เนื้อหาใน
Memoir
ฉบับนี้เป็นเรื่องต่อเนื่องจาก
Memoir
ปีที่
๙ ฉบับที่ ๑๓๖๙ วันศุกร์ที่
๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง
"ผลของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ต่อค่า flammability limits" โดยรูปต่าง
ๆ ในฉบับนี้นำมาจากเอกสารที่มีชื่อเรื่องว่า
"Flammability
characteristics of combustible gases and vapors" โดย
Michael
G. Zabetakis, U.S. Bureau of Mines, Bulletin 627
ที่ค้นได้ทางอินเทอร์เน็ต
เผยแพร่ในปีค.ศ.
๑๙๖๕
รูปที่
๑ ค่า Flammability
limits ของอีเทน
+
อากาศ
+
(N2 หรือ
CO2)
ที่
25ºC
ความดันบรรยากาศ
ใน
Memoir
ฉบับที่
๑๓๖๙
นั้นได้กล่าวถึงผลของค่าความจุความร้อนของแก๊สเฉื่อยที่ทำให้ช่วง
flammability
limit ของเชื้อเพลิงนั้นแคบลง
และได้นำเอากราฟของสารบางสารมาให้ดูกัน
มาคราวนี้บังเอิญไปพบกราฟของสารตัวอื่น
ก็เลยขอนำมาเผยแพร่เพิ่มเติม
(รูปกราฟจากเอกสารต้นฉบับมีบางกราฟมีความผิดพลาด
ที่จะได้กล่าวถึงในรูปนั้น)
ในรูปกราฟแต่ละรูปนั้น
ค่า flammability
limit หรือ
explosive
limit ของแต่ละสารในอากาศนั้นคือค่าที่ตำแหน่งแกน
x
เป็นศูนย์
รูปที่ ๑-๕
แสดงผลของแก๊สเฉื่อยที่มีการเพิ่มเติมเข้าไป
(นอกเหนือไปจากไนโตรเจนที่มีอยู่ในอากาศแต่แรก)
ที่มีต่อช่วง
flammability
limit โดยรูปที่
๑-๓
เป็นกรณีของ อีเทน โพรเพน
และบิวเทน เมื่อมีการเพิ่มไนโตรเจน
(นอกเหนือไปจากที่มีอยู่ในอากาศ)
หรือคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป
รูปที่ ๔ และรูปที่ ๕
เป็นกรณีของมีเทนและนอร์มัลเพนเทน
ที่มีการผสมแก๊สเฉื่อยหลากหลายชนิด
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือผลของ
CO2
ที่มีต่อช่วง
flammability
limit ของมีเทนในรูปที่
๔ โดยเฉพาะตรงส่วนผสมที่มี
CO2
18% เพราะแก๊ส
CNG
เติมรถยนต์ที่ขายในบ้านเรานั้นมี
CO2
ผสมอยู่
18%
รูปที่
๒ ค่า Flammability
limits ของโพรเพน
+
อากาศ
+
(N2 หรือ
CO2)
ที่
25ºC
ความดันบรรยากาศ
การทำงานของเครื่องยนต์เบนซิน
(หรือดีเซล)
นั้น
เราใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้ให้เกิดความร้อนและแก๊สร้อนที่ขยายไปดันลูกสูบ
เชื้อเพลิงที่มีพลังงานความร้อนในตัวสูงกว่าก็จะใช้ปริมาณน้อยกว่าเชื้อเพลิงที่มีพลังงานความร้อนในตัวต่ำกว่า
(พูดง่าย
ๆ คือในกรณีของเชื้อเพลิงเหลว
เทียบกันลิตรต่อลิตร
เชื้อเพลิงที่มีค่าความร้อนสูงกว่าจะวิ่งได้กิโลเมตรต่อลิตรที่มากกว่า)
เนื่องจาก
CO2
นั้นมีค่าความจุความร้อนที่สูงกว่าไนโตรเจน
ดังนั้นถ้าเรามีส่วนผสมแก๊สสองส่วนผสมที่มีอัตราส่วนผสมระหว่างมีเทนและออกซิเจนเท่ากัน
โดยส่วนผสมแรกนั้นแก๊สส่วนที่เหลือคือไนโตรเจน
ส่วนส่วนผสมที่สองนั้นแก๊สส่วนที่เหลือคือไนโตรเจนและ
CO2
เมื่อทำการเผาไหม้แก๊สทั้งสองชนิดในปริมาณที่เท่ากัน
