สิบกว่าปีที่แล้วผมมีโอกาสเดินทางไปเยอรมัน
เพื่อไปเยี่ยมนิสิตปริญญาเอกคนหนึ่ง
(และคนเดียว)
ของผมที่เขาไปทำวิจัยที่นั่น
ระหว่างช่วงหนึ่งของการสนทนาเขาเล่าให้ฟังว่า
วันหนึ่งมีคนถามเขาในวงสนทนาว่า
เมื่อเกษียณอายุแล้วจะไปอยู่ไหน
เขาก็ตอบว่าก็คงอยู่บ้านตามเดิม
(กับลูกหลาน
- ถ้ามี)
ก็ทำให้ผู้ร่วมสนทนาผู้อื่นแปลกใจ
ว่าทำไมยังอยู่บ้านอีก
ไม่ไปอยู่ตาม Nursing
home
ซึ่งถ้าจะแปลเป็นไทยก็คงเป็นสถานพยาบาลผู้ป่วยและผู้สูงอายุระยะยาว
แต่ในทางกลับกันเขาก็งงเหมือนกันว่าแล้วทำไมไม่อยู่บ้าน
ต้องไปอยู่ตาม Nursing
home
รูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละสังคมแตกต่างกัน
ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างรุ่นของแต่ละสังคมนั้นแตกต่างกันไปด้วย
กลุ่มคนที่ไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าวหรือจะเรียกว่ามีปากเสียงออกทางสื่อมวลชนน้อยที่สุดเห็นจะได้แก่กลุ่มเด็กและกลุ่มผู้สูงวัย
เวลาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญอะไรขึ้นมา
คนกลุ่มนี้ก็มักจะเป็นกลุ่มคนที่มักถูกลืม
ถูกละเลย หรือจงใจไม่กล่าวถึง
จากทั้งสื่อมวลชนและผู้ที่ต้องรับผิดชอบเหตุการณ์
ตัวอย่างเช่นสถานการณ์โรคระบาดจากไวรัส
COVID-19
ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้
ที่มีทั้งเสียงเรียกร้องให้ปิดเมืองและให้เปิดเมือง
ข่าวสารตามสื่อหลักต่าง ๆ
เต็มไปด้วย "จำนวนรวม"
ของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต
แต่ในวันนี้เราจะมาลองดูข้อมูลแยกตามช่วงอายุ
เผื่อว่าจะทำให้เห็นภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่
จากมุมมองอื่นดูบ้าง
รูปที่ ๑
จำนวนผู้ป่วยจากไวรัส
COVID-19
ของประเทศสวีเดน
แหล่งที่มาของรูปต่าง
ๆ อยู่ท้ายบทความนี้
ข้อมูลเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนไปทุกวัน
ดังนั้นถ้าเปิดเข้าไปดูแล้วมันไม่เหมือนกับที่ผมเอามาก็ไม่ต้องแปลกใจ
(ผมดึงข้อมูลมาเมื่อเช้าวันนี้)
เริ่มแรกประเดิมที่ประเทศสวีเดนก่อน
ที่มีคนชื่นชมว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีโดยอาศัยความร่วมมือของประชาชน
โดยไม่จำเป็นต้องมีการปิดเมืองหรือร้านค้าต่าง
ๆ รูปที่ ๑
เป็นจำนวนผู้ติดเชื้อแยกตามกลุ่มอายุของประเทศสวีเดน
ส่วนรูปที่ ๒
เป็นจำนวนผู้เสียชีวิตแยกตามกลุ่มอายุเช่นกัน
ถ้าเราพิจารณาใหม่เป็นสองกลุ่ม
คือกลุ่มที่อายุน้อยกว่า
๖๐
ปีหรือกลุ่มที่ยังอยู่ในวัยทำงานซึ่งจัดเป็นกลุ่มคนเสียภาษีให้รัฐ
กับกลุ่มคนที่อายุตั้งแต่
๖๐
ปีขึ้นไปที่เป็นผู้เกษียณแล้วซึ่งเป็นกลุ่มคนผู้รับสวัสดิการจากรัฐ
