ตอนแรกที่เลือกขับรถตามเส้นทางสายแม่สอด-แม่สะเรียงก็คิดเพียงแค่ว่าอยากจะขอชมภูมิประเทศและการใช้ชีวิตของคนไทยที่อยู่ตามแนวชายแดน
ตอนออกเดินทางไปก็ไม่ได้มีการวางแผนค้นหาว่าเส้นทางนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง
เรียกว่าไปหาข้อมูลที่นั่นกันเอง
ช่วงที่จะออกจากท่าสองยางไปแม่สะเรียงนั้น
เห็นมีหมู่บ้านชื่อ
"บ้านแม่สามแลบ"
อยู่ที่ชายแดนไทย-พม่า
ติดแม่น้ำสาละวิน
เดินทางไปได้ตามทางหลวงสาย
๑๑๙๔ แต่ที่แปลกใจก็คือถนนนี้มันไปเริ่มจาก
อ.แม่สะเรียง
แล้วทำไมมันจึงต้องวิ่งย้อนลงใต้มาราว
ๆ ๒๐ กิโลเมตร ก่อนจะหักไปทางตะวันตกอีกประมาณ
๒๐ กิโลเมตร
แต่พอขับรถไปถึงแถวนั้นจึงได้คำตอบว่าเป็นเพราะว่ามันมีลำน้ำยวมขวางกั้นอยู่ระหว่างทางหลวงสาย
๑๑๙๔ และทางหลวงสาย ๑๐๕
อันที่จริงถ้าขับรถขึ้นมาจากทาง
อ.ท่าสองยาง
บริเวณ อ.สบเมย
ก็จะมีป้ายบอกทางแยกไปบ้านแม่สามแลบได้โดยไม่ต้องขึ้นไปยัง
อ.แม่สะเรียงก่อน
และเหนือ อ.สบเมย
ขึ้นไปหน่อยบริเวณบ้านผาผ่าก็จะมีทางแยกไปบ้านแม่สามแลบได้เช่นกัน
แต่ในเดือนที่แล้วที่ผมเดินทางไปนั้น
สะพานข้ามแม่น้ำของถนนเส้นนี้ปิดซ่อมแซม
ตอนขับกลับจากบ้านแม่สามแลบจะไปแม่สอดก็เลยต้องย้อนขึ้นไปทางแม่สะเรียงก่อน
เรียกว่าต้องขับรถอ้อมร่วม
๔๐ กิโลเมตร
วันที่เดินทางไป
(พุธ
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘)
ถนนสาย
๑๑๙๔ นี้เป็นทางลาดยางขับรถได้สบาย
ๆ ประมาณ ๒๐ กิโลเมตรเศษ
(คือช่วงจากแม่สะเรียงวิ่งลงใต้)
แต่พอเริ่มหักออกไปทางตะวันตกก็จะได้พบกับสภาพการผจญภัยของถนนในอดีต
คือมีบางช่วงที่ทำการขยายแล้ว
บางช่วงที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างขยายเส้นทาง
และบางช่วงที่ยังคงสภาพเดิม
ๆ และยังพบเห็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ากำลังปักเสาไฟฟ้าข้างทาง
เรียกว่าเดิมนั้นหมู่บ้านแถวนี้คงยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง
รูปที่
๒ บรรยากาศข้างทางบางช่วงของทางหลวงสาย
๑๑๙๔ รูปนี้เป็นช่วงใกล้ถึงบ้านแม่สามแลบ
ถนนเส้นนี้อยู่ระหว่างการขยายเส้นทาง
และการปักเสาไฟฟ้า
ด้านหนึ่งของถนนเป็นร่องน้ำลึก
แต่น้ำแห้งขอด
รูปที่
๓ แม่น้ำสาละวินมองขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ
ฝั่งซ้ายคือประเทศพม่า
หมู่บ้านแม่สามแลบอยู่ข้างล่าง
ถ่ายจากจุดชมวิวที่อยู่บนถนนเชื่อมไปยังบ้านห้วยแห้ง.
