short Course in Organic Chemistry โดย Edward E. Burgoyne พิมพ์ครั้งที่ 3 ปีค.ศ. 1985)
รูปที่ ๒ ภาพตู้เย็นเก็บสารเคมี (ตัวซ้าย) เสียหายจากการระเบิดของอีเทอร์อันเนื่องมาจากการเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์ (จากหนังสือ A Short Course in Organic Chemistry โดย Edward E. Burgoyne พิมพ์ครั้งที่ 3 ปีค.ศ. 1985)
แต่ไม่ได้หมายความนะว่าสารประกอบอีเทอร์ทุกตัวจะมีปัญหาเรื่องการเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์
อีเทอร์บางตัวก็ไม่ค่อยมีปัญหาดังกล่าว
(เรียกได้ว่าเป็นข้อยกเว้น)
เมทิลเทอร์เชียรีบิวทิลอีเทอร์
(Methyl
tertiary butyl ether - MTBE)
ที่ใช้เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนในน้ำมันเบนซิน
(มีผสมอยู่ในน้ำมันเบนซิน
10%)
ที่มีการผลิตใช้กันมากในอุตสาหกรรมจากปฏิกิริยาระหว่างไอโซบิวทิลีนกับเมทานอล
(รูปที่
๓)
ก็สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้อย่างปลอดภัย
ไดเมทิลอีเทอร์ (Dimethyl
ether H3C-O-CH3)
ที่มีความพยายามคิดจะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนแก๊สหุงต้มหรือน้ำมันดีเซลก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ทนต่อการเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์
รูปที่
๓ ปฏิกิริยาการสังเคราะห์
Methyl
tertiary butyl ether หรือ
MTBE
ที่ใช้เป็นสารเพิ่มเลขออกเทนหลักในน้ำมันเบนซินจากปฏิกิริยาระหว่างไอโซบิวทิลีนกับเมทานอล
ส่วนไดเอทิลอีเทอร์
(Diethyl
ether H3C-CH2-O-CH2-CH3)
หรือไดไอโซโพพิลอีเทอร์
(Diisopropyl
ether (H3C)2-CH-O-CH-(CH3)2)
จะมีปัญหาการเกิดเปอร์ออกไซด์ที่สูงกว่า
และมักจะได้รับการกล่าวถึงอยู่เสมอ
รูปที่
๔-๖
เป็นภาพข่าวที่ค้นมาให้ดูเป็นตัวอย่าง
เป็นกรณีของอุบัติเหตุที่เกิดจากการระเบิดของสารประกอบเปอร์ออกไซด์ที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างสารที่ต้องการใช้
(ไดเอทิลอีเทอร์ในรูปที่
๔ และเททระไฮโดรฟูรานในรูปที่
๕ และ ๖)
กับออกซิเจนในอากาศ
ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่มีการเปิดขวดสารเคมีใช้
ตัวอย่างที่ยกมานี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น
และดูเหมือนว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นไม่ใช่อาจารย์
แต่เป็น "นิสิต"
ผู้ทำการทดลอง
ในทั้งสองกรณีนั้นการระเบิดไม่ได้เกิดขึ้นในขณะพยายามเปิดขวด
แต่เป็นในระหว่างที่มีการนำสารเคมีดังกล่าวนั้นมาใช้งาน
อุบัติเหตุทั้งสองกรณีมีรูปแบบการเกิดที่เหมือนกันคือใช้ตัวทำละลายที่มีเปอร์ออกไซด์ปนเปื้อนอยู่
และเมื่อระเหยตัวทำละลายออกไป
ความเข้มข้นของเปอร์ออกไซด์ในสารละลายที่เหลือก็เพิ่มสูงขึ้น
ประกอบกับอุณหภูมิที่ใช้ในการระเหย
(ดูแล้วไม่น่าจะมากเท่าใด)
ก็เลยทำให้เกิดการระเบิดของสารประกอบเปอร์ออกไซด์นั้น
รูปที่
๔
ข่าวการระเบิดที่การสอบสวนคาดว่าน่าจะเกิดจากการใช้ไดเอทิลอีเทอร์ที่มีสารประกอบเปอร์ออกไซด์ปนเปื้อนอยู่ (จาก
http://www.ab.ust.hk/hseo/Lesson/Diethyl%20ether%20explosion.htm)
รูปที่ ๕ ข่าวการระเบิดจากการเกิดเปอร์ออกไซด์ของเททระไฮโดรฟูราน (tetra hydrofuran)
รูปที่ ๕ ข่าวการระเบิดจากการเกิดเปอร์ออกไซด์ของเททระไฮโดรฟูราน (tetra hydrofuran)
รูปที่
๖ จดหมายข่าวเหตุการณ์ระเบิดในรูปที่
๕
(รูปที่
๕ นำมาจาก
https://www.ehs.uci.edu/salerts/Lesson%20Learned_Peroxide.pdf)
(รูปที่
๖ นำมาจาก
http://www2.lbl.gov/msd/assets/docs/safety/Mat_Safety_january07.pdf)
อันที่จริงการระเบิดที่
(เชื่อว่าน่าจะเกิดจาก)
สารประกอบเปอร์ออกไซด์ก็เคยเกิดขึ้นในห้องแลปที่กลุ่มของเราทำการทดลองร่วมกับกลุ่มอื่น
ซึ่งเคยเล่าเอาไว้เมื่อกว่า
๔ ปีที่แล้วใน Memoir
๒
ฉบับก่อนหน้านี้คือ
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๐๕ วันจันทร์ที่
๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง
"เมื่อขวดทิ้งสารระเบิด"
(ฉบับนี้มีภาพประกอบ)
และ
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๓๒ วันอังคารที่
๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ เรื่อง
"ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และคีโตน"
กรณีที่เกิดขึ้นในห้องแลปเรานั้นเป็นกรณีของการเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์จากการผสมสารเคมีสองชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมกัน
(หรือต้องกระทำด้วยความระมัดระวังถ้าต้องการผสมกันจริง
และต้องรู้ด้วยว่ากำลังเล่นกับอะไรอยู่)
แต่มีการนำมาผสมเข้าด้วยกันอย่างตั้งใจโดยที่
"ไม่รู้"
ว่ามันมีสิทธิเกิดปฏิกิริยาอะไรขึ้นมาบ้าง
ที่เขียนเรื่องนี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอก
ใครทำแลปอยู่ก็ควรลองชำเลืองดูรอบข้างหน่อยด้วย
ว่ามีใครใช้สารอะไรกันบ้าง
เพราะเวลาที่มันเกิดเรื่องแต่ละที
คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่อยู่รอบข้างจะเจ็บตัวไปด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น