เอกสาร
"ภัยธรรมชาติในประเทศไทย"
ที่กรมอุตุนิยมวิทยาเผยแพร่ไว้บนหน้าเว็บ
กล่าวถึงการเปิดพายุหมุนเขตร้อนเอาไว้ว่า
(https://tmd.go.th/info/risk.pdf)
"พายุหมุนเขตร้อนเริ่มต้นการก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ากําลังแรงซึ่งอยู่เหนือผิวน้ำทะเลในบริเวณเขตร้อนและเป็นบริเวณที่กลุ่มเมฆจํานวนมากรวมตัวกันอยู่โดยไม่ปรากฏการหมุนเวียนของลม
หย่อมความกดอากาศต่ำกําลังแรงนี้
เมื่ออยู่ในสภาวะที่เอื้ออํานวยก็จะพัฒนาตัวเองต่อไป
จนปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน"
พอปรากฏระบบหมุนเวียนของลมอย่างชัดเจน
ก็จะเรียกว่าเป็นพายุแล้ว
การจำแนกชนิดพายุหมุนเขตร้อน
อาศัยความเร็วลมใกล้จุดศูนย์กลางเป็นหลัก
กล่าวคือ
ความเร็วลมสูงสุดไม่เกิน
33
นอต
(17
เมตร/วินาที
หรือ 62
กิโลเมตร/ชั่วโมง)
เรียกว่าเป็นพายุดีเปรสชั่น
(Depression)
ชื่อย่อ
TD
สัญญลักษณ์
D
พายุดีเปรสชั่นนี้ยังไม่มีชื่อตั้งให้
ความเร็วลมสูงสุดอยู่ในช่วง
34-63
นอต
(17-32
เมตร/วินาที
หรือ 63-117
กิโลเมตร/ชั่วโมง)
เรียกว่าเป็นพายุโซนร้อน
(Tropical
Storm) ชื่อย่อ
TS
สัญญลักษณ์
S
พอมาถึงขั้นนี้ก็จะมีการกำหนดชื่อให้กับพายุแล้ว
ความเร็วลมสูงสุดอยู่ในช่วง
64-129
นอต
(17
เมตร/วินาที
หรือ 118-239
กิโลเมตร/ชั่วโมง)
เรียกว่าเป็นพายุไต้ฝุ่น
(Typhoon)
ชื่อย่อ
TY
รูปที่
๑ ข้อความส่วนหนึ่งจาก
Executive
summary เหตุการณ์ที่เกิดกับเรือขุดเจาะ
Seacrest
ในอ่าวไทย
เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน
๒๕๓๒ (จากเอกสาร
INVESTIGATION
OF EVENTS SURROUNDING THE CAPSIZE OF THE DRILLSHIP SEACREST
จัดทำโดยหน่วยงาน
Failure
Analysis Associates®, Inc. ให้กับบริษัท
Unocal)
การเกิดลมหมุนเข้าสู่ศูนย์กลางจำเป็นต้องพึ่งพาแรงโคริออริส
(Coriolis
force)
ดังนั้นบริเวณที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากเกินไปจะไม่เกิดพายุหมุน
(เพราะแรงโคริออริสมีค่าน้อย)
ด้วยเหตุนี้
ในบริเวณแถบบ้านเราการก่อตัวจนถึงระดับความแรงที่เป็นพายุได้จึงมักเกิดที่ตำแหน่งเส้นรุ้งสูงเกินกว่า
5
องศาเหนือ
วัตถุดิบที่สำคัญสำหรับการก่อตัวเป็นพายุคือไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาจากพื้นน้ำ
ท้องทะเลที่มีอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงและพื้นน้ำที่กว้าง
(เช่นในมหาสมุทรเปิด)
จะทำให้พายุก่อตัวได้ง่าย
เช่นในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์
ในบริเวณพื้นทะเลที่แคบกว่านั้น
(เช่นในอ่าวไทยหรือในทะเลจีนใต้)
การก่อตัวเป็นพายุขนาดใหญ่ที่มีกำลังแรงนั้นมีโอกาสเกิดได้น้อย
แต่ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว
และพายุลูกหนึ่งที่มีกำลังแรงระดับไต้ฝุ่น
ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอ่าวไทยคือพายุไต้ฝุ่นเกย์
(Gay)
ที่ก่อตัวขึ้นในอ่าวไทยในระหว่างวันที่
๓ และ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๓๒
ก่อนขึ้นฝั่งที่บริเวณจังหวัดชุมพร-ประจวบคีรีขันธ์
และข้ามต่อไปยังมหาสมุทรอินเดียก่อนที่จะทวีกำลังแรงขึ้นอีกครั้งและไปสิ้นสุดเมื่อขึ้นฝั่งที่ประเทศอินเดีย