รูปที่
๔ ถ่ายไว้เป็นที่ระลึกกับป้ายบอกทางไปยังบ้านห้วยแห้ง
หมู่บ้านนี้ไม่มีปรากฏในแผนที่ที่ผมมี
ถนนเส้นนี้ก็ไม่มีปรากฏ
เป็นถนนคอนกรีตที่ทางทหารสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อหมู่บ้านชายแดน
รูปที่
๕ สถาพทางเป็นถนนคอนกรีตอย่างดี
แต่ใต้พื้นถนนบางจุดดินทรุดมาก
จนพื้นถนนนั้นเหมือนกับลอยอยู่เฉย
(ตรงลูกศรสีเหลืองชี้)
ผมขับรถไปได้สักสองกิโลก็วนกลับ
รูปที่
๖ เส้นทางเข้าบ้านแม่สามแลบจะแยกจากถนนลงสู่ฝั่งแม่น้ำข้างล่าง
แยกลงมาได้ไม่กี่เมตรก็เจอทางแบบนี้
ต้องจอดรถลงมาดูความลึกของน้ำและความแข็งของพื้นดิน
ก่อนจะตัดสินใจขับรถลุยผ่านไป
รูปที่
๗
ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยบริเวณสวนสาธารณะริมแม่น้ำที่อยู่เหนือฝั่งแม่น้ำทางไปลงท่าเรือ
ภาพนี้ถ่ายมองขึ้นไปทางทิศเหนือ
รูปที่
๘ ถนนบริเวณทางลงท่าเรือ
ถ่ายหน้าบริเวณทางเดินลงไปทางเรือ
รูปนี้มองไปทางทิศเหนือ
รูปที่
๙ ถนนเส้นเดียวกันกับรูปที่
๘ แต่หันมองไปทางทิศใต้แทน
(ปากทางเข้าหมู่บ้าน)
ป้อมเขียว
ๆ ทางด้านขวาคือที่ทำการของทหารพราน
ส่วนอาคารทางด้านซ้ายคือที่พักสำหรับผู้ที่จะมาลงเรือ
ก่อนจะถึงบริเวณนี้ริมถนนจะมีร้านขายของชำและร้านอาหารตามสั่งของชาวบ้านอยู่
รูปที่
๑๐ ทหารพรานประจำป้อมยาม
นำอาวุธปืนมาตรวจสอบความพร้อมใต้ร่มไม้
โดยมีแม่น้ำสาละวินอยู่ข้างล่าง
แผนที่ทางหลวงประเทศไทยฉบับปี
๒๕๓๕ (รูปที่
๕ ใน Memoir
ฉบับที่
๙๙๓ วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม
๒๕๕๘ เรื่อง "แม่สอด-แม่สะเรียงเรื่องของเส้นทางสาย ๑๐๕")
ระบุไว้ว่าทางหลวงสาย
๑๑๙๔ นี้ ๒๐ กิโลเมตรแรกเป็นถนนลาดยาง
ช่วงที่เหลือไปยังบ้านแม่สามแลบนั้นเป็นถนนลูกรัง
(จนถึงปัจจุบันบางช่วงก็ยังเป็นเช่นนั้น)
ถนนเส้นนี้ดูเหมือนจะมีรถสองแถววิ่งรับส่งคนเข้าออกตลอดเวลา
ช่วง ๒๐ กิโลเมตรสุดท้ายเป็นช่วงที่ตัดผ่านภูเขา
ด้านหนึ่งของถนนเป็นภูเขาและอีกด้านหนึ่งเป็นเหว
ทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ต้องดูเอาเอง
ไม่มีป้ายบอกอะไร
เว้นแต่หลักกิโลเมตรที่บอกว่าขับมาแล้วกี่กิโลและอีกกี่กิโลจะถึงปลายทาง
ถนนสาย ๑๑๙๔ นี้จะมาสุดทางที่ทางเข้าบ้านแม่สามแลบ
โดยสุดเส้นทางนั้นยังคงเป็นทางบนเขา
ถ้าจะเข้าบ้านแม่สามแลบต้องแยกซ้ายลงไปยังริมฝั่งแม่น้ำที่อยู่ต่ำไปเบื้องล่าง
ส่วนที่ว่าต่ำลงไปแค่ไหนก็ลองดูจากในรูปที่
๓ ก็แล้วกัน
