เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อจะไปที่ห้วยขาแข้งเป็นหลัก
ส่วนที่เที่ยวที่อื่นนั้นเรียกว่าไปถึงอุทัยธานีก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เพราะว่าภรรยามีเพื่อนฝูงทำงานอยู่ที่นั่นหลายคน
ก็เลยได้รับคำแนะนำต่าง ๆ
ว่าควรจะไปเที่ยวที่ไหนและพักที่ไหน
ดังนั้นก่อนอื่นผมก็คงต้องขอขอบคุณในน้ำใจไมตรีของท่านเจ้าถิ่นต่าง
ๆ ที่ไม่เพียงแต่แนะนำที่พักและที่ท่องเที่ยวให้
แต่ยังช่วยเป็นไกด์นำเที่ยวให้ด้วย
รูปที่
๑ ป้ายดังกล่าวให้ข้อมูลไว้ชัดเจนอยู่แล้วครับ
เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกแปลกที่คนรุ่นใหม่เห็นยอดเขาหัวโล้นสุดลูกหูลูกตา
หาต้นไม้ใหญ่ไม่ได้
มีแต่วัชพืชขึ้นเต็มไปหมด
ว่าเป็น "ธรรมชาติ"
ที่สวยงาม
ทั้ง ๆ
ที่แต่เดิมพื้นที่เหล่านั้นเคยเป็นป่าไม้ต้นน้ำลำธารมาก่อน
ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับการที่ไปบุกเบิกป่าบนภูเขาเพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เรียกว่า
"วัด"
เพื่อให้คนแห่กันไปสักการะบูชา
และ "บริจาคปัจจัย"
เพื่อสร้างให้มันใหญ่โตขึ้นไปอีก
รู้สึกมันช่างแตกต่างไปจากประวัติของภิกษุผู้ทรงศีลหลายต่อหลายท่าน
(ที่ต่างมรณภาพไปแล้ว)
ที่เคยได้รับฟังมา
ที่ท่านเหล่านั้นปลีกวิเวกเข้าสู่ป่าที่หาความสะดวกสบายใด
ๆ ไม่ได้เพื่อปฏิบัติธรรมและหาความสงบในการปฏิบัติธรรม
ห่างจากญาติโยมที่จะมารบกวน
ราว
ๆ ๑๕ ปีที่แล้วผมได้มีโอกาสแวะไปที่
"ซับลังกา"
ตอนนั้นเขายังไม่เปิดให้เป็นที่ท่องเที่ยวและดูเหมือนว่ายังไม่ค่อยมีใครรู้จักกันเท่าใดนัก
บ่ายวันนั้นผมได้มีโอกาสพบกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติผู้หนึ่งที่เพิ่งกลับจากการตรวจป่า
ได้มีโอกาสนั้นสนทนากันพักหนึ่งกับเจ้าหน้าที่ผู้นั้นที่มีปืน
HK33
(บรรจุกระสุนพร้อมใช้)
วางอยู่ข้างกาย
เวลาไปเที่ยวสถานที่เหล่านี้เคยแวะทักทายเจ้าหน้าที่เหล่านี้บ้างไหมครับ
หรือเห็นเขาเป็นเพียงแค่คนเก็บตังค์ค่าเข้าเยี่ยมชม
จะว่าไปแล้วแม้ว่าเขาจะอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลจากความเจริญ
(เมื่อมองจากคนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่)
แต่เขาก็มีเรื่องเล่าต่าง
ๆ มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ช้างป่าบุกเข้าค่ายพักแรมลูกเสือตอนกลางคืน
(ผมได้ยินมาจากเจ้าหน้าที่ที่เขาอ่างฤ
ไนย)
หรือนักท่องเที่ยวเกือบทั้งกลุ่ม
(รวมทั้งคนขับรถและผู้นำทางคนไทย)
ที่ไปเสียชีวิตหมู่ในถ้ำเนื่องจากน้ำป่าหลาก
(ที่เขาสก)
นอกจากนี้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณเหล่านั้นหรือขายของอยู่ข้างทางต่างก็มีเรื่องเล่าต่าง
ๆ เช่นกัน เรื่องเล่าในวัยเด็กของเข้าของบ้านพัก
(ที่ผมไปอาศัย)
สมัยที่ท้องที่อำเภอบ่อเกลือ
จ.