(คิดเทียบเท่าปริมาณมีเทนที่เผาไหม้เท่ากัน)
แก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มีส่วนผสม
CO2
สูงจะมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่า
ทำให้มีการขยายตัวของแก๊สน้อยกว่า
หรือถ้าคิดเทียบระยะทางที่รถวิ่งได้ต่อปริมาณมีเทนที่เผาไหม้
แก๊สผสมที่มี CO2
ผสมอยู่จะให้ระยะทางที่รถวิ่งได้ต่อปริมาณมีเทนที่เผาไหม้นั้นต่ำกว่าแก๊สผสมที่ไม่มี
CO2
ผสมอยู่
รูปที่
๔ ค่า Flammability
limits ของมีเทน
+
อากาศ
+
แก๊สเฉื่อยชนิดต่าง
ๆ ที่ 25ºC
ความดันบรรยากาศ
CNG
เติมรถยนต์ที่ขายกันอยู่ทั่วไปในบ้านเรานั้นมี
CO2
ผสมอยู่
18%
รถยนต์ที่ใช้
CNG
เป็นเชื้อเพลิงจึงมีปัญหาตรงที่ถ้าหากไปลดปริมาณ
CO2
ลงเพื่อให้รถวิ่งได้ระยะทางเพิ่มมากขึ้นต่อปริมาณแก๊สที่เติม
ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงจะต้องสามารถลดปริมาณแก๊สที่ฉีดเพื่อเป็นการชดเชยค่าพลังงานความร้อนของเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
เพราะถ้าไม่ทำเช่นนี้จะเกิดปัญหาเครื่องยนต์ร้อนจัดจนอาจเกิดความเสียหายได้
ในทางกลับกันเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาสำหรับใช้
CNG
ที่ไม่มี
CO2
ผสมนั้น
ถ้านำเอา CNG
ที่มี
CO2
ผสมอยู่
18%
มาใช้โดยไม่มีการฉีดเชื้อเพลิงเพิ่มเพื่อชดเชยค่าพลังงานความร้อนที่ลดลงของเชื้อเพลิง
ก็จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังตกลง
ปัญหาของรถยนต์ที่ใช้ CNG
เป็นเชื้อเพลิงดูเหมือนว่าจะอยู่ตรงที่ระบบจ่ายเชื้อเพลิงนั้นไม่สามารถปรับเปลี่ยนปริมาณการฉีดให้เหมาะสมกับปริมาณ
CO2
ที่มีอยู่ในเชื้อเพลิงได้
ทำให้เมื่อมีแผนการณ์ที่จะนำเอา
CNG
ที่มี
CO2
ผสมอยู่น้อยมาชาย
จึงต้องแยกขายให้กับกลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะ
ก๊าชธรรมชาติสำหรับยานยนต์นี้
ชื่อเรียกภาษาอังกฤษและชื่อย่อตามมาตรฐานสากลและตามกฎหมายไทยคือ
Compressed
Natural Gas หรือ
CNG
ตัวย่อว่า
NGV
นั้นตามมาตรฐานสากลหมายถึงรถที่ใช้
CNG
เป็นเชื้อเพลิงหรือNatural
Gas Vehicle (บริษัทหนึ่งในบ้านเราเอาคำย่อ
NGV
นี้มาแปลความหมายผิดคือแปลเป็น
Natural
Gas for Vehicle)
ดังนั้นถ้าจะคุยกับคนต่างชาติโดยต้องการสื่อความหมายไปที่ตัวเชื้อเพลิง
ก็ต้องใช้คำว่าย่อว่า CNG
ห้ามใช้คำว่า
NGV
เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน
รูปที่
๕ ค่า Flammability
limits ของนอร์มัลเพนเทน
+
อากาศ
+
แก๊สเฉื่อยชนิดต่าง
ๆ ที่ 25ºC
ความดันบรรยากาศ
ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์
พ.ศ.
๒๕๕๖
ได้แยกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ออกเป็นสองชนิด
ชนิดแรกนั้นคือชนิดที่มีขายมาแต่ดั้งเดิมที่มี
CO2
ผสมอยู่
18%
ส่วนชนิดที่สองที่ตั้งขึ้นมาใหม่นั้นมี
CO2
ผสมอยู่เพียง
10%
(ประกาศปีพ.ศ.