(ซึ่งเขาก็ควรมีสิทธิ
เพราะก่อนหน้านี้เขาก็ทำงานเสียภาษีเพื่อให้คนที่เกิดทีหลังเขานั้นได้ใช้สิทธิประโยชน์หลายอย่างจากเงินภาษีที่เขาเสีย)
จะเห็นว่าในส่วนของจำนวนผู้ติดเชื้อนั้น
เป็นส่วนของคนกลุ่มอายุต่ำกว่า
๖๐ ประมาณ 48.6%
และกลุ่มคนอายุตั้งแต่
๖๐ ขึ้นไปประมาณ 51.4%
แต่ถ้ามาดูสัดส่วนของผู้เสียชีวิตจะเห็นว่า
จากจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด
เป็นคนในกลุ่มอายุตั้งแต่
๖๐ ขึ้นไปถึง 95%
ในขณะที่คนอายุต่ำกว่า
๖๐ ลงมามีสัดส่วนเพียงแค่
5% เท่านั้น
รูปที่ ๒
จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัส
COVID-19
ของประเทศสวีเดน
ถัดไปเป็นประเทศเยอรมันที่ได้รับคำชมว่าแม้ว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากในระดับเดียวกับกับประเทศขนาดใหญ่ในยุโรปตะวันตก
แต่มีจำนวนผู้เสียชีวิตที่ต่ำกว่ามาก
รูปที่ ๓ แสดงจำนวนผู้ป่วยแยกตามช่วงอายุ
ส่วนรูปที่ ๔
แสดงจำนวนผู้เสียชีวิตแยกตามเพศและช่วงอายุ
จากรูปที่ ๓
จะเห็นว่าในกลุ่มผู้ติดเชื้อนั้นเป็นคนกลุ่มอายุไม่เกิน
๖๐ ปีประมาณ 70%
และเป็นกลุ่มอายุตั้งแต่
๖๐ ปีขึ้นไปประมาณ 30%
แต่พอมาดูสัดส่วนจากจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดในรูปที่
๔ จะเห็นว่า เป็นคนในกลุ่มอายุตั้งแต่
๖๐ ปีขึ้นไปถึง 95.5%
โดยมีคนกลุ่มอายุไม่เกิน
๖๐ ปีเพียงแค่ 4.5%
เท่านั้น
และถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างสวีเดนกับเยอรมัน
จำนวนผู้เสียชีวิตของเยอรมันมากกว่าของสวีเดนประมาณ
2.4 เท่า
แต่จำนวนประชากรของเยอรมันมากกว่าของสวีเดน
8 เท่า
เรียกได้ว่าสวีเดนมีสัดส่วนการเสียชีวิตที่สูงกว่า
รูปที่ ๓
จำนวนผู้ป่วยจากไวรัส
COVID-19
ของประเทศเยอรมัน
รูปที่ ๔
จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัส
COVID-19
ของประเทศเยอรมัน
นิวยอร์คเป็นเมืองใหญ่ที่มีจำนวนประชากรมากกว่าบางประเทศเสียอีก
แถมยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากด้วย
รูปที่ ๕ เป็นตัวเลขอัตราส่วนการเสียชีวิตต่อประชากร
๑๐๐,๐๐๐
คนแยกตามกลุ่มช่วงอายุ
จะเห็นว่าในส่วนของกลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงานนั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่เกษียณอายุแล้ว
และต่ำกว่าของค่าเฉลี่ยทั้งเมืองอีก
อันที่จริงของสหรัฐอเมริกาเขามีการแยกตามสีผิวอีก
ซึ่งมีรายงานว่าสัดส่วนการเสียชีวิต
(คิดต่อจำนวนประชากร
๑๐๐,๐๐๐
คน)
ของคนผิวสีนั้นสูงกว่าของคนผิวขาวมาก
รูปที่ ๕
อัตราส่วนการชีวิตจากไวรัส
COVID-19 ต่อประชากร
๑๐๐,๐๐๐
คนของเมืองนิวยอร์ค
คำว่า
United Kingdom
มันเป็นการรวมกันระหว่าง
