เนื้อหาใน
Memoir
ฉบับนี้อิงมาจากบทความเรื่อง
"Self-ignition
temperature of combustible liquids" โดย
Nicholas
P. Setchkin ตีพิมพ์ในวารสาร
Journal
of Research of the National Bureau of Standard Vol. 53 No. 1
ในเดือนกรกฎาคม
ค.ศ.
๑๙๕๔
(พ.ศ.
๒๔๙๗)
(รูปที่
๑ ข้างล่าง)
รูปที่
๑ บทความที่เป็นต้นเรื่องของเนื้อหาชุดนี้
เป็นบทความในปีค.ศ.
๑๙๕๔
(พ.ศ.
๒๔๙๗)
หรือเมื่อกว่า
๖๐ ปีที่แล้ว
การที่ไอผสมระหว่างเชื้องเพลิงกับอากาศ
(คำว่า
"อากาศ"
ในตอนที่นี้หมายความรวมถึงตัวออกซิไดซ์ทั่วไปนอกเหนือจากอากาศปรกติที่เราใช้หายใจกัน
เช่น ออกซิเจนบริสุทธิ์ แก๊ส
N2O
เป็น)
จะสามารถลุกติดไฟได้นั้น
สิ่งแรกที่ต้องเกิดก่อนคือสัดส่วนการผสมระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศต้องอยู่ในช่วงที่พอเหมาะที่เรียกว่า
flammability
limit หรือ
explosive
limit คือปริมาณเชื้อเพลิงไม่น้อยเกินไป
(ค่า
lower
limit) และปริมาณอากาศต้องไม่น้อยเกินไป
(ค่า
upper
limit)
จากนั้นสิ่งที่ต้องมีตามมาก็คือแหล่งพลังงานที่จะมากระตุ้นให้เชื้อเพลิงกับอากาศเริ่มทำปฏิกิริยา
แหล่งพลังงานกระตุ้น
(เช่นประกายไฟ
ที่มีความหนาแน่นพลังงานสูง)
จะอยู่
ณ จุดใดจุดหนึ่งของไอส่วนผสม
และทำการกระตุ้นเป็นช่วงเวลาสั้น
ๆ เพียงครั้งเดียวแล้วก็หยุดกระตุ้น
เพื่อให้เชื้อเพลิงที่ได้รับพลังงานจากแหล่งพลังงานกระตุ้นนั้นทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศแล้วคายความร้อนออกมา
ถ้าพลังงานความร้อนที่คายออกมาจากปฏิกิริยาการเผาไหม้เชื้อเพลิงนั้นสามารถทำให้เกิดเปลวไฟแผ่ขยายออกไปจากแหล่งพลังงานกระตุ้นได้
ส่วนผสมนั้นก็จะถือว่าอยู่ในช่วง
flammability
limit
รูปที่
๒ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้วิธีการทดสอบและใช้นิยาม
"จุดลุกติดไฟได้เอง"
ที่แตกต่างกัน
ส่งผลทำให้ได้ค่าที่แตกต่างกันมาก
(องศาเซนติเกรด
(degree
centigrade) เป็นชื่อเดิมก่อนเปลี่ยนมาเป็นองศาเซลเซียส
(degree
Celsius))
ในอีกกรณีหนึ่งนั้น
ถ้าไอผสมระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศที่มีความเข้มข้นอยู่ในช่วง
flammability
limit
นั้นมีอุณหภูมิสูงมากพอจนทำให้โมเลกุลของเชื้อเพลิงกับออกซิเจนในอากาศทำปฏิกิริยากันได้เองโดยไม่ต้องมีแหล่งพลังงานกระตุ้นจากภายนอก
ไอผสมนั้นก็จะเกิดการลุกไหม้ขึ้นเองได้
อุณหภูมิต่ำสุดที่ทำให้ไอผสมนี้ลุกติดไฟได้เองเรียกว่า
"อุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเอง"
ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
Autoignition
temperature (AIT) หรือ
Self-ignition
temperature (SIT)
การเกิดส่วนผสมระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศที่มีอุณหภูมิสูงพอที่จะเกิดการลุกติดไฟได้เองนั้นเกิดได้หลายวิธี
