ในตำราเคมีอินทรีย์
ในบทสารประกอบแอลกอฮอล์
จะมีการกล่าวถึงการเปลี่ยนหมู่ไฮดรอกซิล
(hydroxyl
-OH) ไปเป็นหมู่เฮไลด์
(halide
-X) ด้วยการทำปฏิกิริยากับสารประกอบ
HX
และในทางกลับกันในบทสารประกอบเฮไลด์
ก็จะมีการการถึงการเปลี่ยนหมู่เฮไลด์ไปเป็นหมู่ไฮดรอกซิล
ด้วยการทำปฏิกิริยากับน้ำ
H-OH
(รูปที่
๑)
รูปที่
๑ เราสามารถที่จะเปลี่ยนหมู่
-OH
ให้กลายเป็นฮาโลเจน
-X
(เมื่อ
X
คือ
Cl,
Br และ
I)
และในทางกลับกันเราก็สามารถที่จะแทนที่หมู่เฮไลด์ด้วยหมู่
-OH
แต่ถ้าเราเอาแอลกอฮอล์มาทำปฏิกิริยากับ
RX
ในสภาวะที่มีเบสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
อะตอม X
จะไม่เข้าไปแทนหมู่
-OH
แต่อะตอม
H
ของหมู่
-OH
จะหลุดออกมา
และหมู่ R
จะเข้าไปแทนที่อะตอม
H
ได้สารประกอบอีเทอร์
(R1-O-R2)
ปฏิกิริยานี้คือปฏิกิริยาที่มีชื่อว่า
Williamson
ether synthesis (รูปที่
๒)
รูปที่
๒ ปฏิกิริยา Williamson
ether synthesis เป็นปฏิกิริยาที่ใช้ในการสังเคราะห์สารประกอบอีเทอร์
ปฏิกิริยานี้เหมาะสำหรับการสังเคราะห์อีเทอร์ที่หมู่ด้านซ้ายและขวาของอะตอมออกซิเจนนั้นไม่เหมือนกัน
ฮาโลไฮดริน
(halohydrin)
คือสารประกอบที่ประกอบด้วยหมู่ไฮดรอกซิล
(-OH)
และอะตอมฮาโลเจน
(-X)
โดยที่หมู่ไฮดรอกซิลและอะตอมฮาโลเจนนั้นเกาะอยู่ที่อะตอม
C
ที่อยู่เคียงข้างกัน
(รูปที่
๓)
ถ้าอะตอม
X
คือ
Cl
ก็จะเรียกฮาโลไฮดรินนั้นว่าคลอโรไฮดริน
(chlorohydrin)
และในทำนองเดียวกันถ้า
X
คือ
Br
ก็จะเรียกว่าโบรโมไฮดริน
(bromohydrin)
อีพิคลอโรไฮดริน
(epichlorohydrin)
แม้ชื่อจะมีคำว่าคลอโรไฮดรินอยู่
แต่มันก็ไม่ใช่สารประกอบฮาโลไฮดริน
ทั้งนี้เพราะอะตอม C
ที่อยู่เคียงข้างอะตอม
C
ที่มีอะตอม
C
เกาะนั้น
ไม่ได้มีหมู่ -OH
เกาะอยู่
แต่เป็นวงอีพอกไซด์ (epoxide)
หรือโครงสร้างอีเทอร์ที่เป็นวงสามเหลี่ยม
อีพิคลอโรไฮดรินนี้จะมีอะตอม
C
ที่เป็น
chiral
centre (คืออะตอม
C
ที่มีหมู่มาเกาะ
4
หมู่ไม่ซ้ำกันเลย)
อยู่
1
อะตอม
(ตรงลูกศรสีแดงชี้ในรูปที่
๓)
เส้นทางเดิมในการเตรียมสารประกอบตัวนี้เริ่มจากการสังเคราะห์อัลลิลคลอไรด์
(ally
chloride - H2C=CH-CH2-Cl)
จากปฏิกิริยาระหว่างโพรพิลีนกับคลอรีน
จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนอัลคิลคลอไรด์เป็นอีพิคลอโรไฮดรินอีกที
รูปที่
๓ สารประกอบฮาโลไฮดรินและอีพิคลอโรไฮดริน
การใช้งานหลักแต่เดิมของอีพิคลอโรไฮดรินคือการนำไปสังเคราะห์อีพอกซีเรซิน
(epoxy
resin) ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงเป็นการใช้งานหลักอยู่
อีกการใช้งานหนึ่งได้แก่การนำไปสังเคราะห์เป็นกลีเซอรอล
(glycerol
หรือ
glycerine
หรือ
glycerin
- H2(HO)C-CH(OH)-C(OH)H2)
เดิมนั้น
แหล่งที่มาหลักของกลีเซลรอลจากธรรมชาติจะได้จากกระบวนการผลิตสบู่
แต่เมื่อการผลิตไบโอดีเซล
(ที่เป็นสารประกอบเมทิลเอสเทอร์ของกรดไขมันกับเมทานอล)
จากน้ำมันพืชมีเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
ทำให้มีกลีเซอรอลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตไบโอดีเซลจำนวนมาก
แต่กลีเซอรอลตัวนี้ก็มีปัญหาในการนำไปใช้งานหน่อยตรงที่มีสิ่งปนเปื้อนมาก
(เรียกว่าไม่ค่อยคุ้มถ้าจะคิดทำให้บริสุทธิ์เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา
ในการนี้การใช้กลีเซอรอลที่ได้มาจากการสังเคราะห์จากอีพิคลอโรไฮดรินจะเหมาะสมกว่าเพราะมีความบริสุทธิ์ที่สูงกว่ามาก)