๒๕๕๒
มีเฉพาะชนิดมี CO2
18%) เครื่องยนต์รถที่ตั้งเครื่องมาเพื่อใช้กับแก๊สชนิดแรกนั้น
ถ้าเปลี่ยนไปใช้แก๊สชนิดที่สองก็มีสิทธิเครื่องพังได้เนื่องจากร้อนจัด
(เว้นแต่ว่าจะไปทำการปรับแต่งปริมาณการฉีดเชื้อเพลิงให้ลดต่ำลง)
ส่วนเครื่องยนต์รถที่ตั้งมาเพื่อใช้กับแก๊สชนิดที่สองนั้น
ถ้าเปลี่ยนไปใช้แก๊สชนิดแรกก็จะมีปัญหาเครื่องยนต์กำลังตก
ปัญหานี้เคยเกิดทางภาคอีสานราว
ๆ ปี ๒๕๕๐ -
๒๕๕๓
เห็นจะได้ ที่ตอนแรกนั้น
CNG
ที่ขายอยู่ทางภาคอีสานมี
CO2
น้อยกว่าที่อื่น
รถที่ปรกติใช้งานอยู่ในกรุงเทพพอไปเติม
CNG
ทางภาคอีสานเกิดปัญหาเครื่องยนต์ร้อนจัด
ส่วนรถที่ปรกติใช้งานอยู่ทางภาคอีสาน
พอมาเติมเชื้อเพลิงแถวกรุงเทพก็เกิดปัญหาเครื่องยนต์กำลังตก
ทางผู้จำหน่ายเลยแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปริมาณ
CO2
ให้กับแก๊สที่จำหน่ายทางภาคอีสาน
(แต่ไม่ได้ลดราคาให้นะ)
รูปที่
๖ ค่า flammability
limit ของนอร์มัลเฮปเทนเมื่อมีไอน้ำผสม
กราฟนี้แสดงผลของอุณหภูมิ
จะเห็นว่าอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ช่วง
flammability
limit กว้างขึ้น
รูปที่
๖ เป็นตัวอย่างผลของอุณหภูมิที่มีต่อค่า
flammability
limit ของนอร์มัลเฮปเทน
รูปนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
ช่วงความกว้างของค่า
flammability
limit ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
(ที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศ
อุณหภูมิ autoignition
temperature ของเฮปเทนอยู่ที่
200ºC
ต้น
ๆ เท่านั้น
ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไปเขาจึงทำการทดลองได้เพียงแค่อุณหภูมิ
200ºC)
รูปที่
๗-๑๑
แสดงผลของความดันต่อค่า
flammability
limit ของ
มีเทน อีเทน และโพรเพน ในระบบ
เชื้อเพลิง-ไนโตรเจน-อากาศ
หรือ เชื้อเพลิง-คาร์บอนไดออกไซด์-อากาศ
ซึ่งจะเห็นว่าที่ความดันสูงขึ้น
ช่วงความกว้างของค่า
flammability
limit ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยทำนองเดียวกับกรณีของอุณหภูมิ
รูปที่
๗ ผลต่อความดันที่มีต่อค่า
flammability
limit ของแก๊สมีเทน-ไนโตรเจน-อากาศ
ค่า
flammability
limit
ที่มีเผยแพร่กันทั่วไปนั้นมักจะเป็นค่าที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศ
แต่ก็มีหลายกระบวนการผลิตในงานวิศวกรรมเคมีที่ทำการผสมเชื้อเพลิง
(สารอินทรีย์ที่เป็นสารตั้งต้นเช่นไฮโดรคาร์บอนต่าง
ๆ)
กับอากาศ
และให้ทำปฏิกิริยากันที่อุณหภูมิสูงและความดันที่สูงกว่าความดันบรรยากาศ
(พวกปฏิกิริยาการออกซิไดซ์แบบเลือกเกิด
หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
selective
oxidation หรือ
partial
oxidation)
และวิธีการพื้นฐานวิธีการแรกในการป้องกันอันตรายจากการระเบิดในขณะทำปฏิกิริยาคือการใช้ส่วนผสมที่อยู่นอกช่วง
flammability
limit
จากรูปที่
๖-๑๑
จะเห็นว่าที่อุณหภูมิและความดันที่สูงขึ้น
ความกว้างของช่วง flammbility
limit จะเพิ่มมากขึ้น
แต่ด้านที่เพิ่มมากจะเป็นด้านขอบเขตบน
(upper
limit หรือ
upper
explosive limit)
คือค่าความเข้มข้นสูงสุดของเชื้อเพลิงที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ได้เพิ่มขึ้นไปมาก
ในขณะที่ด้านขอบเขตล่าง
(lower
limit หรือ
lower
explosive limit) จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าหรือแทบไม่ได้รับผลกระทบ