และทางเข้าหมู่บ้านเป็นอย่างไรนั้นก็ดูเอาเองในรูปที่
๖
ตอนแรกก็ขับรถเลยขึ้นไปตามถนนบนเขาก่อน
ไปชมวิวทิวทัศน์แม่น้ำสาละวินจากบนเขา
ปรากฏว่ามีถนนเพิ่มเติมจากบ้านแม่สามแลบต่อไปยังบ้านห้วยแห้งอีก
เป็นถนนที่ทหารสร้างเอาไว้
พื้นถนนเป็นคอนกรีตอย่างดี
แต่ใต้พื้นถนนนี่ซิ
บางจุดดินทรุดจนมองเห็นว่าถนนมันลอยอยู่บนอากาศเฉย
ๆ (รูปที่
๕)
ผมขับไปตามเส้นทางนี้ได้ประมาณ
๒ กิโลเมตรก็ตัดสินใจขับรถกลับ
เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าขับเลยไปมากกว่านี้จะมีที่กลับรถหรือไม่
เพราะสภาพสองข้างทางของถนนมันเป็นแบบที่นำมาให้ดูในรูปที่
๕
หลุดจากไหล่ทางเมื่อใดก็มีหวังหายไปข้างล่างแบบที่ไม่มีใครรู้เรื่องแน่
ทันทีที่ขับรถลงจากปากทางเข้าบ้านแม่สามแลบ
ก็เจอบททดสอบทันที
คือถนนเส้นนี้มันตัดผ่านร่องน้ำ
และช่วงที่ต่ำสุดของถนนมันก็โดนน้ำซัดขาด
(รูปที่
๖)
ตอนแรกก็ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะไปต่อดีไหม
แต่ไหน ๆ ก็เห็นว่าอุตส่าห์ขับรถมาถึงที่นี้แล้ว
ก็เลยขอลงไปตรวจดูความลึกของน้ำและความแข็งของดินซะหน่อย
พบว่าพื้นดินตรงนั้นแข็งตัวดี
ดูจากรอยรถปิ๊คอัพที่วิ่งผ่านไปมานั้นไม่ทำให้ดินยุบ
และระดับน้ำก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากระดับน้ำท่วมขังบนถนนในกรุงเทพหลังฝนตกหนัก
ก็เลยตัดสินใจขับรถลุยเข้าไป
ซึ่งก็พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด
ถนนเข้าหมู่บ้านมันดูเล็ก ๆ แต่ภายในเป็นหมู่บ้านใหญ่ ไม่มีบ้านไหนปลูกต่ำใกล้แม่น้ำ จะปลูกอยู่บนตลิ่งที่สูง นั่นคงเป็นเพราะระดับน้ำที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากระหว่างฤดูแล้งกับฤดูฝน หมู่บ้านนี้อยู่ทางด้านใต้ของอุทยานแห่งชาติป่าสาละวน และดูเหมือนว่าจะเป็นจุดที่เป็นท่าเรือใช้ในการเดินทางไปยังหมู่บ้านอื่นที่อยู่ริมแม่น้ำสาละวิน (ที่ถนนเข้าไปไม่ถึง)
ถนนเข้าหมู่บ้านมันดูเล็ก ๆ แต่ภายในเป็นหมู่บ้านใหญ่ ไม่มีบ้านไหนปลูกต่ำใกล้แม่น้ำ จะปลูกอยู่บนตลิ่งที่สูง นั่นคงเป็นเพราะระดับน้ำที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากระหว่างฤดูแล้งกับฤดูฝน หมู่บ้านนี้อยู่ทางด้านใต้ของอุทยานแห่งชาติป่าสาละวน และดูเหมือนว่าจะเป็นจุดที่เป็นท่าเรือใช้ในการเดินทางไปยังหมู่บ้านอื่นที่อยู่ริมแม่น้ำสาละวิน (ที่ถนนเข้าไปไม่ถึง)
ผมก็เพิ่งจะรู้ตอนที่ไปถึงที่โน่นว่าที่นั่นก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวแหล่งหนึ่ง