เช่น
-
การผสมเชื้อเพลิงกับอากาศเข้าด้วยกันก่อน
จากนั้นจึงค่อย ๆ
เพิ่มอุณหภูมิของไอผสมนั้นให้สูงขึ้น
-
การฉีดเชื้อเพลิงเหลวเข้าไปในอากาศร้อนที่มีอุณหภูมิสูงพอ
ความร้อนในอากาศร้อนนั้นจะทำให้เชื้อเพลิงเหลวส่วนหนึ่งกลายเป็นไอและเกิดการเผาไหม้
สิ่งนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเครื่องยนต์ดีเซล
ที่ใช้การฉีดน้ำมันดีเซลเข้าไปในอากาศร้อนที่เกิดจากการอัดในกระบอกสูบ
-
การที่เชื้อเพลิงที่เป็นของเหลวกระทบกับพื้นผิวที่ร้อน
เชื้อเพลิงเหลวนั้นจะระเหยกลายเป็นไอผสมกับอากาศอยู่รอบ
ๆ พื้นผิวที่ร้อนนั้นและเกิดการลุกติดไฟได้
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ในโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่าง
ๆ
ดังนั้นการออกแบบการวางท่อโรงงานจึงจำเป็นต้องแยกแนวท่อลำเลียงสารไวไฟและท่อที่ร้อน
(เช่นท่อไอน้ำ)
เพื่อไม่ให้ของเหลวไวไฟที่รั่วไหลออกจากท่อลำเลียง
(อาจจะเนื่องด้วยการผุกร่อนของท่อ
หรือการถอดแยกชิ้นส่วนเพื่อการซ่อมบำรุง)
มีโอกาสหยดลงบนพื้นผิวท่ออื่นที่ร้อนจัดจนเกิดการระเบิดขึ้นได้
รูปที่
๓ ภาคตัดขวางตัวอย่างหนึ่งของอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดค่า
autoignition
temperature รูปต่าง
ๆ ทั้งหมดในที่นี้นำมาจากเอกสารของ
Nicholas
P. Setchkin ที่กล่าวมาข้างต้น
พิ้นผิวที่มีอุณหภูมิสูง
(เช่นท่อไอน้ำ)
สามารถเป็นแหล่งจุดระเบิดไอผสมเชื้อเพลิงกับอากาศได้
ถ้าหากอุณหภูมิของผิวท่อนั้นสูงกว่าค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองของเชื้อเพลิงชนิดนั้น
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้เมื่อมีการรั่วไหลของเชื้อเพลิงในโรงงาน
ไอผสมระหว่างเชื้อเพลิงกับอากาศจะแผ่กว้างออกไป
และเมื่อใดก็ตามที่ไอผสมที่แผ่ขยายออกไปนั้นพบกับพื้นผิวที่มีอุณหภูมิสูงพอ
ก็จะเกิดการระเบิดขึ้นได้
ค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองของแต่ละสารและสารผสมนั้นได้รับความสนใจมานานแล้ว
เพราะมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงาน
แต่พอจะวัดจริง ๆ
ก็พบว่ามันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ค่าอุณหภูมิที่วัดได้นั้นแตกต่างกัน
เช่น
-
ความเข้มข้นไอผสมที่อยู่ในช่วง
flammability
limit นั้นส่งผลหรือไม่
กล่าวคือถ้าใช้ค่าสัดส่วนการผสมที่แตกต่างกัน
(แต่ยังคงอยู่ในช่วง
flammability
limit) ค่าที่วัดได้นั้นจะแตกต่างกันหรือไม่
-
วิธีการทำให้เกิดไอผสมและการเพิ่มอุณหภูมิให้กับไอผสมนั้น
จะใช้การผสมเชื้อเพลิงกับอากาศเข้าด้วยกันก่อน
แล้วค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิส่วนผสมนั้น
