"นิสิตในภาควิชานี้ควรจะต้องเรียนรู้วิชาอะไรบ้างนั้น
มันต้องเป็นมติของภาค
ไม่ใช่อาจารย์เพียงคนใดคนหนึ่งยืนกรานว่าฉันจะสอนวิชานี้
ดังนั้นนิสิตต้องเรียนวิชานี้
อาจารย์แต่ละท่านเองก็มีนิสิตทำวิจัยกันในระดับโท-เอกกันอยู่
แล้ววิชาเหล่านี้จำเป็นหรือไม่
ก็ขอให้แต่ละท่านพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน"
นั่นเป็นความเห็นของผม
เมื่อมีผู้ถามความเห็นของผมในที่ประชุมช่วงบ่ายระหว่างการสัมมนาภาควิชาที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่หัวหินเมื่อหลายปีที่แล้ว
ในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในอาจารย์ผู้สอนวิชาเคมีวิเคราะห์
(๒
หน่วยกิตบรรยาย ๑ หน่วยกิตปฏิบัติการ)
และเคมีอินทรีย์
(๓
หน่วยกิตบรรยาย ๑ หน่วยกิตปฏิบัติการ)
ว่าสองวิชานี้นิสิตของภาควิชาเราควรยังต้องเรียนหรือไม่
เนื้อหาหลักสูตรของภาควิชาเรานั้นไม่ได้เขียนขึ้นอย่างไม่มีข้อกำหนด
เราต้องเขียนตามข้อกำหนดของสภาวิศวกรซึ่งเป็นผู้กำหนดว่าต้องเรียนรู้วิชาใดบ้าง
เมื่อจบไปแล้วจึงจะไปขอใบประกอบวิชาชีพในสาขาวิชานั้นได้ได้
(ที่เราเรียกว่าใบ
กว.)
จากนั้นจึงนำเอาข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา
(ที่เรียกกันย่อ
ๆ ว่า สกอ.)
มาพิจารณาต่อว่า
เพื่อให้หลักสูตรได้รับการรับรอง
หลักสูตรนั้นต้องประกอบด้วยวิชาอะไรบ้างเพิ่มเติมนอกเหนือจากวิชาชีพเฉพาะทาง
ถัดจากนั้นก็ต้องมีดูข้อบังคับของมหาวิทยาลัยต่ออีกว่าทางมหาวิทยาลัยต้องการให้บัณฑิตผู้จบจากมหาวิทยาลัยนี้แตกต่างไปจากบัณฑิตผู้จบจากสถาบันการศึกษาอื่นอย่างไร
ปิดท้ายด้วยข้อกำหนดของทางคณะที่ต้องการให้ผู้ที่จบสาขาวิชาชีพนี้จากคณะนี้
แตกต่างไปจากผู้ที่จบจากสาขาวิชาชีพเดียวกันจากคณะอื่นอย่างไร
สุดท้ายก็เหลือที่ว่างเพียงนิดเดียว
สำหรับให้ทางภาควิชาออกแบบว่าต้องการให้บัณฑิตผู้ที่จบจากสาขาวิชาเฉพาะทางของภาควิชานี้แตกต่างจากผู้ที่จบจากสาขาวิชาเฉพาะทางจากภาควิชาเดียวกันในคณะอื่นอย่างไร
ผลที่ตามมาก็คือ
ด้วยจำนวนหน่วยกิตสูงสุดของหลักสูตรที่ถูกกำหนดไว้
ก็ต้องมาทำการพิจารณาว่าวิชาพื้นฐานในหลักสูตรเดิมนั้น
จะมีตัวใดหลงเหลืออยู่บ้าง
"มันไม่ใช่วิชาในสาขาวิชาชีพของเรา เขียนตำราไปก็เอาไปขอความก้าวหน้าในวิชาชีพไม่ได้"
"เอาเวลาไปสอนวิชาความรู้ใหม่
ๆ ที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ดีกว่า"
"มันไม่ใช่วิชาวิศวะ"
"วิชาอื่นของภาคไม่ต้องการวิชาเหล่านี้เป็นพื้นฐาน"
ฯลฯ
นั่นเป็นส่วนหนึ่งของคำกล่าวที่มีการกล่าวทั้งในที่ประชุมและการคุยกันนอกรอบที่ผมได้รับฟังมากับตัวเอง
ก่อนที่จะมีการลงมติกันในเช้าวันรุ่งขึ้น
(ซึ่งผมไม่ได้อยู่ในที่ประชุมในระหว่างการลงมติ
เพราะเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย)
ซึ่งผลที่ออกมาก็คือให้ตัดสองวิชานั้นทิ้งเสีย
