"
… ชาญ
เย็นแข ซึ่งนั่งรถไฟมากกว่าใครเพื่อน
เพราะเขาเป็นนักพากย์หนังภูธรมาเมื่อสมัยหนุ่ม
ๆ เขาคุยให้ฟังถึงชื่อสถานีต่าง
ๆ สนุกนัก เช่นเมื่อกินเหล้าแล้วก็มีสถานนี
'ควนเมา'
สถานี
'ควนพอ'
ฉะนั้นจะถึงสถานี
'หนองวิวาท'
สถานี
'หนองโดน'
เจ็บเข้าก็ไปสถานี
'ศาลายา'
หากสาหัสจนเหลือกำลังหมอก็ต้องไปสถานี
'ศาลาธรรมศพ'
นั่น
… "
จากเรื่อง
"บ้านผีที่สงขลา"
ในหนังสือ
"ผีกระสือ
ที่บางกระสอ"
โดย
สง่า อารัมภีร
ฉบับจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า
พิมพ์ครั้งที่ ๓ กุมภาพันธ์
๒๕๓๙ (ชื่อสถานี
'ศาลาธรรมศพ'
สะกดตามต้นฉบับในหนังสือ)
ผมเองสงสัยอยู่เหมือนกันว่า
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้สยามรอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกมาได้ก็เพราะการเปิดประเทศค้าขายกับประเทศต่าง
ๆ อย่างไม่กีดกัน
จึงส่งผลให้ประเทศทางยุโรปที่เข้ามาค้าขายกับสยามนั้นไม่ต้องการให้สยามกลายเป็นของผู้ใดผู้หนึ่งผู้เดียว
อังกฤษได้ครอบครองอินเดียมาจนถึงพม่า
ส่วนฝรั่งเศสก็ได้ครอบครองเวียดนาม
ลาว และกัมพูชา
และเพื่อป้องกันไม่ให้อังกฤษและฝรั่งเศสเกิดการกระทบกระทั่งกันเอง
สองประเทศนี้จึงได้ทำข้อตกลงระหว่างกันเอง
โดยซีกตะวันตกนั้นให้อยู่ในเขตอิทธิพลของอังกฤษ
และซีกตะวันออกนั้น
(คือด้านภาคอีสาน)
ให้เป็นเขตอิทธิพลของฝรั่งเศส
ดูเหมือนว่าการตกลงนี้เป็นการตกลงที่มหาอำนาจจัดสรรกันเองโดยที่สยามไม่ได้เข้าไปรับรู้อะไรด้วยเลย
การศึกษาบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างทางรถไฟในสยามและสภาพการเมืองในสมัยนั้นระบุว่าวัตถุประสงค์หลัก
(ที่ไม่ได้มีการกล่าวออกมาตรง
ๆ)
ของการสร้างทางรถไฟของสยามนั้นก็เพื่อความมั่นคงของประเทศ
โดยเฉพาะการลำเลียงทหารไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ลักษณะภูมิประเทศเปิดช่องให้ทางฝรั่งเศสยกกองทัพเข้ามาได้ง่าย
(เพียงแค่นั่งเรือข้ามลำน้ำโขงมา)
ในขณะที่การขนทหารจากภาคกลางทำได้ยากกว่า
(เพราะต้องผ่านดงพญาไฟ)
และขนาดรางที่สยามคิดจะสร้างก็คือ
metre
gauge (คงเป็นเพราะประหยัดค่าใช้จ่าย)
แต่มีการเปลี่ยนเป็น
standard
gauge
หลังจากที่ได้ให้วิศวกรชาวเยอรมันเข้ามาสำรวจเส้นทางและคาดการณ์ผลตอบแทนที่จะได้
ส่วนที่มีการเชื่อกันว่าเหตุผลที่สยามสร้างรางขนาด
standard
gauge นั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ชาติมหาอำนาจนั้น
(ที่สร้างทางในประเทศอาณานิคมข้าง