หรือใช้การหยดเชื้อเพลิงที่เป็นของเหลวลงบนพื้นผิวของแข็งที่ร้อนที่อุณหภูมิหนึ่ง
หรือใช้การเพิ่มอุณหภูมิอากาศให้ร้อนก่อนแล้วจึงฉีดเชื้อเพลิงเข้าไปในอากาศร้อนนั้น
และด้วยความแตกต่างของวิธีการวัดนี้เอง
ทำให้ค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองที่วัดได้นั้นแตกต่างไปตามผู้ที่รายงาน
รูปที่ ๒ เป็นตัวอย่างที่
Setchkin
นำมารวบรวมเอาไว้เพื่อแสดงให้เห็นถึงปัญหาเรื่องนี้
รูปที่
๔ ผลของขนาดภาชนะที่ใช้ในการทดสอบที่มีต่อค่าอุณหภูมิที่วัดได้
(ต่างกันที่ขนาด
แต่ใช้โครงสร้างแบบเดียวกับในรูปที่
๓)
จะเห็นว่าเมื่อใช้ภาชนะที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ค่าค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเอง
(ที่ย่อว่า
SIT)
ที่วัดได้มีแนวโน้มที่จะลดต่ำลง
และระยะเวลาการหน่วงก่อนเกิดการระเบิดจะเพิ่มมากขึ้น
ความแตกต่างของวิธีการวัดที่ผ่านมานั้น
อาจเกิดจากข้อจำกัดด้านอุปกรณ์ทดลอง
หรือต้องการจำลองสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่ผู้ทดลองนั้นสนใจ
เช่นการหยดของเหลวลงบนพื้นผิวที่ร้อนนั้น
มองได้ว่าเป็นการจำลองการรั่วไหลของเชื้อเพลิงที่เป็นของเหลวออกจากท่อ
และหยด (หรือถูกฉีดพุ่ง)
ไปกระทบกับพื้นผิวท่อข้างเคียงที่มีอุณหภูมิสูง
ในขณะที่การผสมเชื้อเพลิงกับอากาศเข้าด้วยกันก่อนที่จะเพิ่มอุณหภูมิ
มองได้ว่าเป็นการจำลองการแผ่ขยายของไอผสมเชื้อเพลิงจากแหล่งที่มีการรั่วไหล
เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้เราจึงควรที่จะเข้าใจว่าค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองที่เรานำมาใช้งานนั้นได้มาจากวิธีการวัดแบบใด
และในการทำงานของเรานั้นมันมีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ในรูปแบบใดบ้าง
เพื่อที่จะได้ประมาณผลได้ว่าค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองในสภาพการทำงานแท้จริงของเรานั้น
จะมีค่าต่ำกว่าหรือสูงกว่าค่าที่เรานำมาใช้อ้างอิงในการออกแบบ
รูปที่
๓ เป็นภาคตัดขวางอุปกรณ์วัดค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองที่
Setchkin
ใช้ในการทดลอง
โดยดัดแปลงมาจากอุปกรณ์วัดตามมาตรฐาน
ASTM
ในการทดลองนี้
(ในบทความไม่ได้ให้รายละเอียดไว้
แต่จากข้อมูลที่นำมาแสดงทำให้คาดได้ว่า)
ใช้การอุ่นอากาศให้ร้อนอากาศจนมีอุณหภูมิระดับที่ต้องการก่อน
จากนั้นจึงทำการฉีดเชื้อเพลิงเข้าไปในอากาศร้อนนั้น
(ในปริมาณที่กำหนดเพื่อให้ได้ไอผสมที่มีสัดส่วนตามต้องการ)
แล้วเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิภายใน
ในช่วงแรกที่ฉีดเชื้อเพลิงเข้าไปนั้นอุณหภูมิในระบบจะลดต่ำลงเล็กน้อยเป็นระยะเวลาสั้น
ๆ (ผลจากการที่เชื้อเพลิงเหลวระเหยกลายเป็นไป
มีการดึงความร้อนจากอากาศออกส่วนหนึ่ง)
