วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Track circuit MO Memoir : Sunday 6 November 2554



"ถ้าเป็นเวลาปรกติ คันนี้เอามาวิ่งบนรางไม่ได้หรอก เดี๋ยวไฟฟ้ามันลัดวงจร"

ประโยคข้างบนเป็นคำพูดที่เจ้าหน้าที่การรถไฟที่เฝ้าทางข้ามทางรถไฟบอกกับผมในวันที่ผมเอารถรางที่ต่อขึ้นมา (รูปที่ ๑) ไปฝากเขาไว้ยังตู้ทำการ


รูปที่ ๑ รถรางที่ต่อเพื่อใช้ช่วยในการขนของออกจากบ้านที่น้ำท่วม รูปนี้ถ่ายเมื่อนำไปทดสอบที่ทางรถไฟแถวหนองมน

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ไปสำรวจหาทางเข้าบ้านสองเส้นทางด้วยกัน เส้นทางแรกคือเข้าทางด้านสะพานกรุงธนซึ่งพอจะหารถไปส่งยังปากซอยได้ จากนั้นต้องหาเรือต่อเข้าไปในซอยอีกกว่า ๒ กิโลเมตร

เส้นทางที่สองอาศัยแนวทางรถไฟสายใต้ (ซึ่งในขณะนี้งดวิ่งอยู่) ตามเส้นทางนี้จะต้องเดินตามทางรถไฟจากสะพานพระราม ๖ ลงเนินต่ำไปเรื่อย ๆ ไปยังหลังวัดเพลงบางพลัดเป็นระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร โดยระยะประมาณ ๒.๕ กิโลเมตรแรกจะเป็นทางที่แห้ง และประมาณ ๕๐๐ เมตรสุดท้ายจะมีน้ำท่วมทางเล็กน้อย (ประมาณแค่ระดับรางหรือ ๑๕ เซนติเมตร) จากนั้นต้องเดินลุยน้ำลึกประมาณ ๖๐-๘๐ เซนติเมตรเข้าไปอีกประมาณไม่เกิน ๕๐๐ เมตร

ผมตัดสินใจเลือกเส้นทางที่สอง เพราะเห็นว่าเป็นเส้นทางที่ลุยน้ำน้อยที่สุดและน่าจะเสียเวลาเดินทางโดยรวมน้อยที่สุด (สำหรับคนที่ยังเดินไหวและไม่รังเกียจที่จะเดินทางไกลนะ)

เมื่อตัดสินใจแล้วก็เลยออกแบบรถรางที่จะใช้เข็นบนทางรถไฟเพื่อใช้ขนออก แต่เนื่องด้วยเวลา อุปกรณ์ และวัสดุที่มีจำกัด จึงตัดสินใจหาเศษเหล็กฉากมาต่อเป็นโครง และไปหาซื้อลูกล้อและล้อประคองมาต่อเป็นรถดังรูป

บ่ายวันวานผมบรรทุกรถรางดังกล่าวใส่ท้ายรถ จากนั้นขับรถไปจอดที่ถนนริมทางรถไฟ (กำลังก่อสร้างอยู่) แล้วเริ่มออกเดินทางจากจุดนั้น ใช้ไม่ไผ่เข็นรถดังกล่าวไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดถนนข้ามทางรถไฟ จึงได้นำรถรางดังกล่าวไปบอกกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่เฝ้าว่าของวางของเอาไว้สักหน่อยและสอบถามเรื่องระดับน้ำ

เจ้าหน้าที่การรถไฟพอเห็นรถรางที่ผมทำก็บอกว่าแปลกดี และกล่าวกับผมด้วยประโยคที่ผมขึ้นต้น Memoir และบอกผมว่าโชคดีนะที่ช่วงนี้เขาตัดไฟ ผมก็บอกเขาว่าก็เห็นว่าช่วงนี้การรถไฟงดวิ่งรถไฟสายใต้และมีความจำเป็นต้องเดินทางเส้นทางนี้ ก็เลยต้องขอประกอบรถรางชั่วคราวมาใช้งานหน่อย