ๆ)
เข้ามาใช้ทางรถไฟของสยามได้ก็ไม่น่าจะใช่
เพราะในเวลานั้นเส้นทางรถไฟในประเทศเพื่อนบ้านนั้นยังมีอยู่จำกัดและยังอยู่ห่างไกลจากพรมแดนของสยาม
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าสยามมีปัญหาเรื่องการลงทุนสร้างทางรถไฟก็คือการที่สยามต้องกู้เงินจากอังกฤษเพื่อมาสร้างทางรถไฟสายใต้
(รางยิ่งกว้าง
ค่าใช้จ่ายในการสร้างก็สูงขึ้น)
ในขณะที่เริ่มมีการพิจารณาสร้างทางรถไฟสายใต้นั้นการก่อสร้างทางรถไฟสายเหนือและอีสานก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี
สิ่งที่สยามต้องแลกมาเพื่อให้ได้เงินกู้จากอังกฤษก็คือการที่ต้องยกการอ้างสิทธิในดินแดน
๔ รัฐตอนเหนือของมาเลเซียโดยให้อังกฤษมีสิทธิขาดในการปกครอง
และยังต้องให้บริษัทของอังกฤษเข้ามามีส่วนร่วมในการทำการก่อสร้างเส้นทางรถไฟอีก
การสร้างทางรถไฟสายใต้นั้นแตกต่างไปจากการสร้างทางสายอีสาน
กล่าวคือการสร้างทางรถไฟสายใต้นั้นมีการแยกสร้างเป็นส่วน
ๆ พร้อมกัน
กล่าวคือหลังจากที่เปิดเส้นทางกรุงเทพ-เพชรบุรีแล้ว
(โดยจุดเริ่มต้นของเส้นทางนั้นอยู่ที่สถานีรถไฟธนบุรีที่ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางกอกน้อยฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ปัจจุบันโรงพยาบาลศิริราชยึดพื้นที่บริเวณชานชาลาสถานีเดิมเอาไปสร้างเป็นอาคารแล้ว)
การสร้างเส้นทางส่วนขยายก็เริ่มจาก
๓ จุดด้วยกันคือเพชรบุรี
กันตัง และสงขลา
ทั้งนี้เพื่อให้ใช้เวลาก่อสร้างสั้นลง
ส่วนไหนเสร็จก่อนก็เปิดใช้ก่อน
(ดูแผนที่ในรูปที่
๑ และ ๒)
เดิมนั้นเส้นทางรถไฟสายใต้นี้แยกไปยังตัวเมืองสงขลาและมาเลเซียที่สถานี
"ชุมทางอู่ตะเภา"
(ก่อนย้ายมาเป็นหาดใหญ่ในปัจจุบัน)
รูปทื่
๑ แผนที่เส้นทางรถไฟสายใต้ช่วงต้น
ในส่วนที่เปิดให้ดำเนินการแล้ว
(จากกรุงเทพถึงเกาะหลัก)
และที่วางรางแล้ว
(แต่ยังไม่เปิดให้ดำเนินการ)
อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
และอยู่ระหว่างการสำรวจเส้นทาง
แผนที่นี้เป็นแผ่นพับแนบมากับหนังสือ
"Royal
Siamese State Railway Southern LIne 1917"
ที่จัดพิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์
White
Lotus ในปีค.ศ.
๒๐๑๖
(พ.ศ.
๒๕๕๙)
เสียดายที่ผมหาไม่เจอว่าแผนที่ฉบับนี้เป็นข้อมูลของปีใด
แต่ข้อมูลในหนังสือของ
Ichiro
Kakizaki ให้ไว้ว่าเส้นทางจากกรุงเทพถึงสงขลาเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ.
๑๙๑๖
และถึงพรมแดนมาเลเซียในปีค.ศ.