ถ้าหากไม่เกิดการลุกไหม้หรือไม่มีการลุกไหม้ต่อเนื่อง
อุณหภูมิภายในฟลาสค์ก็จะคืนกลับมาที่เดิม
แต่ถ้าเกิดการลุกไหม้ต่อเนื่อง
ก็จะเห็นอุณหภูมิในฟลาสค์เพิ่มสูงขึ้น
และถ้าเป็นการระเบิด
ก็จะเห็นอุณหภูมิในฟลาสค์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลในรูปที่
๔
ยังแสดงให้เห็นผลของขนาดภาชนะบรรจุที่ส่งผลต่อค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองและระยะเวลาหน่วงการระเบิดที่วัดได้
จากข้อมูลจะเห็นว่าเมื่อขนาดภาชนะบรรจุมีขนาดใหญ่ขึ้น
ค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองมีแนวโน้มที่จะลดต่ำลง
ในขณะที่ค่าระยะเวลาหน่วงการระเบิดนั้นกลับเพิ่มขึ้น
ระยะเวลาการหน่วงก่อนการระเบิด
(time
lag) คือระยะเวลาที่ไอผสมเกิดการระเบิด
(หรือลุกไหม้)
เมื่อคงอยู่ที่อุณหภูมิระดับหนึ่ง
"นานพอ"
และนิยามของระยะเวลาที่
"นานพอ"
นี้เองก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าอุณหภูมิที่วัดได้นั้นแตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่นกรณีของเมทิลไซโคลเฮกเซน
(methyl
cyclohexane - C6H11-CH3) Setchkin
กล่าวไว้ว่าถ้าที่อุณหภูมิ
275ºC
จะเห็นการระเบิดเกิดขึ้นหลังจากปล่อยทิ้งไว้นานเพียง
30
วินาที
แต่ถ้าเป็นที่อุณหภูมิ
248ºC
จะเห็นการระเบิดเกิดขึ้นถ้าปล่อยทิ้งไว้นานถึง
20
นาที
10
วินาที
ดังนั้นถ้าผู้ทำการทดลองไม่รอให้ไอผสมคงอยู่ที่อุณหภูมิใดอุณหภูมิหนึ่งเป็นระยะเวลานานพอ
ก็จะไม่พบการระเบิดของไอผสมนั้น
ทั้ง ๆ ที่มันสามารถเกิดขึ้นได้ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานพอ
ระยะเวลาหน่วงก่อนการระเบิดนี้เป็นผลมาจากการที่ปฏิกิริยาการเผาไหม้นั้นเป็นปฏิกิริยาที่คายความร้อนออกมา
และความร้อนที่คายออกมานั้นไปทำให้อุณหภูมิของไอผสมที่อยู่ข้างเคียงนั้นร้อนขึ้น
ทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มเร็วขึ้นไปอีก
และเกิดเช่นนี้ต่อเนื่องออกไปเรื่อย
ๆ แต่ถ้าอุณหภูมิของไอผสมนั้นต่ำเกินไป
ปฏิกิริยาการเผาไหม้ก็จะไม่เกิด
หรือเกิดในปริมาณที่ไม่มากพอที่จะชดเชยการสูญเสียความร้อนออกสู่สิ่งแวดล้อม
ทำให้ไม่เกิดการเผาไหม้ที่ต่อเนื่องได้
ถ้าความร้อนที่คายออกมาจากปฏิกิริยานั้นสูงกว่าการสูญเสียความร้อนออกสู่สิ่งแวดล้อมไม่มาก
ความร้อนที่เหลือให้กับการเร่งปฏิกิริยาก็มีน้อย
ทำให้กว่าจะเห็นการลุกไหม้ที่ขยายตัวออกไป
(หรือการระเบิด)
ต้องรอเวลานาน
แต่ถ้าความร้อนที่เหลือให้กับการเร่งปฏิกิริยานั้นมีค่าสูงกว่าความร้อนที่สูญเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมมาก
ระยะเวลาหน่วงการระเบิดก็จะหดสั้นลง
รูปที่
๕ ผลของวัสดุที่ใช้ทำผนังภาชนะที่ใช้ในการทดสอบ
จะเห็นว่าค่าที่ได้นั้นเปลี่ยนไปตามวัสดุที่ใช้ทำอุปกรณ์ด้วย
รูปที่