(ดูเหมือนจะไม่มีเสียงคัดค้าน)
และเปิดเป็นวิชาใหม่ทดแทน
๑ วิชาบรรยาย (๓
หน่วยกิต)
๑
วิชาปฏิบัติการ (๑
หน่วยกิต)
โดยเอาเนื้อหาของวิชาทั้งสองที่ถูกปิดไปนั้นมารวมกัน
ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร
เพราะถือว่าได้โบนัสก็ได้
ตัดสองวิชานั้นออกไปผมก็สอนหนังสือน้อยลง
13-15
ชั่วโมงต่อสัปดาห์
แต่ยังได้เงินเดือนเท่าเดิม
ส่วนวิชาที่เปิดใหม่นั้น
ในฐานะมันเป็นวิชาเปิดใหม่ก็ต้องถือว่าอาจารย์คนใดก็ได้ในภาคก็มีสิทธิที่จะมาสอนวิชานั้น
ไม่ได้ผูกขาดให้เฉพาะคนที่สอนวิชาที่ถูกปิดไป
"ผมถามก็ไม่เห็นอาจารย์บอกอะไรเลย"
นิสิตผู้หนึ่งกล่าวกับผมเมื่อเขาถามคำถามผม
แล้วผมก็ตอบเขาไปว่าถ้าอยากรู้ก็ลองทำการทดลองดูซิ
"ก็นี่เป็นวิชาปฏิบัติการ
เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ
ไม่ใช่ด้วยการถามคำถามให้คนอื่นตอบ
อยากรู้ก็ลงมือทำการทดลองดู"
ผมตอบเขาไปอย่างนั้น
"ถ้าสิ่งที่จะให้คุณทดลองทำนั้นมันไม่เกิดอันตรายใด
ๆ ผมก็จะปล่อยให้คุณลองทำไป
แต่ถ้าผมเห็นว่ามันจะเกิดอันตรายได้
ผมก็จะห้ามเอง"
ผมบอกต่อ
แต่ก่อนเราจะบ่นกันว่านักเรียนไทยไม่ค่อยกล้าถามคำถาม
แต่พักหลังนี้ดูเหมือนจะกลับกัน
คือถามมากเกินไปโดยไม่พยายามคิดหาคำตอบเองก่อน
แลปเคมีวิเคราะห์เราเริ่มด้วยการทำแลป
gravimetric
analysis ด้วยการตกตะกอนคลอไรด์ด้วยสารละลาย
AgNO3
และตกตะกอนซัลเฟตด้วยสารละลาย
BaCl2
(แลปที่อยู่กันนานที่สุด
section
เย็นเลิกแลปกันสามทุ่ม)
แลปต่อมาก็เป็นการทดลอง
precipitation
titration หาปริมาณคลอไรด์ด้วยการไทเทรตกับสารละลายมาตรฐาน
AgNO3
มีอยู่ปีหนึ่ง
สองสัปดาห์หลังจากนิสิตทำแลป
precipitation
titraion เสร็จ
(ให้เวลาทำรายงานส่ง
๑ สัปดาห์)
ผมก็บอกกับนิสิตในแลปว่า
ผลการวิเคราะห์ที่พวกคุณส่งมานั้น
"ผิดทุกกลุ่ม"
(ทั้งหมด
๑๘ กลุ่ม)
เรื่องทั้งเรื่องก็คือตอนทำแลป
gravimetric
analysis นั้น
ผมใช้ตัวอย่างน้ำปลาเป็นสารละลายหาปริมาณคลอไรด์
แต่ตอนทำแลป precipitation
titration นั้น
ผมใช้สารละลายไอโอไดด์เป็นตัวอย่าง
ซึ่งทั้งคลอไรด์และไอโอไดด์นั้นตกตะกอนด้วย
AgNO3
ได้ทั้งคู่
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือเกลือ
AgCl
มีสีขาว
แต่เกลือ AgI
มันมีสีเหลืองสว่าง
ในระหว่างที่นิสิตทำแลป
precipitation
titration
นั้นผมก็รอดูอยู่ว่าจะมีใครถามผมไหมว่าทำไมตะกอนที่ได้มันจึงมีสีเหลือง
แต่ก็ไม่มีใครถาม
ทำให้ผมสงสัยว่าตอนตกตะกอน
AgCl
นั้นก็คงไม่มีใครสังเกตว่าตะกอน
AgCl
ที่ได้มีสีอะไร
ดูแต่ว่ามีตะกอนเกิดขึ้น
เพราะในคู่มือการทำแลปไม่ได้บอกว่าให้ดูสีตะกอนด้วย
ก็เลยไม่มีใครดูกันเลยสักราย
เรียกว่าทำตามที่คู่มือระบุเอาไว้ทุกประการ
เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว
นิสิตภาควิชาเรากลุ่มหนึ่งไปฝึกงานที่โรงงานแถว
อ.