แนวทางหนึ่งในการใช้ประโยชน์จากกลีเซอรอลที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากจากการผลิตไบโอดีเซลคือการนำไปเปลี่ยนเป็นอีพิคลอโรไฮดริน
โดยอาศัยปฏิกิริยาระหว่างกลีเซอรอลกับไฮโดรเจนคลอไรด์
(HCl)
โดยให้อะตอม
Cl
เข้าไปแทนที่หมู่
-OH
เพียงแค่สองหมู่
(ในการนี้จะมีโมเลกุลน้ำเกิดขึ้น
และต้องคอยระวังอย่าให้มีการแทนที่ทั้งสามหมู่)
กลายเป็นสารประกอบไดคลอโรโพรพานอลก่อน
(ส่วนจะเป็น
1,3-Dichloro-2-propanol
หรือ2,3-Dichloro-1-propanol
นั้นไม่สำคัญ)
จากนั้นจึงดึงเอาอะตอม
H
ของหมู่
-OH
กับอะตอม
Cl
ที่อยู่ที่อะตอม
C
ข้างเคียงออกในรูป
HCl
ก็จะเกิดเป็นโครงสร้างอีพอกไซด์ที่เป็นวงสามเหลี่ยม
(รูปที่
๔)
รูปที่
๔ ปฏิกิริยาการเปลี่ยนกลีเซอรอลไปเป็นอีพิคลอโรไฮดริน
รูปที่
๕
ตัวอย่างเอกสารยื่นขอจดสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาเรื่องการสังเคราะห์อีพิคลอโรไฮดรินจากกลีเซอรอล
ที่อาศัยการทำปฏิกิริยาระหว่างกลีเซอรอล
(ที่เป็นของเหลว)
กับแก๊ส
HCl
และเนื่องจากปฏิกิริยามีน้ำเกิดขึ้น
ดังนั้นการออกแบบกระบวนการก็ต้องคำนึงถึงการแยกน้ำออกจากผลิตภัณฑ์และการกัดกร่อนที่อาจเกิดจากแก๊ส
HCl
ละลายน้ำด้วย
กระบวนการนี้มีการสังเคราะห์อยู่
๒ ขั้นตอนด้วยกัน
ขั้นตอนแรกเป็นการทำปฏิกิริยาระหว่างกลีเซอรอลและโมโนคลอโรโพรเพนไดออล
(ที่แยกออกมาจากไดคลอโรโพรพานอล)
เพื่อสังเคราะห์ไดคลอโรโพรพานอลก่อน
ในขั้นตอนนี้ไม่ควรใช้แก๊ส
HCl
มากเกินไปเพราะจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดการแทนที่หมู่
-OH
ทั้งสามตำแหน่งและปัญหาเรื่องการจัดการกับแก๊ส
HCl
ที่ทำปฏิกิริยาไม่ทันอีก
(เช่นจะกำจัดทิ้ง
หรือจะหาทางนำกลับมาใช้งานใหม่)
จากนั้นจึงแยกเอาไดคลอโรโพรพานอลไปทำปฏิกิริยาต่อโดยมีเบส
(เช่น
NaOH)
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
เพื่อเปลี่ยนไดคลอโรโพรพานอลไปเป็นอีพิคลอโรไฮดริลด้วยการดึงเอาโมเลกุล
HCl
ออก
(HCl
ที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้จะทำปฏิกิริยากับ
NaOH
กลายเป็นสารละลาย
NaCl)
HCl
เป็นผลิตภัณฑ์จากการเผาแก๊สไฮโดรเจน
(H2)
ด้วยคลอรีน
(Cl2)
แก๊สสองตัวนี้เกิดขึ้นที่ขั้วไฟฟ้าในกระบวนการผลิตโซดาไฟ
(sodium
hydroxide - NaOH) ด้วยการแยกสารละลายเกลือ
NaCl
ด้วยกระแสไฟฟ้า
ดังนั้นถ้าคิดจะตั้งโรงงานผลิตอีพิคลอโรไฮดรินโดยใช้กลีเซอรอลเป็นสารตั้งต้น
ก็ควรต้องพิจารณาด้วยว่าจะหาแก๊ส
HCl
จากไหน
(จะซื้อเป็นแก๊ส
HCl
ที่บรรจุในถังความดันสูงจากผู้ผลิต
หรือซื้อไฮโดรเจนกับคลอรีนมาเผาเอง
แต่ดูแล้วไม่น่าจะเหมาะสมสำหรับการผลิตเป็นจำนวนมาก)
หรือควรตั้งโรงงานผลิตโซดาไฟด้วย
(เพื่อผลิตแก๊ส
HCl
ใช้เอง
และส่งเข้าสู่กระบวนการผลิตอีพิคลอโรไฮดรินเลย
ซึ่งดูแล้วน่าจะเหมาะสมมากกว่า
แต่ก็ต้องหาตลาดสำหรับสารละลายโซดาไฟที่ผลิตขึ้นมาด้วย
แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการเปลี่ยนไดคลอโรโพรพานอลไปเป็นอีพิคลอโรไฮดรินได้)
ปัจจุบันในบ้านเราก็ได้มีโรงงานที่ผลิตอีพิคลอโรไฮดรินจากกลีเซอรอลเกิดขึ้นแล้ว
รูปที่
๖
ตัวอย่างสิทธิบัตรสหภาพยุโรปที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตไดคลอโรไฮดรินเพื่อนำไปผลิตเป็นอีพิคลอโรไฮดรินอีกทอดหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น