เมื่อ
๓๐
กว่าปีที่แล้วเมื่อประเทศไทยนำแก๊สธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้งานเป็นครั้งแรกนั้น
แก๊สธรรมชาติที่ได้จัดว่าเป็นชนิด
"Wet
gas" คือมีสารประกอบไฮโดรคาร์บอนหนักที่ควบแน่นได้ปนอยู่ด้วย
(พวกตั้งแต่
C3
ขึ้นไป)
และยังจัดว่าเป็นประเภท
"Sour
gas" เพราะมีแก๊สกรดคือ
CO2
ผสมรวมอยู่ในปริมาณที่สูง
โรงแยกแก๊สที่ตั้งขึ้นมานั้นก็เพื่อทำการแยกเอาโพรเพน
(propane
C3H8) และบิวเทน
(butane
C4H10)
มาผลิตเป็นแก๊สหุงต้มสำหรับใช้ในครัวเรือนในประเทศ
ส่วนแก๊สที่เหลือก็ส่งไปเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าที่โรงจักรไฟฟ้าบางปะกง
โรงจักรไฟฟ้าพระนครใต้
และเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงงานปูนซิเมนต์ที่สระบุรี
สารสำคัญอีกตัวหนึ่งที่มีอยู่ในแก๊สธรรมชาติของไทยคืออีเทน
(ethane
C2H8)
ที่พบว่ามีอยู่ในปริมาณที่มากเพียงพอสำหรับใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเอทิลีน
(ethylene
C2H4) เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้น
ในช่วงแรกยังไม่มีการแยกเอาออกมาใช้งาน
ด้วยเหตุผลที่ว่ายังไม่มีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีรองรับ
แม้ว่าในขณะนั้นประเทศไทยจะมีโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกชนิด
HDPE
(High density polyethylene - พอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง)
และ
LDPE
(Low density polyethylene - พอลิเอทิลีนความหนาแน่นต่ำ)
แล็วก็ตาม
แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าเอทิลีนจากต่างประเทศ
กลุ่มโรงงานปิโตรเคมีกลุ่มแรกที่ตั้งขึ้นที่มาบตาพุดนั้นประกอบด้วยโรงงานผลิตโอเลฟินส์
(เอทิลีน
โพรพิลีน และไฮโดรเจน)
โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกชนิด
HDPE
LLDPE (Linear low density polyethylene -
พอลิเอทีนความหนาแน่นต่ำโครงสร้างเส้นตรง)
PP (Polypropylene พอลิโพรพิลีน)
และPVC
โดยโรงงานผลิตโอเลฟินส์นั้นจะรับเอาอีเทนและโพรเพนจากโรงแยกแก๊สมาผลิตเป็นเอทิลีนและโพรพิลีน
(propylene
C3H6) กระบวนการที่เลือกใช้คือ
thermal
cracking (ให้ความร้อนสูงจนโมเลกุลแตกออก)
ของบริษัท
Lummus
ที่ใช้สำหรับผลิตเอทิลีนเป็นหลักและผลิตโพรพิลีนร่วม
และกระบวนการที่มีชื่อทางการค้าว่า
"Oleflex"
ของบริษัท
UOP
ที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในการเปลี่ยนโพรเพนเป็นโพรพิลีน
กำลังการผลิตที่วางแผนในขณะนั้นคือผลิตเอทิลีน
๒๖๕,๐๐๐
ตันต่อปีและโพรพิลีน ๑๐๕,๙๐๐
ตันต่อปี (คิดว่าคงจำตัวเลขไม่ผิด
แต่ถ้าเป็นปัจจุบันคงต้องสร้างกันขนาดเกิน
๑,๐๐๐,๐๐๐
ตันต่อปีจึงจะคุ้มค่า)