รูปที่
๒ ตำแหน่งร่องความกดอากาศต่ำ
ทิศทางมรสุม และทางเดินพายุหมุนเขตร้อน
ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของรอบปี
จากเอกสาร
"ภัยธรรมชาติในประเทศไทย"
จัดทำโดยกรมอุตุนิยมวิทยา
รูปที่
๓ เส้นทางการเคลื่อนที่ของพายุ
Gay
(จากขวามาซ้าย)
และกำลังของพายุตั้งแต่เริ่มก่อตัวเป็นหย่อมความกดอาศต่ำ
(สีน้ำเงิน)
ทางใต้แหลมญวน
จนเป็นพายุดีเปรสชั่น
(สีเขียว)
พายุโซนร้อน
(สีเหลือง)
และพายุไต้ฝุ่น
(สีแดง)
ก่อนขึ้นฝั่งบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดชุมพรและประจวบคีรีขันธ์
(ภาพจาก
http://agora.ex.nii.ac.jp/digital-typhoon/)
รูปที่
๔ กราฟการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศ
(หน่วย
hPa)
ณ
เวลาต่าง ๆ ค่าความกดอากาศยิ่งต่ำ
ความเร็วลมยิ่งสูง (ภาพจาก
http://agora.ex.nii.ac.jp/digital-typhoon/)
จะเห็นว่าพายุลูกนี้เพิ่มกำลังจากพายุดีเปรสชั่น
(จุดสีเขียว)
ถึงระดับไต้ฝุ่น
(จุดสีแดง)
ได้ในเวลาไม่ถึง
๑ วัน
Gay
เป็นพายุที่มีการทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรียกว่าภายในเวลาไม่ถึง
๒๔
ชั่วโมงสามารถเปลี่ยนตัวเองจากพายุดีเปรสชั่นที่เพิ่งจะก่อตัวได้เพียง
๑ วันกลายเป็นพายุไต้ฝุ่น
และบังเอิญว่าบริเวณที่ทวีกำลังแรงขึ้นนั้น
มีเรือขุดเจาะน้ำมันชื่อ
Seacrest
กำลังปฏิบัติหน้าที่ขุดเจาะน้ำมันอยู่ใกล้เคียงกับแนวทางการเคลื่อนที่ของศูนย์กลางของพายุ
รูปที่
๕ ภาพถ่ายดาวเทียมพายุไต้ฝุ่น
Gay
ขณะมีกำลังแรงสูงสุดก่อนเคลื่อนขึ้นฝั่งทางใต้ของประเทศไทย
(ภาพจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Gay_(1989))
อ่าวไทยไม่ได้มีบริเวณพื้นน้ำที่กว้างใหญ่
การที่หย่อมความกดอากาศต่ำที่อยู่ในอ่าวไทยจะเพิ่มกำลังจนถึงระดับพายุไต้ฝุ่นได้นั้น
จะเรียกว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้
แถมยังทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว
การทวีกำลังของพายุดีเปรสชั่นเป็นพายุโซนร้อน
Gay
ในวันศุกร์ที่
๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๒
และทวีกำลังแรงเป็นระดับไต้ฝุ่นในวันเดียวกันนั้นเอง
ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติงานบนเรือ
Seacrest
ไม่ทันตั้งตัว
ประกอบกับตำแหน่งที่อยู่ของเรือนั้นอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของพายุและอยู่ในแนวทางเดินของจุดศูนย์กลาง
ทำให้เรือพลิกคว่ำอย่างรวดเร็ว
แบบที่เรียกได้ว่าลูกเรือไม่ทันที่จะได้หนี
ในบรรดาลูกเรือทั้งหมด ๙๗
คนในเวลานั้น มีรอดชีวิตมาได้เพียง
๖ คน (หลังจากลอยคออยู่กลางทะเลท่ามกลางพายุเป็นเวลาหลายวัน
เพราะความรุนแรงของพายุทำให้หน่วยกู้ภัยไม่สามารถออกไปช่วยเหลือได้
รูปที่
๖ พ้นจากประเทศไทยแล้ว
พายุ Gay
พอเคลื่อนเข้าสู่ทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดียก็ทวีกำลังแรงขึ้นใหม่
ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ฝั่งตะวันออกของประเทศอินเดีย)
(ภาพจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Gay_(1989))
รูปที่
๗ เส้นทางเดินของพายุ
Harriet
ที่ขึ้นฝั่งที่ฝั่งประเทศไทยที่แหลมตะลุมพุก
จ.