๕ แสดงให้เห็นผลของวัสดุที่ใช้ทำอุปกรณ์วัด
(ผนังส่วนที่สัมผัสกับไอผสมเชื้อเพลิง-อากาศ)
จะเห็นว่าค่าที่วัดได้นั้นขึ้นอยู่กับชนิดวัสดุที่ใช้ทำอุปกรณ์ด้วย
สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะความสามารถในการนำความร้อนของวัสดุที่ใช้
เมื่อเกิดการเผาไหม้ขึ้นภายในนั้น
จะมีความร้อนส่วนหนึ่งสูญเสียให้กับฟลาสค์ที่บรรจุไอผสมนั้น
ถ้าฟลาสค์นั้นทำจากวัสดุที่นำความร้อนได้ดี
ก็จะมีความร้อนสูญเสียให้กับวัสดุที่ใช้ทำฟลาสค์นั้นมากกว่าฟลาสค์ที่ทำจากวัสดุที่นำความร้อนได้ต่ำกว่า
ทำให้เห็นค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองนั้นสูงกว่า
(จากข้อมูลในรูปที่
๕
จะเห็นว่าพื้นผิวโลหะทำให้วัดค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองสูงกว่าพื้นผิวชนิดอื่น)
เครื่องยนต์สันดาปภายใน
(internal
combustion engine)
ที่เราพบเห็นทั่วไปในชีวิตประจำวันได้แก่เครื่องยนต์เบนซิน
(gasoline
engine) และเครื่องยนต์ดีเซล
(diesel
engine)
คำถามพื้นฐานคำถามหนึ่งที่คนที่เรียนวิชาเครื่องยนต์สันดาปภายในมักจะโดนถามเป็นประจำได้แก่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเอาน้ำมันเบนซินไปเติมให้กับเครื่องยนต์ดีเซล
และเอาน้ำมันดีเซลไปเติมให้กับเครื่องยนต์เบนซิน
น้ำมันเบนซิน
(ภาษาอังกฤษเรียก
gasoline)
กับน้ำมันดีเซลมีคุณสมบัติการเผาไหม้ที่ตรงข้ามกัน
ไฮโดรคาร์บอนที่มีเลขออกเทนสูง
(พวกอะโรมาติก
โซ่กิ่ง)
จะมีเลขซีเทนต่ำ
ในทางกลับกันไฮโดรคาร์บอนที่มีเลขซีเทนสูง
(พวกโซ่ตรง)
จะมีเลขออกเทนต่ำ
เครื่องยนต์เบนซินนั้นใช้การผสมอากาศกับน้ำมันเข้าด้วยกันก่อน
จากนั้นจึงทำการจุดระเบิดด้วยหัวเทียน
เปลวไฟการเผาไหม้จะแผ่กระจายออกจากหัวเทียนไปทั่วกระบอกสูบ
และควรเป็นไปในทิศทางนี้เท่านั้น
ในขณะที่เปลวไฟแผ่กระจายออกไปนั้น
ความดันและอุณหภูมิของไอผสมส่วนที่เปลวไฟยังเคลื่อนมาไม่ถึงจะเพิ่มสูงขึ้น
และไอผสมส่วนนี้ไม่ควรที่จะเกิดการจุดระเบิดด้วยตนเองอันเป็นผลจากความดันและอุณหภูมิที่สูงขึ้น
เพราะจะทำให้เกิดหน้าคลื่นการเผาไหม้แผ่ออกไปปะทะกับคลื่นการเผาไหม้ที่แผ่ออกมาจากหัวเทียน
หรือเกิดการระเบิดรุนแรงขึ้นกระทันหัน
ที่เป็นอาการที่เรียกว่าเครื่องยนต์น็อค
รูปที่
๖ ตัวอย่างค่า autoignition
temperature และระยะเวลาหน่วงก่อนการระเบิดของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
พังสังเกตค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเอง
(SIT)
ของน้ำมันเบนซินที่มีเลขออกเทนต่างกัน
และน้ำมันดีเซลที่มีเลขซีเทนต่างกัน
การทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลนั้นจะใช้การอัดอากาศเพียงอย่างเดียวเพื่อทำให้อากาศนั้นมีอุณหภูมิสูงก่อน
จากนั้นจึงทำการฉีดเชื้อเพลิงเข้าไปในอากาศร้อนนั้น