หลังจากที่เลือกกระบวนการแล้ว
ก็ได้มีการส่งทีมวิศวกรไปฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตเอทิลีนโดยให้ทางบริษัท
Lummus
เป็นผู้จัดหลักสูตรการฝึกอบรม
ผมเองในฐานะวิศวกรจบใหม่ในขณะนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสร่วมในการฝึกอบรมดังกล่าว
(เขาจัดขึ้นก่อนผมเรียนจบ)
เพียงแค่ได้มีโอกาสได้ไปชะเง้อดูการก่อสร้างโรงงานโอเลฟินส์อยู่ข้างรั้ว
แต่ก็ได้มีโอกาสพบปะกับวิศวกรรุ่นพี่ที่ได้ไปเข้าร่วมการอบรมนั้น
และได้รับการถ่ายถอดความรู้จากรุ่นพี่เหล่านั้นมาบางส่วน
มาถึงเวลานี้วิศวกรรุ่นพี่เหล่านั้นหลายท่านก็เกษียณอายุแล้ว
และอีกหลายท่านก็คงอีกไม่กี่ปีก็จะเกษียณอายุ
เลยจะขอถือโอกาสเอาความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมานั้นมาเรียบเรียงเพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ว่าในยุคสมัยนั้นเขาได้ไปเรียนรู้อะไรกันบ้าง
(โดยจะพยายามแทรกคำอธิบายเพิ่มเติมตามความรู้ที่ตัวเองมีเพื่อให้ผู้ไม่มีประสบการณ์ทำความเข้าใจได้ดีขึ้น)
ที่สำคัญคือคนที่ได้เข้าทำงานในช่วงที่ต้องทำการ
"คัดเลือก"
เทคโนโลยี
เพื่อที่จะนำมาออกแบบและก่อสร้างนั้น
เขาได้เรียนรู้อะไรกันบ้าง
ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างไปจากการได้เข้าทำงานกับโรงงานที่สร้างเสร็จแล้ว
ที่ได้เรียนรู้เพียงว่าโรงงานนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง
และแต่ละส่วนทำหน้าที่อะไร
มีข้อจำกัดในการใช้งานอะไร
อารัมภบทมาหน้ากระดาษนึงแล้ว
ได้เวลาเข้าเรื่องสักที
"โอเลฟินส์
-
Olefin"
หมายถึงสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่ระหว่างอะตอมคาร์บอน
C=C
คำนี้เป็นคำที่ใช้กันในภาคอุตสาหกรรม
(ในตำราอินทรีย์เคมีจะเรียกว่า
"อัลคีน
-
Alkene" แต่คำนี้ใช้เฉพาะในวงวิชาการเท่านั้น)
โอเลฟินส์ตัวหลักที่สำคัญคือ
เอทิลีน รองลงไปคือโพรพิลีน
ตามด้วยบิวทีน (butene
C4H8) และบิวทาไดอีน
(C4H6)
ในบรรดาโอเลฟินส์เหล่านี้
เอทิลีนเป็นตัวที่มีการผลิตขึ้นใช้งานมากที่สุด
และยังถูกใช้เป็นตัววัดขนาดอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของประเทศต่าง
ๆ ด้วย โดยดูจากปริมาณการใช้เอทิลีน
กระบวนการหลักที่ใช้ในการผลิตโอเลฟินส์สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมียังคงเป็นกระบวนการให้ความร้อนที่สูงแก่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่
ให้แตกตัวออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลง
(โดยอาจมีหรือไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสารตั้งต้นและเทคโนโลยีการผลิตที่เลือกใช้)
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จะเป็นโอเลฟินส์ผสม