มีนักท่องเที่ยวที่มาใช้ท่าเรือที่นี่เพื่อนั่งเรือไปพักแรมที่หมู่บ้านอื่นที่อยู่ริมแม่น้ำสาละวิน
ตอนขากลับออกมาก็เห็นมีรถตู้หลายคันมาจอดรอนักท่องเที่ยวกลับจากไปค้างแรมและยังมีที่วิ่งสวนเข้ามาอีก
ส่วนเขาไปค้างแรมกันที่ไหนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน
ก่อนออกจากแม่สะเรียง
ช่วงเช้าภรรยาก็แวะไปตลาดในตัวอำเภอ
ซื้อของกินหลายอย่างมาติดรถไว้
เพราะไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ไปถึงริมแม่น้ำแวะพักกินข้าวเที่ยงกันก็บ่ายโมงแล้ว
เดินทางไปกันสามคน มีผม
ภรรยา และลูกคนเล็ก
(ลูกคนโตไปญี่ปุ่น)
จอดรถใต้ร่มเงาไม้เหนือบริเวณศาลาพักผ่อนริมน้ำ
แล้วก็นั่งกินข้าวกันข้างรถนั่นแหละ
รถคันอื่นผ่านไปมาคนในรถเขาก็หันมามอง
คงเป็นเพราะสงสัยมั้งว่ามันเข้ามาได้อย่างไร
เพราะเป็นรถเก๋งคันเดียวที่นั่น
และสภาพเส้นทางนั้นเขาคงคิดว่ามีแต่รถปิ๊คอัพเท่านั้นที่เข้ามาได้
นั่งพักผ่อนอยู่ชั่วโมงนึงก็ขับรถกลับ
เพราะวางแผนไว้ว่าคืนนั้นจะกลับไปนอนกันที่แม่สอดก่อนเข้ากรุงเทพ
ตามแผนที่ที่เห็นนั้น
ลำน้ำเมยที่มาจาก อ.แม่สอด
จะไหลขึ้นเหนือมาบรรจบกับแม่น้ำสาละวินที่
อ.
สบเมย
ดังนั้นพรมแดนไทย-พม่าช่วงนี้จึงมีแม่น้ำเมย-สาละวินเป็นเส้นแบ่งกั้น
แต่อาจเป็นเพราะความไม่สงบในฝั่งตรงข้าม
ทำให้บริเวณนี้จึงยังเงียบสงบอยู่
เหมาะแก่การไปพักผ่อนหาที่สงบเงียบที่ไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวไปส่งเสียงดังยามค่ำคืน
เขียน
Memoir
มาเดือนหน้าก็จะครบ
๗ ปีแล้ว
นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะลากมาได้จนถึงฉบับนี้ที่เป็นฉบับที่
๑๐๐๐ รวมที่เขียนมาทั้งสิ้น
(รวมฉบับนี้ด้วย)
ก็ปาเข้าไปตั้ง
๔๑๒๙ หน้ากระดาษ A4
ซึ่งตัวเลขนี้ไม่รวมจำนวนหน้าของเอกสารแนบ
ยังสงสัยเหมือนกันว่าตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่จะเขียนไปได้ยาวเท่าใด
เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้
รูปที่
๑๑ แผนที่ทหารที่จัดทำโดยใช้ข้อมูลในปีพ.ศ.
๒๕๐๐
ไม่ปรากฏชื่อบ้านแม่สามแลบ
แต่ปรากฏชื่อหลายหมู่บ้านบริเวณดังกล่าวและมีการระบุว่ามีท่าเรือข้ามฟาก
(Ferry
ตรงที่ขีดเส้นเหลือง)
อยู่บริเวณนั้น
ฝั่งด้านประเทศพม่ายังระบุว่าเป็นรัฐกระเหรี่ยง
(KAREN
STATE)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น