บ้านค่าย
จ.
ระยอง
(ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นโรงงานอะไร)
งานที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาคือน้ำเสียของโรงงานมี
"สีเหลือง"
ปนเปื้อน
และโรงงานต้องการทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด
อันที่จริงผมก็ไม่ได้เป็นคนดูแลการฝึกงานของเขาหรอก
เพียงแต่พอเขาเอาปัญหานี้ไปปรึกษาอาจารย์ผู้ดูแล
ก็ได้คำตอบกลับมาสั้น ๆ ว่า
"ผมไม่ถนัด"
ให้ไปลองถามคนอื่นดู
ในโครงการฝึกงานที่นิสิตผู้นั้นไปฝึกงานนั้น
(ผมไม่ได้อยู่ในโครงการนี้)
อาจารย์ผู้ดูแลนิสิตฝึกงานจะต้องเป็นผู้ให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาให้กับนิสิตที่ตัวเองดูแลอยู่
เพราะอาจารย์ผู้ดูแลได้รับค่าตอบแทนด้วย
แต่พอนิสิตเจอคำตอบอย่างนี้เข้านิสิตกลุ่มนี้ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
ก็เลยแวะหาโอกาสเข้ามาถามผม
คำแนะนำอยากแรกที่ผมให้เขาไปก็คือ
ให้ตั้งคำถามพื้น ๆ ขึ้นมาก่อนว่า
"สารเคมีที่มีโครงสร้างแบบใดบ้างที่ทำให้เกิดสีได้"
จากนั้นจึงค่อยไปควานหาในระบบว่ามันมีโอกาสที่สารเคมีชนิดนั้นรั่วไหลลงสู่ระบบน้ำทิ้งได้หรือไม่
ในช่วงปีใกล้เคียงกัน
นิสิตของภาควิชาอีกกลุ่มหนึ่งไปฝึกงานที่โรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งที่ศรีราชา
โจทย์ที่เขาได้รับมาจากโรงกลั่นก็คือ
"น้ำมันเตาที่ส่งไปให้นั้นมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ"
โดยไม่มีคำอธิบายอื่นเพิ่มเติม
ทางโรงกลั่นจึงได้มอบหมายให้นิสิตฝึกงานหาวิธีการผสมน้ำมันเตาที่อยู่ในถังเก็บ
เพื่อที่จะให้น้ำมันมีความ
"สม่ำเสมอ"
ก่อนที่จะส่งให้ลูกค้า
แต่ปัญหาก็คืออะไรที่มัน
"ไม่สม่ำเสมอ"
ตรงนี้ต้องใช้ความเข้าใจเรื่อง
เวลาใช้งานน้ำมันเตานั้น
เขานำไปใช้งานอย่างไร
"อาจารย์ตอบเหมือนที่โปรเฟสเซอร์ต่างประเทศตอบเลย"
นิสิตป.เอก
ที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ของเขาบอกกับผม
หัวข้องานวิจัยของเขานั้นเป็นโครงการเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือหาทางเติมไฮโดรเจนเข้าไปในโมเลกุลสารชนิดหนึ่ง
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือจากสารตั้งต้นเดิมที่มีสีขาว
กลายเป็นสารที่มีสีขึ้นมา
และประเด็นการเกิดสีนี้เป็นคำถามที่กรรมการสอบท่านหนึ่งถามในห้องสอบว่าเกิดจากอะไร
ซึ่งเขาตอบไม่ได้
อาจารย์ที่ปรึกษาของเขา
(ผู้มีรางวัลวิจัยและทุนวิจัยมากมาย)
ก็ตอบไม่ได้
ได้แต่บอกว่าให้เขาไปหา
"paper"
มาอธิบาย
แต่โปรเฟสเซอร์จากต่างประเทศที่มาสอบด้วยในฐานะที่ปรึกษาร่วมกลับตอบว่าไม่ต้อง
พร้อมกับอธิบายว่าสารนั้นเกิดสีได้อย่างไรด้วยการใช้ความรู้จากตำราเคมีอินทรีย์