(โดยหลัก
ๆ ก็ในช่วง C2-C4)
แก๊สไฮโดรเจน
มีเทน และไฮโดรคาร์บอนหนัก
(ในที่นี้หมายถึงตั้งแต่
C5
เป็นต้นไป)
โอเลฟินส์ผสมที่ได้จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการกลั่นแยกเพื่อแยกองค์ประกอบต่าง
ๆ (เอทิลีน
โพรพิลีน และตัวที่หนักกว่า)
ออกจากกัน
ไฮโดรเจนบางส่วนถูกใช้ในกระบวนการผลิต
(เช่นเปลี่ยนอะเซทิลีน
(acetylene
C2H2) ให้กลายเป็นเอทิลีน)
และส่วนที่เหลือก็ส่งขายต่อ
(เช่นขายให้กับโรงงานผลิตพอลิเอทิลีน
เพื่อใช้เป็นตัวควบคุมความยาวสายโซ่พอลิเมอร์)
ส่วนมีเทนและไฮโดรคาร์บอนหนักนั้นก็สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนภายในโรงงาน
การกระจายตัวของผลิตภัณฑ์
(โอเลฟินส์และไฮโดรคาร์บอนหนัก)
ที่ได้ขึ้นอยู่กับสารตั้งต้นที่ใช้เป็นวัตถุดิบและสภาวะที่ใช้ในการทำปฏิกิริยา
การเลือกใช้ไฮโดรคาร์บอนใดเป็นสารตั้งต้นนั้นมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา
ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มาของวัตถุดิบ
ราคาของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ที่ได้
ค่าใช้จ่ายในการแยกผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ ออกจากกัน ความต้องการผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ ของตลาด
รูปที่
๑ อุณหภูมิและผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการ
Thermal
cracking ของอีเทน
ตัวอย่างเช่นในกรณีของการใช้อีเทนเป็นสารตั้งต้น
(ดูรูปที่
๑)
จะได้สัดส่วนเอทิลีนในผลิตภัณฑ์ที่สูง
แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนหนัก
(คือมีจำนวนอะตอม
C
ในโมเลกุลมากกว่าสารตั้งต้นคือเอทิลีนที่มีเพียง
2
อะตอม
ที่บางทีเรียกว่า pyrolysis
gas oil) เกิดขึ้นด้วย
(เกิดจากปฏิกิริยาข้างเคียง)
ถ้าใช้สารตั้งต้นที่เป็นไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่ขึ้นไปอีก
สัดส่วนเอทิลีนที่ได้ก็จะลดลง
และสัดส่วนโอเลฟินส์โมเลกุลใหญ่ก็จะเพิ่มขึ้น
(เอกสารการอบรมของบริษัท
Lummus
ให้ข้อมูลไว้คร่าว
ๆ ว่าถ้าใช้แนฟทาจะเกิด
pyrolysis
gas oil ประมาณ
3-8
wt% แต่ถ้าใช้
gas
oil จะเกิดประมาณ
15-25
wt%)
รูปที่
๒
เป็นตัวอย่างปริมาณการใช้สาธารณูปโภคต่อปริมาณเอทิลีนที่ผลิตได้เมื่อใช้สารตั้งต้นแตกต่างกัน
จะเห็นว่าที่ปริมาณเอทิลีนที่ได้เท่ากัน
(%
weight ethylene) อีเทนและโพรเพน
(หรือ
LPG)
จะใช้สาธารณูปโภคต่ำสุด
ในขณะที่แนฟทา (naphtha
ที่เป็นไฮโดรคาร์บอนที่หนักกว่า)
และ
gas
oil (ที่เป็นไฮโดรคาร์บอนที่หนักขึ้นไปอีกนั้น)
จะมีการใช้สาธารณูปโภคเพิ่มมากขึ้นไปอีก
แต่ถ้าพิจารณาในแง่ของราคาวัตถุดิบและปริมาณโอเลฟินส์
C3
และ