๑๙๒๑
รูปที่
๒ ส่วนต่อจากรูปที่ ๑
เส้นทางสายใต้นี้เส้นเชื่อมสงขลา
ตรัง และนครศรีธรรมราช
เปิดให้บริการก่อนเส้นทางเชื่อมเข้ากรุงเทพ
ส่วนเส้นทางสายใต้จากปัตตานีไปยังสุไหงโกลกนั้นอยู่ระหว่างการสำรวจ
รูปที่
๓ ตัวอาคารสถานีรถไฟธนบุรีเดิม
(ถ่ายเมื่อวันพฤหัสบดีที่
๔ เมษายน ๒๕๕๖)
ตอนเด็ก
ๆ
เวลาคุณพ่อคุณแม่พาไปเยี่ยมญาติทางใต้ก็มาขึ้นรถเร็วขบวนธนบุรี-สุไหงโกลกที่สถานีนี้
ยังจำได้ว่ารถออกตอนทุ่มเศษ
รูปที่
๔ ป้ายบอกสถานที่ตั้งโรงรถจักรธนบุรี
แต่ก่อนบริเวณนี้จะมีหัวรถจักรไอน้ำจอดทิ้งไว้
รูปที่
๕ มองย้อนไปยังสะพานอรุณอัมรินทร์
อาคารสีขาวทางมุมขวาบนคืออาคารของโรงพยาบาลศิริราชที่สร้างขึ้นบนที่ตั้งสถานีรถไฟเดิม
รูปที่
๖ จากตัวสถานีเดิมที่อยู่ริมแม่น้ำ
ปัจจุบันถูกย้ายออกมาเสียไกล
รูปที่
๗ จากสถานีใหญ่ พอถูกย้ายออกมาข้างนอก
ก็เหลือเพียงเท่านี้
แผนการเดิมนั้นมีทั้งการสร้างทางแยกจากชุมพรไปยังระนอง
(ที่ท้ายที่สุดกองทัพญี่ปปุ่นมาสร้างให้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่
๒ และก็รื้อทิ้งไปตอนถอยร่นจากพม่า
ด้วยเกรงว่าอังกฤษจะใช้เป็นทางลัดได้)
และจากพุนพินไปยังภูเก็ตด้วย
เส้นทางสายหลังนี้สร้างได้แค่คีรีรัฐนิคมก็ถูกยกเลิกแผนการไป
ก่อนที่จะมีการตัดถนนบรมราชชนนีนั้น
เส้นทางหลักที่ชาวสวนผู้หาเลี้ยงชีพอยู่ริมทางรถไฟสายใต้ย่านตลิ่งชันและพุทธมณฑลจะเข้าถึงกลางกรุงเทพได้อย่างรวดเร็วก็ด้วยการโดยสายรถไฟมายังสถานีรถไฟธนบุรี
(ถ้าเป็นเส้นทางถนนก็ต้องใช้ถนนพุทธมณฑลสายต่าง
ๆ ไปออกยังถนนเพชรเกษมก่อน)
ตอนเด็ก
ๆ
ยังจำได้ว่าผู้ใหญ่เล่าว่ารถขบวนเช้ามืดที่มาถึงสถานีรถไฟธนบุรีจะเต็มไปด้วยชาวสวนชาวไร่ที่นำผลิตผลทางการเกษตรที่ปลูกได้นั้น
ขนขึ้นรถไฟมา
พอลงรถก็วางขายกันที่ตามชานชาลาที่รถไฟจอด
ช่วงเวลานี้สินค้าจะมีราคาถูกที่สุด
และเป็นช่วงเวลาที่จะมีคนกลางมารับซื้อต่อเพื่อนำไปขายเอากำไรอีกทอดหนึ่ง
สถานีรถไฟในช่วงเวลานั้นถ้าจะเข้าไปในเขตชานชาลาสถานีก็ต้องตีตั๋วชานชาลาเข้าไปด้วย
แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่ายกเลิกไปตั้งแต่เมื่อใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น