หลังจากที่เขาสอบเสร็จเขาก็เลยเอาคำถามนั้นมาถามผม
คงเป็นเพราะเห็นว่าผมเคยสอนเคมีอินทรีย์
(แต่ผมไม่เคยสอนเรื่องการเกิดสีของสารอินทรีย์นะ)
แล้วก็พบว่าได้คำตอบเดียวกัน
คำอธิบายเรื่องนี้มันอยู่ในเรื่อง
Chromophore
และ
Auxochrome
"ประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิชาท่องจำ
แต่เป็นวิชาที่ต้องใช้ความเข้าใจ"
นั่นเป็นประโยคที่ครูสอนวิชาสังคมศาสตร์ผมตอนเรียนมัธยมปลายกล่าวไว้
ซึ่งกว่าผมจะเข้าใจความหมายของประโยคดังกล่าว
ก็ตอนไปเรียนปริญญาเอกอยู่ต่างประเทศ
ภูมิประเทศเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการดำรงชีวิตของมนุษย์
มนุษย์จะไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ที่ทำให้ตนเองไม่สามารถอยู่ในภูมิประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่
และพฤติกรรมของมนุษย์ก็นำไปสู่เหตุการณ์ต่าง
ๆ ทางประวัติศาสตร์
รวมทั้งการพัฒนาการทางวิทยาศาตร์ด้วย
ตัวผมเอง
ความเข้าใจวิชาเคมีอินทรีย์กับการคำนวณเชิงตัวเลข
ก็ได้มาจากการศึกษาประวัติศาตร์การพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์
การพัฒนาแนวความคิดด้านโครงสร้างอะตอม
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
และเครื่องคอมพิวเตอร์
จึงทำให้เห็นพัฒนาการทางความคิดของทฤษฎีต่าง
ๆ ที่ใช้กัน
ภาควิชาของเรานั้นเดิมเป็นสาขาวิชาอุตสาหการเคมี
สังกัดอยู่ในภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ
ตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๐๐
หนังสือเคมีอินทรีย์เล่มหนึ่งที่ผมได้รับจากอาจารย์ผู้สอนวิชานี้ให้แก่ผมก่อนที่ท่านจะเกษียณอายุราชการไป
หน้าแรกมีตราประทับว่า
"แผนกตำราเรียนวิศวกรรมศาสตร์"
และบรรทัดต่อมาข้างล่างมีลายมือเขียนว่า
"หมายเหตุ
เป็นของอาจารย์ผู้สอนวิชานี้
๑๑ มีนาคม ๒๕๐๙ สุวัฒนา
ทรัพย์เสริมศรี"
นับถึงวันนี้ก็
๔๘ ปีแล้ว
ท่านอาจารย์สุวัฒนา
ผู้เป็นอาจารย์สอนวิชานี้ตั้งแต่เริ่มตั้งภาค
(ผมเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น)
จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ
ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว
แต่ก่อนเกษียณท่านได้มอบหนังสือที่ท่านใช้สอนนั้นให้กับผมเพื่อใช้สอนนิสิตรุ่นต่อไป
วิชาเคมีวิเคราะห์และเคมีอินทรีย์ของภาควิชา
มีการเรียนการสอนครั้งสุดท้ายในปีการศึกษา
๒๕๕๔ ซึ่งผู้เรียนก็คือนิสิตรหัส
๕๓
และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายในชีวิตการเรียนระดับปริญญาตรีของนิสิตรหัส
๕๓ ที่เป็นนิสิตรุ่นสุดท้ายของภาควิชาที่ได้เรียนวิชาดังกล่าว
ซึ่งอาจถือได้ว่าวันนี้เป็นการปิดฉากการเรียนการสอนวิชาเคมีวิเคราะห์และเคมีอินทรีย์ของภาควิชานี้อย่างสมบูรณ์