C4
(โพรพิลีนและบิวทีน)
ที่ได้
gas
oil เป็นตัวที่ถูกที่สุด
และยังให้โอเลฟินส์ C3
และ
C4
ได้มากสุด
ในขณะที่สารตั้งต้นที่เป็นอีเทนและโพรเพนจะอยู่ฟากตรงข้ามกันโดยมีแนฟทาอยู่ตรงกลาง
(
แนฟทาเป็นไฮโดรคาร์บอนที่มีขนาดโมเลกุลในช่วงน้ำมันแก๊สโซลีนและน้ำมันก๊าด
ส่วน gas
oil นั้นเป็นไฮโดรคาร์บอนในช่วงน้ำมันดีเซลลงไปถึงน้ำมันเตาเบา
(ช่วงน้ำมันเตาหนักปานกลางไปจนถึงน้ำมันเตาหนักบางทีก็แยกเป็น
vacuum
gas oil เพราะได้จากการกลั่นในหอกลั่นสุญญากาศ)
ที่เรียกว่า
gas
oil
เป็นเพราะน้ำมันในช่วงนี้ในยุคสมัยหนึ่งนำไปใช้ในการผลิตแก๊สส่งไปเป็นเชื้อเพลิงหุงต้มและให้ความร้อนตามอาคารบ้านเรือน
คือแต่เดิมนั้นในเมืองใหญ่
ๆ ของประเทศทางยุโรปจะมีการผลิตแก๊สที่เรียกว่า
coal
gas ที่ได้จากการเผาถ่านหินในที่อากาศจำกัด
จะได้ถ่าน coke
และแก๊สที่เกิดขึ้นที่เป็นแก๊สติดไฟได้
(ประกอบด้วยแก๊สพวก
CO
H2 CH4 CO2)
จะถูกส่งไปตามท่อเพื่อใช้สำหรับจุดตะเกียงให้แสงสว่างตามท้องถนน
(ก่อนยุคมีไฟฟ้าใช้)
และใช้เป็นแก๊สหุงต้มและให้ความร้อนในครัวเรือน
ต่อมามีการเปลี่ยนจากถ่านหินมาเป็นน้ำมัน
ตะเกียงใช้แก๊สริมถนนถูกเปลี่ยนเป็นหลอดไฟฟ้า
แต่ตามบ้านเรือนยังคงใช้แก๊สเพื่อการหุงต้มและให้ความร้อนอยู่
น้ำมันที่นำมาใช้ในการผลิตแก๊สนี้จึงเรียกว่า
gas
oil แต่ในปัจจุบันแก๊สจากน้ำมันนี้ถูกแทนที่ด้วยแก๊สมีเทน
(CH4)
แล้ว
ปฏิกิริยาการเปลี่ยนไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวให้กลายเป็นโอเลฟินส์
(และแก๊สไฮโดรเจน)
เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน
ต้องใช้อุณหภูมิที่สูงในการทำให้โมเลกุลไฮโดรคาร์บอนแตกตัวออก
อุณหภูมิที่ต้องใช้จะตรงข้ามกับขนาดโมเลกุลของสารตั้งต้น
กล่าวคือโมเลกุลใหญ่จะแตกตัวง่ายกว่าโมเลกุลที่เล็กกว่า
ดังนั้นการใช้อีเทนเป็นสารตั้งต้นจึงใช้อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาที่สูงกว่าการใช้แนฟทาหรือ
gas
oil เป็นสารตั้งต้น
ตัวอย่างเช่นในกรณีของการใช้อีเทนเป็นสารตั้งต้นนั้น
จะเริ่มจากการอุ่นอีเทนให้ร้อนจนมีอุณหภูมิประมาณ
500-650ºC
ในส่วน
convection
zone ของ
fired
heater จากนั้นจึงเข้าสู่
radiation
zone เพื่อเกิดปฏิกิริยาการแตกตัว
(cracking)
และไหลออกมาที่อุณหภูมิอยู่ที่ระดับประมาณ
800-850ºC
อุณหภูมิในส่วน
radiation
zone นั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบการให้ความร้อนและการออกแบบขดท่อ
แต่ทั้งนี้อุณหภูมิที่ผิวท่อไม่ควรเกิน
1100ºC
แต่เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้น
(โอเลฟินส์ต่าง
ๆ)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความว่องไวในการทำปฏิกิริยาสูงกว่าสารตั้งต้น