คือค่าความเข้มข้นต่ำสุดที่ทำให้เกิดการเผาไหมได้แทบจะไม่ได้ลดต่ำลงไปอีก
รูปที่
๘ ผลต่อความดันที่มีต่อค่า
flammability
limit ของแก๊สอีเทน-ไนโตรเจน-อากาศ
กราฟรูปนี้เอกสารต้นฉบับที่นำบทความเดิมในปี
๑๙๖๕ มาทำใหม่นั้น
ไม่ได้ใส่ตัวเลขสเกลทั้งแกน
x
และ
y
ให้
แต่เมื่อเทียบรูปในบทความต้นฉบับปี
๑๙๖๕ แต่ละขีดของแกน x
และแกน
y
จะอยู่ห่างกัน
8
หน่วย
แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการทำปฏิกิริยาโดยที่ส่วนผสมนั้นอยู่ในช่วง
flammability
limit จะทำไม่ได้นะ
ในปฏิกิริยา gas
phase partial oxidation
ของหลายกระบวนการใช้การทำปฏิกิริยาโดยที่ส่วนผสมสารตั้งต้นอยู่ในช่วง
flammability
limit แต่ก็ยังสามารถเดินเครื่องได้อย่างปลอดภัย
เพราะมันมีเรื่องของ
autoignition
temperature หรืออุณหภูมิลุกติดไฟได้เองเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
คือการทำปฏิกิริยาในเครื่องปฏิกรณ์มันไม่มีเปลวไฟหรือประกายไฟอยู่แล้ว
สิ่งเดียวที่สามารถทำให้ส่วนผสมเกิดการระเบิดได้คือความร้อนที่คายออกมาจากการเกิดปฏิกิริยา
ตัวอย่างเช่นในระหว่างการเกิดปฏิกิริยา
gas
phase partial oxidation (ที่เป็นปฏิกิริยาคายความร้อน)
นั้นสารตั้งต้นจะมีความเข้มข้นลดต่ำลงในขณะที่ปฏิกิริยากำลังเดินไปข้างหน้า
แต่อุณหภูมิของระบบจะเพิ่มสูงขึ้น
ถ้าสามารถมั่นใจได้ว่าสามารถออกแบบระบบการทำปฏิกิริยาที่ความเข้มข้นของสารตั้งต้นจะลดต่ำลงจนอยู่นอกช่วง
flammability
limit ก่อนที่อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาจะขึ้นสูงถึง
autoignition
temperature ได้
ก็สามารถทำปฏิกิริยาได้อย่างปลอดภัย
เรื่อง
flammability
limit นี้ยังไม่จบนะ
ยังมีต่ออีกตอนหนึ่ง
จากนั้นก็จะไปยังเรื่อง
autoignition
temperature ก่อน
แล้วค่อยไปคุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อเย็นวันอังคารที่
๒๕ ที่ผ่านมา
รูปที่
๙ ผลต่อความดันที่มีต่อค่า
flammability
limit ของแก๊สอีเทน-คาร์บอนไดออกไซด์-อากาศ
รูปนี้บทความที่จัดทำใหม่มีที่ผิดนิดนึงตรงการคำนวณ
%air
ที่ต้องเป็น
%CO2
ไม่ใช่
%N2
แต่ในบทความต้นฉบับปี
๑๙๖๕ นั้นระบุไว้ถูกต้องแล้ว
รูปที่
๑๐ ผลของความดันที่มีต่อค่า
flammability
limit ของแก๊สโพรเพน-ไนโตรเจน-อากาศ
รูปนี้เอกสารที่จัดทำขึ้นใหม่มีที่ผิดนิดนึงตรงลูกศรชี้เส้นความดันบรรยากาศที่ชี้ผิดเส้น
รูปนี้ต้นฉบับปี ๑๙๖๕
ก็ผิดที่นี่เช่นกัน
หมายเหตุ
:
บทความที่เป็นต้นเรื่องของเนื้อหา
Memoir
ฉบับนี้สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทางอินเทอร์เน็ตด้วยการใช้ใส่ชื่อบทความ
"Flammability
characteristics of combustible gases and vapors"
ลงไปในช่องคำค้นหา
จะปรากฏลิงค์เชื่อมโยงไปทั้งบทความต้นฉบับที่พิมพ์เผยแพร่ในปี
ค.ศ.
๑๙๖๕
และบทความที่มีการจัดทำขึ้นใหม่ราว
ๆ ปีค.ศ.
๑๙๙๙
(ที่ยังเป็นรายงานฉบับร่าง)
บทความที่จัดทำขึ้นใหม่ในปีค.ศ.
๑๙๙๙
นี้มีการวาดรูปใหม่ให้ชัดเจนกว่าบทความปี
๑๙๖๕ และรูปที่นำมาลงใน
Memoir
นี้ก็นำมาจากบทความฉบับหลังนี้
(เพราะรูปมันชัดเจนกว่า)
แต่รูปที่วาดขึ้นใหม่ในบทความฉบับหลังนี้มีผิดอยู่บางรูป
(รูปที่
๘ และ ๙ ในที่นี้)
เมื่อเทียบกับบทความต้นฉบับปี
ค.ศ.
๑๙๖๕
รูปที่
๑๑ ผลของความดันที่มีต่อค่า
flammability
limit ของแก๊สโพรเพน-คาร์บอนไดออกไซด์-อากาศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น