ระหว่างการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ของนิสิตผู้หนึ่งเมื่อบ่ายวันอังคารที่ผ่านมา
ปัญหาหนึ่งที่นิสิตผู้นั้นไม่สามารถอธิบายให้กรรมการเข้าใจได้อย่างชัดเจนคือ
ทำไมดุลมวลสารจึงมีสารหายไป
และหายไปไหน
ปัญหาเกิดจากการที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการทำงานวิจัยนั้น
ไม่เข้าใจหลักการของเทคนิคที่เขาใช้ในการวิเคราะห์ตัวอย่าง
และรูปแบบการรายงานผลการวิเคราะห์ปริมาณที่มักใช้กัน
กล่าวคือเทคนิคที่เขาเลือกใช้นั้นเป็นเทคนิคที่วัดปริมาณธาตุต่าง
ๆ ในรูปของ "ธาตุ"
ไม่ใช่ในรูปของ
"สารประกอบ"
แต่เวลารายงานผล
เขามักจะรายงานผลในรูปแบบร้อยละโดยน้ำหนัก
(wt%)
"เมื่อคิดในรูปของ
..."
โดย
...
นี้คือสารประกอบที่สมมุติว่ามีอยู่ในตัวอย่าง
แม้ว่าตัวอย่างนั้นจะไม่มีสารประกอบนั้นเลยก็ได้
เช่นในกรณีของการวัดค่า
alkalinity
หรือความเป็นด่างของน้ำ
เราจะเอาน้ำตัวอย่างมาไทเทรตกับกรดแล้วดูว่าต้องใช้กรดเท่าใดจึงจะสะเทินน้ำนั้นได้
จากนั้นจึงรายผลในรูปของมีค่าความเป็นด่างเท่ากับสารละลายที่มีปริมาณ
CaCO3
ละลายอยู่
xxx.xx
mg/l (หรือ
ppm)
ทั้ง
ๆ ที่ในน้ำนั้นอาจไม่มี
CaCO3
ละลายอยู่เลยก็ได้
และความเป็นด่างอาจเกิดจาก
OH-
ก็ได้โดยที่ไม่มี
CO32-
เกี่ยวข้อง
แต่ที่เขานิยมคิดในรูป
CaCO3
ก็เพราะความเป็นด่างของน้ำจากธรรมชาติส่วนใหญ่เกิดจาก
CaCO3
ในทำนองเดียวกันในการวิเคราะห์ความกระด้าง (hardness) ของน้ำ ไอออนบวกของโลหะตั้งแต่ 2+ ขึ้นไป (เช่น Ca2+, Mg2+) เป็นตัวที่ทำให้น้ำเกิดความกระด้าง แต่สาเหตุของความกระด้างส่วนใหญ่ของน้ำจากธรรมชาติมาจาก CaCO3 ดังนั้นการรายงานผลการวิเคราะห์จึงนิยมรายงานในรูปน้ำนั้นมีค่าความกระด้างเท่ากับสารละลายที่มีปริมาณ CaCO3 ละลายอยู่ xxx.xx mg/l (หรือ ppm) เช่นกัน
การวัดปริมาณธาตุด้วยเทคนิคทางด้าน
x-ray
fluorescence (XRF) หรือ
atomic
absorption (AA) เป็นการวัดในรูปแบบ
"ธาตุ"
ไม่ใช่
"สารประกอบ"
ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าเราเตรียมสารละลายขึ้นมาสองตัว
โดย
(ก)
สารละลายตัวแรกเตรียมโดยการนำเอาเกลือ
NaฺBr
มาละลายน้ำให้ได้ความเข้มข้น
Na+
0.1 mol/l จากนั้นก็เอาเกลือ
KCl
มาละลายลงต่อไปในสารละลายเดิมนี้ให้ได้ความเข้มข้น