นครศรีธรรมราช
ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.
๒๕๐๕
(ภาพจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/1962_Pacific_typhoon_season)
ช่วงปลายเดือนตุลาคม
หย่อมความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะทวีกำลังแรงและเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศไทยตอนบน
และยังแผ่ออกไปทางตะวันออกทางด้านทะเลจีนใต้ด้วย
ลักษณะเช่นนี้ทำให้พายุที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิกที่สามารถเคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์เข้าสู่ทะเลจีนใต้ได้นั้น
แทนที่จะเคลื่อนที่ขึ้นเหนือเข้าสู่เวียดนามตอนบนหรือจีนตอนใต้ดังเช่นช่วงเวลาก่อนหน้า
กลับถูกกดให้เคลื่อนต่ำลงล่าง
ซึ่งถ้าเคลื่อนขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนามตอนใต้
ก็มักจะอ่อนกำลังลงเมื่อเคลื่อนเข้าสู่ประเทศกัมพูชา
แต่ก็มีเหมือนกันที่หย่อมความกดอากาศสูงนั้นกดพายุให้เคลื่อนต่ำลงมาก
จนสามารถอ้อมใต้แหลมญวนได้
กล่าวคือแทบจะเคลื่อนที่อยู่ในทะเลตลอดเวลา
ถ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้พายุสามารถรักษาความแรงเอาไว้ได้
(เพราะได้ความชื้นจากทะเลหล่อเลี้ยงเอาไว้)
และพายุลูกหนึ่งที่มีรูปแบบการเคลื่อนที่แบบนี้คือพายุโซนร้อน
Harriet
ที่เคลื่อนที่ขึ้นฝั่งประเทศไทยที่แหลมตะลุมพุก
จ.
นครศรีธรรมราช
ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.
๒๕๐๕
(รูปที่
๗)
พายุอีกลูกหนึ่งที่มีลักษณะการเคลื่อนที่รูปแบบเช่นนี้ได้แก่พายุทุเรียน
(Durian)
แต่ด้วยการที่แนวทางของพายุนั้นมีการพาดผ่านแหลมญวน
ทำให้พายุมีการอ่อนกำลังลงก่อนเคลื่อนเข้าสู่อ่าวไทยในรูปของหย่อมความกดอากาศต่ำ
และไม่ได้มีการทวีกำลังแรงขึ้นเป็นระดับพายุอีกเมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งทางภาคใต้ของประเทศไทย
(รูปที่
๘)
รูปที่
๘ เส้นทางการเคลื่อนที่ของพายุไต้ฝุ่นทุเรียน
ที่เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิก
แต่โดนความกดอากาศสูงจากประเทศจีนกดให้เคลื่อนที่ต่ำลงล่าง
จนสามารถอ้อมผ่านแหลมญวนได้
ก่อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยช่วงต้นเดือนธันวาคม
พ.ศ.
๒๕๔๙
(ภาพจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Typhoon_Durian)
รายละเอียดการสอบสวนเหตุที่เกิดกับเรือ
Seacrest
หาอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ตจากรายงานที่มีชื่อว่า
"INVESTIGATION
OF EVENTS SURROUNDING THE CAPSIZE OF THE DRILLSHIP SEACREST"
ที่จัดทำโดยหน่วยงาน
Failure
Analysis Associates®, Inc. เพื่อรายงานให้กับบริษัท
Unocal
(ถ้าสนใจก็ลองค้นโดยใช้
google
ดูก็แล้วกัน)
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบ
๒๘ ปีของการเกิดเหตุการณ์หายนะดังกล่าวในอ่าวไทย
เรียกว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมขุดเจาะปิโตรเลียมของบ้านเราก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น