"ไผ่" จัดได้ว่าเป็นพืชที่เรายังไม่เข้าใจมันดี ที่ขายกันอยู่ก็มักจะได้มาจากการขุดหน่อที่แตกแยกออกมาจากกอ แต่จะว่าไปแล้วต้นไผ่นั้นเติมโตได้จาก "เมล็ด" ที่จะเกิดหลังจากที่ไผ่ออก "ดอก"
แต่นานเท่าใดไผ่จึงจะออกดอก
นั่นคือคำถามที่ทางวิชาการยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด
ไผ่แต่ละพันธุ์นั้นใช้เวลาออกดอกนานไม่เท่ากัน
ว่ากันว่าส่วนใหญ่อยู่ประมาณ
๒๐-๖๐
ปี โดยเริ่มนับจากการงอกจากเมล็ด
หลังน้ำท่วมบ้านปี
๕๔ ไผ่ที่ซื้อมาลงปลูกเอาไว้ก่อนน้ำท่วมไม่นานจมน้ำตายไปเสีย
๒ กอ ก็เลยต้องไปซื้อมาปลูกใหม่
การซื้อไผ่ที่ได้มาจากการแยกกอนั่นมีข้อเสียตรงที่เราไม่ทราบว่าไผ่ที่ได้มานั้นมีอายุเท่าใดแล้ว
สองต้นที่ซื้อเอามาปลูกใหม่นั้นมันใช้เวลาพักตัวอยู่ประมาณ
๓-๔
เดือนกว่าจะเริ่มแตกหน่อใหม่
และก็กลายเป็นกอใหญ่ในเวลาเพียงแค่ไม่ถึงสองปี
และเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง
ที่กอไผ่ทั้งสองกอออกดอกให้เห็น
เขาว่ากันว่าเมื่อใดที่ไผ่ออกดอก
และเมื่อดอกร่วงหล่นปล่อยให้เมล็ดโปรยปรายออกไป
ต้นไผ่ก็จะตาย
การตายของต้นไผ่นี้ไม่ใช่การตายจาก
แต่เป็นการตายเพื่อให้ต้นไผ่ต้นใหม่งอกงามขึ้นมา
และเริ่มนับอายุใหม่
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเรียนของนิสิตป.ตรีรหัส
๕๓ ของภาควิชา เป็นรุ่นสุดท้ายของหลักสูตรเดิม
ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรแบบขนานใหญ่
เรียกว่าในรอบ ๓๐ ปีก็ได้
เพราะเนื้อหาหลักสูตรที่เรียนกันนั้นก็แทบไม่แตกต่างไปจากที่ผมได้เรียนเมื่อเกือบ
๓๐ ปีที่แล้ว และในการนำเสนอผลงานในวันนี้
ผมคิดว่าส่วนหนึ่งของพวกเขาคงได้รู้คำตอบแล้วว่า
วิชาเคมีอินทรีย์และเคมีวิเคราะห์จำเป็นหรือไม่สำหรับการทำงานของพวกเขา
เขาคงได้เห็นแล้วว่างานของเขาเอง
หรือของเพื่อนฝูงของเขา
จำเป็นต้องใช้ความรู้จากสองวิชานี้ด้วยหรือไม่
และนับว่านิสิตรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ได้ผ่านเหตุการณ์หลายอย่างระหว่างการเรียนในมหาวิทยาลัย
ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเรียนในปีการศึกษา
๒๕๕๓
ก็ต้องมาลุ้นกันว่าเหตุการณ์รอบมหาวิทยาลัยนั้นมีความปลอดภัยหรือยัง
เพราะมันเป็นครั้งแรกที่มีการใช้อาวุธสงครามปะทะกันในบริเวณใกล้เคียงมหาวิทยาลัยก่อนเปิดเทอมเพียงไม่กี่วัน
แม้แต่งานแรกพบ รับน้องใหม่
ก็ยังได้รับผลกระทบ
ปีการศึกษา
๒๕๕๔ เรียนได้แค่เทอมเดียว
(แถมมีการให้เพื่อนจากภาควิชาอื่นมาทำแลปแทนด้วย)
ก็ได้หยุดเทอมยาวเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่
ก่อนจะไปปิดเทอมปลายกันก่อนสงกรานต์
แล้วก็ได้รู้ว่าการต้องมานั่งเรียนหนังสือกันในเดือนเมษายนนั้นมันเป็นอย่างไร