K+
0.1 mol/l
(ข)
สารละลายตัวที่สองเตรียมโดยการนำเอาเกลือ
NaฺCl
มาละลายน้ำให้ได้ความเข้มข้น
Na+
0.1 mol/l จากนั้นก็เอาเกลือ
KBr
มาละลายลงต่อไปในสารละลายเดิมนี้ให้ได้ความเข้มข้น
K+
0.1 mol/l
เมื่อนำสารละลายทั้งสองไปวิเคราะห์ด้วยเทคนิคทางด้าน
atomic
absorption เราจะพบว่าสารละลายทั้งสองมีองค์ประกอบเหมือนกัน
แต่จะบอกไม่ได้ว่าสารละลายแต่ละตัวอย่างนั้นเตรียมมาจากเกลือของสารใด
และโดยปรกติการรายงานผลก็มักจะรายงานในรูปของความเข้มข้นของธาตุนั้นในสารละลายนั้น
และถ้าเราเป็นคนเตรียมตัวอย่างเองเราก็จะต้องทำการคำนวณกลับไปว่าสารละลายของเรานั้นได้จากการละลายตัวอย่างหนักเท่าใด
เพื่อที่จะคำนวณกลับไปเป็นความเข้มข้นในตัวอย่างที่เป็นของแข็งอีกที
สำหรับตัวอย่างของแข็งที่ละลายได้ยากหรือไม่ทราบแน่ชัดว่าประกอบด้วยธาตุอะไรบ้างนั้น
ทางกลุ่มเรามักจะหันไปพึ่งเทคนิค
XRF
ก่อนเพราะมันวิเคราะห์ตัวอย่างที่เป็นของแข็งได้โดยตรง
เทคนิค XRF
เป็นเทคนิคหนึ่งที่ใช้ในการวัดเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพโดยรายงานว่าตัวอย่างประกอบด้วย
"ธาตุ"
อะไรบ้าง
ไม่ได้บอกว่าตัวอย่างประกอบด้วย
"สารประกอบ"
อะไรบ้าง
แต่การรายงานผลมักจะรายงานในรูปที่สมมุติว่าธาตุดังกล่าวอยู่ในรูปของ
"สารประกอบออกไซด์"
ทั้ง
ๆ
ที่ในความเป็นจริงนั้นธาตุนั้นอาจอยู่ในรูปสารประกอบตัวอื่นที่ไม่ใช่ออกไซด์
และถ้าอยากรู้ว่าของแข็งนั้นเป็นผลึกของสารใด
ก็ต้องใช้ผลการวิเคราะห์จากเทคนิค
x-ray
diffraction (XRD) ประกอบ
เพื่อให้เห็นภาพก็จะขอยกตัวอย่างให้ดู
สมมุติว่าเราวิเคราะห์ตัวอย่างที่เป็นเกลือ
NaCl
บริสุทธิ์
(M.W.
58.45) หนัก
1.00
g สิ่งที่เราวัดได้จาก
XRF
คือตัวอย่างของเราจะมีโลหะ
Na
ในปริมาณ
0.3935
g และถ้าสมมุติว่าโลหะ
Na
ในตัวอย่างของเรานี้อยู่ในรูปของสารประกอบ
Na2O
เราก็จะคำนวณได้ว่าโลหะโซเดียม
0.3935
g นี้เทียบเท่ากับโลหะโซเดียมในสารประกอบ
Na2O
หนัก
0.5304
g ดังนั้นเวลารายงานผลเขาก็จะรายงานว่ามีโลหะ
Na
เมื่อคิดในรูป
Na2O
เท่ากับ
53.04
wt%
ซึ่งถ้าไม่เข้าใจตรงนี้จะทำให้สงสัยได้ว่าแล้วตัวอย่างส่วนที่เหลืออีก
47%
นั้นเป็นสารประกอบอะไร
หรือถ้าเราเปลี่ยนเป็นการวิเคราะห์ตัวอย่างที่เป็นเกลือ
Na2SO4
บริสุทธิ์
(M.W.