ดังนั้นหลังจากเกิดผลิตภัณฑ์ที่ต้องการแล้วต้องหาทางลดอุณหภูมิของแก๊สร้อนนั้นให้เย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว
เพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ที่ได้เกิดการสลายตัวหรือทำปฏิกิริยาไปเป็นสารอื่นที่ไม่ต้องการ
การลดอุณหภูมินี้กระทำด้วยการถ่ายเทความร้อนที่เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนต่าง
ๆ (พลังงานความร้อนที่ระบายออกจากแก๊สร้อนถูกนำไปใช้งานต่าง
ๆ ในโรงงาน เช่นเพื่อการผลิตไอน้ำความดันสูง
หรือใช้ในการอุ่นสารอื่นให้ร้อนขึ้น)
ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเพิ่มความดันและการทำความเย็นเพื่อส่งไปทำการกลั่นแยกต่อไป
รูปที่
๒ ปริมาณสาธารณูปโภคที่ต้องใช้
(ไม่รวม
gas
turbine) ต่อปริมาณเอทิลีนที่ผลิตได้
(S/O
= Steam per Oil ratio)
โรงงานผลิตโอเลฟินส์เป็นโรงงานที่มีความซับซ้อนโรงงานหนึ่งในเรื่องของการจัดการพลังงาน
เริ่มจากกระบวนการทำให้วัตถุดิบ
(ที่มีอุณหภูมิต่ำที่อุณหภูมิห้องหรือต่ำกว่า)
ร้อนจนถึงอุณหภูมิการทำปฏิกิริยา
(เช่นระดับ
1000ºC
ในกรณีของอีเทน)
จากนั้นก็ต้องลดอุณหภูมิลงต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะเข้าสู่ระบบอัดเพิ่มความดันและลดอุณหภูมิให้ต่ำลงไปจนอยู่ที่ระดับประมาณ
-100ºC
ที่ใช้ในการกลั่นแยกมีเทนและไฮโดรเจนออกจากผลิตภัณฑ์อื่น
ตามด้วยการกลั่นแยกผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ และสารตั้งต้นที่ไม่ทำปฏิกิริยาออกจากกัน
ผลิตภัณฑ์จะถูกส่งไปเก็บ
ส่วนสารตั้งต้นที่ไม่ทำปฏิกิริยาจะถูกนำกลับไปทำปฏิกิริยาใหม่
ในแง่ของความดันนั้น
เริ่มจากการทำปฏิกิริยาที่ความดันต่ำ
(ปฏิกิริยาการแตกตัวมีจำนวนโมลเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นปฏิกิริยาจะดำเนินไปข้างหน้าได้ดีขึ้นถ้าสารตั้งต้นมีความดันย่อยที่ต่ำ
ในทางปฏิบัติจะใช้การผสมไอน้ำเข้ากับไฮโดรคาร์บอน
ซึ่งไม่เพียงแต่จะไปลดความดันย่อยของไฮโดรคาร์บอน
แต่ยังช่วยลดการเกิด coke
(สารประกอบคาร์บอนที่เป็นของแข็ง)
สะสมบนผิวท่อด้วย
ซึ่งการสะสมของ coke
จะทำให้การถ่ายเทความร้อนแย่ลง)
แต่ทั้งนี้จะต้องไม่ต่ำมากจนทำให้ความดันด้านขาเข้าของคอมเพรสเซอร์ที่ใช้ในการอัดเพิ่มความดันนั้นต่ำเกินไปจนคอมเพรสเซอร์ไม่สามารถดูดแก๊สได้
(เกิดปัญหา
surging)
และเมื่ออัดความดันขึ้นไปแล้วต้องมั่นใจว่าความดันนั้นสูงพอที่จะไหลผ่านกระบวนต่าง
ๆ ที่อยู่ทางด้าน downstream
ได้ตลอดโดยไม่จำเป็นต้องมีการใช้คอมเพรสเซอร์เพิ่มความดันอีก
(พูดง่าย
ๆ ก็คือความดันด้านขาออกของคอมเพรสเซอร์จะเป็นความดันที่สูงสุด
และจะลดต่ำลงเรื่อย ๆ
ตามหน่วยผลิตต่าง ๆ ทางด้าน
downstream)