ผมมักจะบอกกับนิสิตที่เข้าเรียนวิชาที่ผมสอนในครั้งแรกที่ผมเข้าสอน
อยู่เสมอว่า
"ถึงเวลาเรียนก็ให้เข้าห้องเรียนได้เลย
ไม่ต้องมาเกี่ยงกันว่าต้องให้อาจารย์เข้าห้องก่อน
หรือต้องรอให้อาจารย์มาถึงห้องเรียนก่อน
ประเภทที่อ้างว่าเข้าเรียนสายเพราะอาจารย์มาสอนสาย
อาจารย์ก็จะอ้างแบบเดียวกันว่าเข้าสอนสายเพราะนิสิตเข้าเรียนสาย
แบบนี้เขาเรียกว่าเป็นคนไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี
อาจารย์ที่เข้าสอนสายต้องถือว่าเป็นความผิดอาจารย์
เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี
ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
นิสิตที่พบกับอาจารย์ที่เข้าสอนสายเป็นประจำ
ควรที่จะทำการร้องเรียนถึงพฤติกรรมของอาจารย์ที่ทำให้พวกคุณเสียประโยชน์
เพราะเขามักเลิกสอนช้า
ทำให้พวกคุณไปเข้าเรียนวิชาอื่นไม่ทันอีก
ไม่ใช่เอาเป็นแบบอย่าง"
"และผมถือว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดของคนที่มาตรงเวลาต้องมานั่งรอคนที่มาสาย
ถ้าถึงเวลาแล้วถึงมีคนในห้องเพียงคนเดียว
ผมก็ต้องสอน ไม่ใช่ไปให้ความสำคัญกับคนที่มาสาย
ขืนทำเช่นนั้นคนเหล่านั้นจะได้ใจใหญ่"
"ในส่วนของแลปนั้นแตกต่างออกไป
เพราะมันมีกติกาข้อห้ามที่ต้องแจ้งให้ทราบก่อนที่จะให้เริ่มทำการทดลอง
ดังนั้นถ้าใครมาสายก็ต้องรอ
เพราะถ้าเขาไม่รับทราบข้อห้ามและเกิดทำผิดพลาดขึ้น
ความเดือดร้อนมันไม่ได้จำกัดอยู่ที่เขาเพียงคนเดียว
แต่มันจะกระทบไปถึงคนอื่นที่อยู่รอบข้างด้วย
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเรียนแลป
ก็ขอให้เข้าให้ตรงเวลาด้วย"
ปีการศึกษา
๒๕๕๕ ได้มาทำหน้าที่จัดงานจุฬาวิชาการ
และได้เห็นว่าผู้สมัครเข้าร่วมทำกิจกรรมนั้น
กระทำไปเพื่ออะไร
ระหว่างกิจกรรมที่มีการแจกเสื้อฟรีให้กับผู้เข้าร่วมจัด
กิจกรรมที่มีการเสนอหน้าเสนอตา
กับกิจกรรมที่ไม่มีการแจกเสื้อฟรีให้กับผู้เข้าร่วมจัด
กิจกรรมที่มาตั้งอยู่ในซอกหลืบ
และได้เห็นว่ากิจกรรมอันไหนที่มีผู้คนสนใจเข้าเยี่ยมชมมากกว่ากัน
:)
นอกจากนี้ยังมีการปิดงานก่อนกำหนดอย่างกระทันหัน
เพื่อให้ผู้นำของประเทศมหาอำนาจมาจัดประชุมลูกน้องของเขาในมหาวิทยาลัยของเรา
ปิดท้ายด้วยปีการศึกษา
๒๕๕๖
ที่ได้เห็นเพื่อนฝูงแตกคอกันมากที่สุดด้วยความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางการเมือง
การแสดงความคิดเห็นที่อิงอยู่บน
ความเชื่อ อคติ
ข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ตรวจสอบย้อนหลังได้
โดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงทั้งทางกฎหมายและประวัติศาสตร์
และบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัยของเรากลายเป็นที่ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล
และยังเป็นรุ่นสุดท้ายที่สำเร็จการศึกษาด้วยตารางเวลาเรียนเดิมเหมือนดังเช่นประเทศอื่นที่พัฒนาแล้วเขาจัดให้นักเรียนของเขาได้เรียน
คือจัดการเรียนการสอนกันตามฤดูกาล
และหยุดเรียนกันในช่วงฤดูร้อน
รุ่นนี้ยังอาจเป็นรุ่นเดียวที่ไม่ได้รับปริญญาในหอประชุมใหญ่นับตั้งแต่มหาวิทยาลัยของเขามีหอประชุมใหญ่
แต่กลับต้องไปรับกันที่อาคารสนามกีฬาในร่มแทน
และอาจมีบางคนที่คงจะไม่มาร่วมงานดังกล่าว
เนื่องด้วยความคิดเห็นทางการเมืองของเขา
แต่สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ
"การชนะผู้อื่นในการโต้เถียงนั้น
มันเทียบไม่ได้กับการทำให้เขาเปลี่ยนความคิดเห็นของเขาให้มาคล้อยตามกับเราได้"
สมัยผมเรียน
ผมได้รับการอบรมว่าบัณฑิตของมหาวิทยาลัยของเรานั้น
เมื่อจบการศึกษาไปแล้วต้องสามารถเป็นผู้
"ชี้นำ"
สังคมได้
นั่นหมายถึงการที่สามารถจะบ่งบอกได้ว่าสังคมควรเดินไปในทางทิศทางใดที่
"ถูกต้อง"
โดยอิงจากพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรมของเรา
ไม่ใช่การเดินตาม "กระแส"
ที่คนอื่นกำหนดหรือมัวแต่กังวลว่าจะตามคนอื่นไม่ทัน
จะทำได้ไม่เหมือนคนอื่น
คือทำเหมือนกับคนที่ต้องให้คนอื่นเขาจูงจมูกให้เดินตามอยู่เสมอ
สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ก็คือคำว่า
"วางตัวเป็นกลาง"
นั้นไม่ได้หมายความว่า
"ไม่เข้าข้างฝ่ายใด"
แต่หมายถึงการ
"วางความคิดให้เป็นกลาง"
คือไม่มีอคติ
ลำเลียง กล่าวคือให้มี "สติ"
ก่อน
จากนั้นจึงใช้ "ปัญญา"
ไตร่ตรอง
พิจารณาเหตุผลและข้อโต้แย้งต่าง
ๆ แล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะเลือกข้างฝ่ายใด
หรือไม่ควรเลือกข้างทั้งสองฝ่าย
อย่ากลายเป็นคนที่ไปเที่ยวบอกคนอื่นให้
"วางตัวเป็นกลาง"
เพราะว่าเขา
"ไม่ได้มาอยู่ฝั่งเดียวกับเรา"
และไม่สามารถหาเหตุผลไปหักล้างเหตุผลของอีกฝ่ายได้
สิ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ
จังหวัดชลบุรี 11
ธันวาคม
2512
ความว่า
"ในบ้านเมืองนั้น
มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข
เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี
ให้คนดีปกครองบ้านเมือง
และคุมคนไม่ดี
ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"
ขอปิดท้ายด้วยรูปที่หวังว่าแม้ว่าพวกคุณจะจบไปแล้ว
พวกคุณคงจะยังระลึกถึงอยู่บ้างว่า
ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตพวกคุณ
พวกคุณได้มารบกับคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวนี้
ขอให้โชคดีและมีความสุขในชีวิตทุกคน
สวัสดี
(ดาวน์โหลดฉบับ pdf ได้ที่นี่)
(ดาวน์โหลดฉบับ pdf ได้ที่นี่)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น