น่าน
ยังมีการสู้รบกันอย่างหนัก
เจ้าหน้าที่ทหารพรานที่เฝ้าระวังชายแดนไทย-ลาว
บนทางหลวงสาย ๑๐๘๑
หรือคำเตือนเรื่องกับระเบิดที่ฝังเอาไว้เมื่อกว่า
๔๐ ปีที่แล้วและยังกู้ไม่หมดที่ฐานปฏิบัติการห้วยโกร๋น
จ.
น่าน
เรื่องของเส้นทางรถไฟบรรทุกอ้อยไปโรงหีบ
จากแม่ค้าขายกล้วยทอดที่เพิงเล็ก
ๆ หน้าบ้านบนเส้นทางด้านหลังเขาเขียวที่ศรีราชา
ที่กลายเป็นถนนลูกรัง
(ตอนนั้น)
และปัจจุบันกลายเป็นทางลาดยางไปแล้ว
รูปที่
๒ บริเวณที่ตั้งอนุสรณ์
ป้าย "วิญญาณป่า"
อยู่ทางด้านซ้าย
ส่วนทางเดินศึกษาธรรมชาติอยู่ทางด้านขวา
ผมว่าถ้าตำแหน่งป้ายมาอยู่ใกล้ทางเดินเข้าน่าจะเหมาะสมกว่า
เพราะจะทำให้ผู้ที่จะเดินเข้าเส้นทางศึกษาธรรมชาติเห็นป้ายได้ชัดเจนมากขึ้น
รูปที่
๗
ที่เลือกถ่ายมุมนี้ก็เพราะเป็นมุมที่มองไปยังทิศทางป่าห้วยขาแข้ง
เข้าใจว่ารูปปั้นนี้ก็จงใจตั้งให้หันไปในทิศทางนี้ด้วย
รูปที่
๘ บ้านหลังที่ทำให้เกิดตำนาน
รูปที่
๑๐ ห้องที่ทำให้เกิดตำนาน
ห้องนี้ปิดไว้แต่มีหน้าต่างกระจกให้มองเข้าไปข้างใน
สิ่งของต่าง ๆ ในห้อง
(คิดว่ายกเว้นที่นอนและผ้าปูที่นอน)
ยังคงเป็นเหมือนเมื่อตอนเกิดเหตุการณ์
หรือเมื่อกว่า ๒๕ ปีที่แล้ว
รูปที่
๑๒ ลำห้วยที่ปากทางเข้า
น้ำแห้งมาก ตอนเดินเข้าไปเดินบนสะพาน
แต่ตอนกลับเดินลงลุยลำธารข้างล่างแทน
รูปที่
๑๔ แยกออกจากทางหลวงแผ่นดินสาย
๓๔๓๘ เข้าสู่เส้นทางสาย อน.
๔๐๐๑
มาได้ประมาณ ๙ กิโลเมตร
ก็จะเจอด่านแรก ช่วงนี้เป็นถนนลาดยาง
ถัดจากนี้ไปจะเป็นถนนลูกรัง
ขับเข้าไปจนถึงกิโลเมตรที่
๑๔ ก็จะสุดเส้นทาง เข้าสู่เขตอุทยาน
เป็นจุดตรวจที่สอง
ถ่ายรูปหลักกิโลนี้เป็นที่ระลึกไว้หน่อย
เพราะเห็นเป็นหลักไม้
ทำให้สงสัยว่าน่าจะเป็นของรุ่นเก่าก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นหลักคอนกรีต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น