เพื่อให้เห็นภาพ
ที่กำลังการผลิตระดับ ๓๐๐,๐๐๐
ตันต่อปี ความดันแก๊สด้านขาออกจาก
fired
heater จะอยู่ที่ประมาณ
2
bar.a (ความดันสัมบูรณ์)
ความดันแก๊สก่อนเข้าคอมเพรสเซอร์จะอยู่ที่ประมาณ
1.38
bar.a และด้านขาออกของคอมเพรสเซอร์จะอยู่ที่ประมาณ
37.4
bar.a
ผลิตภัณฑ์ข้างเคียงชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยา
thermal
cracking คือสารประกอบไฮโดรคาร์บอนพันธะสามได้แก่
อะเซทิลีน (acetylene
C2H2) และเมทิลอะเซทิลีน
(methyl
acetylene H3C-CCH หรือ
propyne)
สารเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาในด้านเสถียรภาพและการทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการกำจัดด้วยการใช้ปฏิกิริยาเติมไฮโดรเจน
(hydrogenation)
เพื่อเปลี่ยนอะเซทิลีนให้กลายเป็นเอทิลีน
และเมทิลอะเซทิลีนให้กลายเป็นโพรพิลีน
ส่วนจะทำการเติมไฮโดรเจนก่อนทำการกลั่นแยก
หรือแยกผลิตภัณฑ์ออกเป็นส่วนต่าง
ๆ แล้วค่อยทำการเติมนั้นขึ้นอยู่กับการออกแบบกระบวนการ
สิ่งปนเปื้อนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องทำการกำจัดก่อนการลดอุณหภูมิได้แก่
ไอน้ำ แก๊สกรดพวก CO2
และ
H2S
เพราะสารเหล่านี้เมื่อเย็นลงจะกลายเป็นของแข็งและสามารถอุดตันระบบและก่อให้เกิดการกัดกร่อนได้
ไอน้ำเข้าไปอยู่ในระบบตั้งแต่ตอนที่ผสมไอน้ำเข้ากับไฮโดรคาร์บอนก่อนป้อนเข้า
fired
heater และที่
quench
tower ที่ลดอุณหภูมิแก๊สร้อนด้วยการสัมผัสกับน้ำโดยตรง
CO2
เป็นแก๊สที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาข้างเคียง
(ออกซิเจนมาจากน้ำที่ผสมเข้าไป)
ส่วนสารประกอบกำมะถันนั้นอาจติดมากับตัวไฮโดรคาร์บอนที่ใช้เป็นวัตถุดิบ
หรือไม่ก็จากสารที่เติมเข้าไปก่อนเข้า
fired
heater (เติมเพื่อลดการเกิด
coke
ซึ่งเรื่องนี้จะมาขยายความอีกทีตอนกล่าวถึงเรื่อง
thermal
cracking)
การเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์นั้นที่จะใช้ถังเก็บ
โดย C2
(ทั้งอีเทนและเอทิลีน)
จะเก็บในรูปแบบของเหลวด้วยการลดอุณหภูมิลงต่ำและเก็บในถังเก็บความดันบรรยากาศ
ส่วน C3
และ
C4
(โพรเพน
โพรพิลีน บิวเทน บิวทีน)
จะเก็บในรูปแบบของเหลวโดยใช้ถังเก็บภายใต้ความดันที่อุณหภูมิห้อง
(แต่ถ้ามีปริมาณมากก็อาจเก็บในรูปแบบของเหลวด้วยการลดอุณหภูมิลงต่ำและเก็บในถังเก็บความดันบรรยากาศแทน)
ไฮโดรเจนนั้นจะเก็บในรูปของแก๊สในถังความดันสูง
มีเทนจะถูกดึงเอาไปเป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนในโรงงาน
ส่วนไฮโดรคาร์บอนหนักนั้นอาจนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือนำไปทำอย่างอื่น
ฉบับนี้ขอจบลงดื้อ
ๆ ตรงนี้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น