Great Britain และ
Northern Ireland
ในส่วนของ Great
Britain เองก็ประกอบด้วย
England, Scotland
และ Wales
เรียกว่าเป็นการรวมกลุ่มประเทศแบบแปลก
ๆ คือเวลาส่งทีมฟุตบอลแข่งขันก็จะแยกประเทศกันส่ง
แต่พอส่งแข่งกีฬาแบบโอลิมปิกกลับรวมกันส่ง
แม้แต่ข้อมูลสถานการณ์
COVID-19
ก็ยังแยกกันระหว่าง
England + Wales กับ
Scotland
ดังเช่นข้อมูลในรูปที่
๖ ที่แยกสัดส่วนผู้เสียชีวิตจากโรค
COVID-19
ตามเพศและช่วงอายุ
จากกราฟจะเห็นได้ชัดว่าประมาณ
80%
หรือมากกว่าของผู้เสียชีวิตนั้นเป็นคนกลุ่มที่เกษียณอายุแล้ว
ช่วงที่ผ่านมาเวลาดูข่าวช่อง
BBC World Service
เวลาที่เขารายงานจำนวนผู้เสียชีวิต
เขาก็จะมีหมายเหตุเล็ก ๆ
อยู่ที่ด้านล่างของจอว่า
ไม่รวมจำนวนผู้เสียชีวิตที่
Nursing home
ที่เป็นสถานรับดูแลคนชรา
คือนอนป่วยตายที่นั่น
ไม่ได้มาตายที่โรงพยาบาล
ก็เลยไม่ถูกนับรวมเอาไว้
รูปที่ ๖
จำนวนผู้เสียชีวิตจาก
COVID-19 ใน
England และ
Wales (คือไม่รวม
Scotland)
หนังสือพิมพ์
New York Times
มีการวิเคราะห์ข้อมูลในอีกรูปแบบหนึ่ง
(รูปที่
๗ และ ๘)
คือไปดูว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปี
จำนวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยของแต่ละประเทศและบางเมืองเป็นเท่าใด
และนำมาเปรียบเทียบกับของปีปัจจุบัน
ซึ่งควรมีค่าประมาณค่าเฉลี่ยบวกกับผู้เสียชีวิตจาก
COVID-19
ถ้าสองตัวเลขนี้รวมกันแล้วเท่ากันหรือใกล้เคียงกันก็แสดงว่าตัวเลขรายงานผู้เสียชีวิตจาก
COVID-19
ของประเทศนั้นใกล้เคียงกับความเป็นจริง
แต่ถ้าพบว่าต่างกันมาก
คือไปในแนวโน้มที่ว่าแม้ว่าหักตัวเลขผู้เสียชีวิตจาก
COVID-19 ออกไปแล้ว
ค่าที่ได้ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยอยู่มาก
นั่นแสดงว่าอาจมีการเสียชีวิตจาก
COVID-19
แต่ไม่ได้ถูกนำมารวมไว้
รูปที่ ๗
จำนวนผู้เสียชีวิต (จากทุกสาเหตุ)
ของบางประเทศและบางเมือง
(ที่จำนวนประชากรอาจอยู่ในระดับเดียวกันหรือมากกว่าของประเทศเล็ก
ๆ อีก)
นับจากต้นปีที่ผ่านมา
เทียบกับค่าเฉลี่ยของช่วงเวลาเดียวกัน
รูปที่ ๘
ผลต่างระหว่างจำนวนผู้เสียชีวิตที่มีรายงานเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย
กับจำนวนผู้เสียชีวิตจาก
COVID-19
ถ้ามีค่าออกมาเป็นบวกมากก็แสดงว่ามีความเป็นไปได้ที่มีการเสียชีวิตจาก
COVID-19
ที่ไม่ได้ปรากฏในรายงานที่เป็นทางการ
(เช่นการเสียชีวิตภายในบ้านหรือบ้านพักคนชรา
รูปที่
๙ เป็นกรณีของประเทศฝรั่งเศส
เป็นสัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อ
ผู้ป่วยหนัก และผู้เสียชีวิต
แยกตามช่วงอายุ
จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดนั้นจะเห็นได้ว่าผู้มีอายุตั้งแต่
๖๔ ปีขึ้นไปมีสัดส่วนในกลุ่มนี้เพียงแค่ประมาณ
30%
แต่คนกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงกว่า
90%
ในส่วนของผู้เสียชีวิต
ในขณะที่คนที่กำลังอยู่ในวัยรุ่นหรือวัยกลางคน
(กลุ่มอายุ
15-44 ปี)
มีสัดส่วนในส่วนของผู้เสียชีวิตเพียงแค่
1% เท่านั้นเอง
รูปที่ ๙
สัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อ
ผู้ป่วยหนัก และผู้เสียชีวิต
แยกตามช่วงอายุ ของประเทศฝรั่งเศส
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วมีเพื่อนผมคนหนึ่งตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้
Herd Immunity
หรือภูมิคุ้มกันหมู่มาจัดการกับ
COVID-19
คือปล่อยให้คนดำเนินชีวิตไปตามปรกติ
แล้วให้เชื้อโรคมันจัดการกับผู้ที่อ่อนแอ
สังคมก็จะเหลือแต่ผู้ที่แข็งแรง
และก็ได้ยกกรณีของประเทศสวีเดนขึ้นมา
ซึ่งผมก็ได้ให้ความเห็นของผมไปดังข้อความข้างล่าง
วันนี้ก็เลยจะขอบันทึกข้อความดังกล่าวเอาไว้เสียหน่อย
"ถ้าอัตราการตายเป็นแบบกระจายแบบทั่วถึงสำหรับทุกช่วงอายุ
(คือจะเด็ก
วัยรุ่น คนทำงาน คนแก่
ก็มีโอกาสตายเท่ากันหมด)
ก็น่าสงสัยว่าประเทศที่บอกว่าจะใช้วิธี
herd immunity
จะเลือกใช้วิธีนี้หรือเปล่า
เพราะมันก็มีมุมมองที่แม้ว่านักการเมืองจะไม่พูด
แต่ก็ห้ามไม่ให้คิดไม่ได้เช่นกัน
ในกรณีปัจจุบันดูเหมือนว่าในประเทศเหล่านั้นผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นผู้ที่อยู่ในบ้านพักคนชรา
ที่ถ้ามองในแง่ของรัฐบาลแล้วก็คือพวกที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับสังคม
เพราะไม่มีการทำงานเสียภาษีให้รัฐ
แต่เป็นภาระที่รัฐต้องเอาเงินภาษีเลี้ยงดูไปจนกว่าจะตาย
การลดจำนวนคนกลุ่มนี้ลงได้ด้วยวิธีการแบบเนียน
ๆ เช่นในขณะนี้
ก็จะช่วยรัฐประหยัดงบประมาณในอนาคตไปได้มาก
ถ้ามองในแง่ของคนชราที่ไม่ได้มีปากเสียงอะไรเลย
เพราะไม่เห็นสำนักข่าวต่างชาติอันไหนเลยไปทำข่าวว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร
เขาก็คงคิดในใจว่าตอนเขายังแข็งแรง
เขาทำงานเสียภาษีให้รัฐเพื่อให้เด็ก
ๆ ได้เรียนได้เติบโตในสังคมที่มีคุณภาพ
แต่พอเขาแก่ขึ้นมา
เด็กเหล่านั้นกลายเป็นผู้ใหญ่
เขากลับถูกเด็กเหล่านี้มองว่าเป็นพวกไม่มีประโยชน์ต่อสังคม
เป็นภาระให้ต้องเลี้ยงดู
บางครั้งความสัมพันธ์ในสังคมระหว่างคนต่างช่วงอายุ
ก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกวิธีการได้นะ"
แหล่งที่มาของข้อมูล
Sweden
:
Germany
:
New
York :
France
:
England
and Wales :
New
York Times :
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น