ทิ้งไปเกือบเดือนกว่าจะมีเวลาเอาโน๊ตเพลงเก่า
ๆ ที่ได้มาสมัยเรียน ป.๕
หรือเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมาเขียนบันทึกไว้ใหม่
คราวนี้ก็ยังคงเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เช่นเดียวกันกับคราวที่แล้ว
เพียงแต่ว่าใช้โปรแกรม
Musescore
เวอร์ชันใหม่
2.0.2
มาเขียนโน๊ต
โดยคราวนี้ได้เลือกเพลง
"ความฝันอันสูงสุด"
และ
"ยามเย็น"
มาเขียนบันทึกใหม่
เกี่ยวกับเพลง
"ความฝันอันสูงสุด"
นั้น
เว็บ https://th.wikipedia.org/wiki/ความฝันอันสูงสุด
ให้รายละเอียดเอาไว้ว่า
(ข้อมูล
ณ วันพุธที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘)
เพลงพระราชนิพนธ์
ความฝันอันสูงสุด
เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่
43
ทรงพระราชนิพนธ์ใน
พ.ศ.
2514
เมื่อ
พ.ศ.
2512 ท่านผู้หญิงมณีรัตน์
บุนนาค ได้รับพระราชเสาวนีย์จาก
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ให้เขียนบทกลอนแสดงความนิยมส่งเสริมคนดีให้มีกำลังใจทำงานเพื่ออุดมคติเพื่อประเทศชาติ
ออกมาเป็นกลอน 5
บท
สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถโปรดให้พิมพ์บทกลอนนี้ลงในกระดาษการ์ดแผ่นเล็ก
ๆ พระราชทานแก่ข้าราชการ
ทหาร ตำรวจ พลเรือน
และผู้ทำงานเพื่อประเทศชาติ
เตือนสติมิให้ท้อถอยในการทำความดี
ต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอให้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงใส่ทำนองเพลงในคำกลอน
"ความฝันอันสูงสุด"
ใน
พ.ศ.
2514 ขับร้องโดย
ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค
ในขณะที่เพลงพระราชนิพนธ์ยามเย็น
เว็บ https://th.wikipedia.org/wiki/ยามเย็น
(ข้อมูล
ณ วันพุธที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘)
ให้รายละเอียดเอาไว้ว่าเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่นำออกบรรเลงสู่ประชาชนเมื่อวันเสาร์ที่
๔ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๔๘๙
(ก่อนขึ้นครองราชย์)
ดังนั้นถ้านับอายุเพลงนี้จนถึงปัจจุบันก็ปาเข้าไป
๖๙ ปีแล้ว
ท้ายสุดนี้
Memoir
ฉบับนี้ก็คงต้องขอจบเอาแบบดื้อ
ๆ ด้วยเนื้อเพลง "ความฝันอันสูงสุด"
ก็แล้วกันครับ
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรม์อันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น