แล้วกระแสไฟฟ้ามันเกี่ยวข้องอะไรกับรางรถไฟ
การที่จะไม่ทำให้รถไฟวิ่งชนกัน (ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งตามกันหรือวิ่งสวนทางกัน) จำเป็นต้องรู้ว่าทางรถไฟข้างหน้านั้นมีรถไฟวิ่งหรือจอดอยู่หรือเปล่า ระบบหนึ่งที่มีการนำมาใช้งานกันคือการใช้ "Track circuit"

"Track circuit" นั้นจะเป็นการปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปรางรถไฟ แล้วอาศัยหลักการว่าเวลาที่ไม่มีรถไฟอยู่บนรางกับเวลาที่มีรถไฟอยู่บนรางนั้น เส้นทางเดินของกระแสไฟฟ้าจะต่างกัน เพื่อให้เข้าใจง่ายลองดูรูปที่ ๒ ข้างล่าง


รูปที่ ๒ การทำงานของ track circuit (รูปจาก http://cs.wikipedia.org/wiki/Soubor:Track_circuit.png)

รูปที่ ๒ ซ้ายนั้นเป็นรูปเมื่อไม่มีรถไฟอยู่บนราง กระแสไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายจะวิ่งตลอดแนวรางจากปลายข้างหนึ่งไปยังปลายอีกข้างหนึ่ง (ช่วงระว่างวงจรที่เห็นเป็นสีดำนั้นจะต้องก่อสร้างโดยไม่เปิดโอกาสให้กระแสไฟฟ้าวิ่งข้ามไปได้) และไปยังสวิตช์ควบคุมสัญญาณไฟให้เปิดสัญญาณไฟเขียว ซึ่งแสดงว่าทางข้างหน้าว่างอยู่

แต่ถ้ามีรถไฟอยู่บนรางช่วงดังกล่าว (รูปที่ ๒ ขวา) กระแสไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนรางจะถูกลัดวงจรโดยการไหลผ่านล้อเหล็กข้างหนึ่ง ผ่านเพลาเชื่อมระหว่างล้อ ไปยังล้อเหล็กอีกข้างหนึ่ง กลับไปยังแหล่งจ่าย ทำให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลไปถึงสวิตช์ควบคุมสัญญาณไฟ ทำให้สัญญาณไฟเปลี่ยนไปเป็นสีแดง ซึ่งแสดงว่ามีรถไฟอยู่ในรางช้างหน้า


รูปที่ ๓ รางรถไฟบริเวณรอยต่อของ track circuit สองวงจร จะเห็นสายไฟของ track circuit ติดตั้งอยู่

Track circuit แบบเดิมนั้นจะวางไว้เป็นช่วง ๆ โดยระหว่างวงจรของ track circuit ตรงรอยต่อระหว่างรางนั้นจะต้องมีการป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลข้ามกันได้ เช่นเว้นช่องว่างไม่ให้รางสัมผัสกัน และใช้วัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้ารองกันไมให้ผิวโลหะสัมผัสกัน เช่นที่ระหว่างตัวนอตที่ใช้ขันกับเหล็กประกับข้างราง และระหว่างเหล็กประกับข้างรางกับตัวราง

แต่สำหรับรางที่เชื่อมเหล็กกันต่อเนื่องเป็นเส้นยาวนั้นจะใช้วิธีการที่แตกต่างกันออกไปซึ่งตัวผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องตรงนี้เท่าไรนัก ใครอยากรู้มากกว่านี้ก็ลองไปค้นคว้ากันเองก็แล้วกัน
รถรางที่ถ่อกันอยู่บนรางรถไฟที่ผมเห็นชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่ใช้กันนั้น มักจะใช้ตลับลูกปืนเป็นล้อวิ่งและล้อประคอง และใช้เพลากับตัวรถเป็นไม้ ทำให้ไม่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรซึ่งจะไปรบกวนการทำงานของ track circuit ได้

ตามความรู้สึกของผมแล้ว บรรยากาศบนทางรถไฟหรือสองข้างทางรถไฟนั้นมันแตกต่างไปจากบรรยากาศสองฝากฝั่งถนนมาก ผมว่ามันมีทั้งความสงบและธรรมชาติที่มากกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมันเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนใช้เดินนั่นเอง จะมีก็แต่ผู้ที่อาศัยรถไฟวิ่งไปมาเท่านั้น และนี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของรถไฟที่การเดินทางโดยรถยนต์ไม่สามารถเทียบเคียงได้