142.06) หนัก
1.00
g ด้วยเทคนิค
XRF
เราก็จะเห็นตัวอย่างเรามีปริมาณโลหะ
Na
0.3238 g และถ้าสมมุติว่าโลหะโซเดียมนี้อยู่ในรูปสารประกอบ
Na2O
ก็จะคำนวณได้ว่าโลหะโซเดียม
0.3238
g นี้เทียบเท่ากับโลหะโซเดียมในสารประกอบ
Na2O
หนัก
0.4364
g และเวลารายงานผลเขาก็จะรายงานว่าตัวอย่างของเรามีโลหะ
Na
เมื่อคิดในรูปของ
Na2O
เท่ากับ
43.64
wt% เช่นกัน
ปัญหามันอยู่ตรงที่คำว่า
"เมื่อคิดในรูปของ
..."
บ่อยครั้งที่มันไม่ได้ระบุเอาไว้ในรายงานการวิเคราะห์
โดยอาจถือกันว่าเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วในหมู่ผู้ที่ทำงานทางด้านนี้
และผู้วิเคราะห์เองก็คงคิดว่าผู้ส่งตัวอย่างให้วิเคราะห์นั้นก็ทราบดีอยู่แล้วว่ารูปแบบการรายงานผลที่เขาใช้กันทั่วไปในวงการนี้นั้นเขาใช้รูปแบบไหน
แต่พอผู้นำผลการวิเคราะห์ไปใช้ไปตีความผลเป็นอีกแบบ
มันก็เลยเกิดปัญหาในการนำเอาไปใช้งาน
ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันอังคารที่ผ่านมา
คนส่วนใหญ่นั้นมักจะไม่กล้าตั้งคำถามว่าคำศัพท์หรือคำย่อที่อีกฝ่ายหนึ่งกำลังใช้ในการสื่อสารนั้นหมายความว่าอะไร
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในการประชุมวงใหญ่
ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา
แต่จากประสบการณ์ที่เจอมานั้นพบว่าบ่อยครั้งมากที่ตัวผู้ใช้คำศัพท์นั้นเองยังไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่ตนเองพูดออกมา
หรือไม่ก็ผู้พูดกับผู้ฟังนั้นเข้าใจไปกันคนละทาง
คนที่มีตำแหน่งสูงก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวว่าจะโดนลูกน้องมองว่าเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้
แล้วมาเป็นหัวหน้าได้อย่างไร
ส่วนคนที่เป็นลูกน้องก็ไม่กล้าถามเพราะเกรงจะโดนหัวหน้าหาว่าไม่มีความรู้ความสามารถในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมาย
เคยมีกรณีของอาจารย์รายหนึ่งสั่งให้นิสิตไปติดต่อขอข้อมูลอุปกรณ์
"in
situ" นิสิตถามอาจารย์กลับไปว่ามันคืออะไร
อาจารย์ก็ไม่ยอมตอบ
แต่บอกให้นิสิตไปจัดการมาให้ได้
ถ้าไม่รู้ก็ให้ติดต่อไปทางบริษัท
พอนิสิตติดต่อไปเจ้าหน้าที่ทางบริษัทก็งงเหมือนกันว่ามันคืออะไรขอให้นิสิตกลับมาถามอาจารย์ใหม่ว่าต้องการอะไร
พอนิสิตกลับมาแจ้งอาจารย์ก็โดนอาจารย์ว่ากลับไปว่าไปจัดการมาให้ได้
โดยที่ไม่ยอมอธิบายว่าอุปกรณ์
"in
situ" ที่แกพูดนั้นคืออะไร
เรื่องมาจบลงตรงที่อาจารย์คนดังกล่าวมาบอกกับผมให้ช่วยดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ที
ผมก็ถามย้อนกลับไปว่ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นคืออะไร
ก็ได้คำตอบออกมาว่า
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"
ได้ยินอย่างนี้แล้วก็ทำให้สงสัยว่า
ผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ซะมากมายไปหมดก่อนหน้านี้
ได้ผลมาได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น