เมื่อเชื้อเพลิงสัมผัสกับอากาศร้อนก็ควรที่จะเกิดการลุกไหม้ได้ทันทีเพื่อทำให้เกิดความร้อนและแก๊สร้อนในการดันลูกสูบให้เคลื่อนที่ลง
ถ้าหากเชื้อเพลิงที่ฉีดเข้าไปนั้นไม่เกิดการเผาไหม้
เครื่องยนต์ก็จะไม่ทำงาน
(ปัญหาที่เกิดกับเครื่องยนต์ดีเซลเวลาที่อากาศเย็น
ทำให้ต้องมีการ "เผาหัว"
คืออุ่นอากาศที่เครื่องยนต์ดูดเข้านั้นให้ร้อนก่อน
ทำให้ติดเครื่องได้ง่าย)
หรือถ้าหากมีเชื้อเพลิงบางส่วนที่ฉีดเข้าไปนั้นไม่เผาไหม้และสะสมอยู่ในกระบอกสูบ
พอเครื่องยนต์ร้อนจัดขึ้น
เชื้อเพลิงส่วนที่สะสมอยู่นี้ก็เกิดการระเบิดขึ้นเองในจังหวะที่ไม่เหมาะสม
ก่อให้เกิดอาการที่เรียกว่าการน็อคของเครื่องยนต์ดีเซล
ถ้าพิจารณาข้อมูลในรูปที่
๖ จะเห็นว่าน้ำมันดีเซลจะมีค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองค่อนข้างต่ำ
ส่วนน้ำมันเบนซินนั้นพวกที่มีเลขออกเทนต่ำจะมีค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองที่ต่ำ
และพวกที่มีเลขออกเทนสูงจะมีค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองที่สูงขึ้น
ทำให้น้ำมันออกเทนสูงทนต่ออุณหภูมิและความดันได้มากขึ้นโดยไม่ชิงจุดระเบิดเองก่อน
ทำให้ใช้กับเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนการอัดสูงได้
(อัตราส่วนการอัดยิ่งสูง
ประสิทธิภาพการทำงานก็ยิ่งเพิ่มขึ้น)
ส่วนน้ำมันดีเซลนั้นแม้ว่าค่าอุณหภูมิติดไฟได้ด้วยตนเองจะไม่แตกต่างกันมากนักตามเลขซีเทนที่เปลี่ยนไป
แต่เมื่อพิจารณาระยะเวลาหน่วงก่อนการระเบิด
(lag
time) ในรูปที่
๗
จะเห็นว่าน้ำมันดีเซลที่เลขซีเทนสูงจะมีระยะเวลาหน่วงก่อนการระเบิดที่สั้นกว่าพวกที่มีเลขซีเทนต่ำกว่า
ทำให้เกิดการเผาไหม้ได้รวดเร็วกว่า
เครื่องยนต์จึงทำงานที่รอบสูงได้
(หมายเหตุ
:
การเผาไหม้ในเครื่องยนต์ดีเซลนั้นใช้การฉีดพ่นให้เป็นละอองฝอยเล็ก
ๆ จึงเกิดการเผาไหม้ได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น lag
time การเผาไหม้ในเครื่องยนต์จริงจึงสั้นกว่าการทดสอบในอุปกรณ์วัด)
รูปที่
๗ ตัวอย่างค่า autoignition
temperature
และระยะเวลาหน่วงก่อนการระเบิดของน้ำมันดีเซลที่มีค่าเลขซีเทน
(cetane
number) ต่างกัน
คำว่า Straight
run หมายถึงน้ำมันที่ได้จากหอกลั่นโดยตรง
โดยที่ยังไม่นำไปทำการปรับสภาพใด
ๆ
ในกรณีของน้ำมันดีเซลที่ใช้น้ำมันดิบที่มีไฮโดรคาร์บอนโซ่ตรงในสัดส่วนที่สูง
น้ำมันที่กลั่นได้จะมีค่าเลขซีเทนสูงพอสำหรับการนำไปใช้งานได้เลย
(ถ้าไม่คำนึงถึงกำมะถันปนเปื้อน)
แต่ถ้าเป็นน้ำมันเบนซิน
น้ำมัน straight
run ที่ได้จากหอกลั่นนั้นจะมีเลขออกเทนที่ต่ำ
ยังไม่สามารถนำไปใช้กับเครื่องยนต์ได้
ต้องนำไปผ่านกระบวนการเพิ่มเลขออกเทนก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น