Memoir
ฉบับนี้จะเรียกว่าเป็นฉบับต่อจากฉบับเมื่อวันอังคารที่
๒๐ ที่ผ่านมาก็ได้
เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัสดุรูพรุนที่มีพื้นที่ผิวสูง
โดยพื้นที่ผิวที่สูงนั้นเป็นส่วนของ
mesopore
(รูพรุนขนาดกลาง)
ในการจำแนกขนาดรูพรุนนั้น
ตามนิยามของ IUPAC
จะแบ่งออก
๓ ขนาดด้วยกันคือ รูพรุนขนาดเล็กหรือ
micropore
คือเป็นรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูพรุนต่ำกว่า
2.0
nm ถัดขึ้นมาคือรูพรุนขนาดกลางหรือ
mesopore
คือเป็นรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูพรุนอยู่ช่วงจาก
2
- 50 nm และรูพรุนขนาดใหญ่หรือ
macropore
คือเป็นรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูพรุนใหญ่กว่า
50
nm
รูปที่ ๑ และ ๒ เป็นไอโซเทอมการดูดซับของ BET โดยใช้แก๊สไนโตรเจนที่นำมาจากบทความที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่สองบทความด้วยกัน อยากให้ลองพิจารณากันเองก่อน
รูปที่ ๑ และ ๒ เป็นไอโซเทอมการดูดซับของ BET โดยใช้แก๊สไนโตรเจนที่นำมาจากบทความที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่สองบทความด้วยกัน อยากให้ลองพิจารณากันเองก่อน
รูปที่
๑ ไอโซเทอมการดูดซับของ
BET
โดยใช้แก๊สไนโตรเจน
(ตัวอย่าง
NHPC)
นำมาจากบทความเรื่อง
"Biomass-derived
nitrogen-doped hierarchically porous carbon networks as efficient
absorbents for phenol removal from wastewater over a wide pH range"
โดย
Wenyi
Du, Junting Sun, Yongxi Zan, Zhengping Zhang, Jing Ji,ab Meiling Dou
และFeng
Wang ตีพิมพ์ในวารสาร
RSC
Advances., vol 7 ปีค.ศ.
2017 หน้า
46629
- 46635 คณะผู้วิจัยรายงานว่าตัวอย่างนี้มีพื้นที่ผิวของ
micropore
1072 m2/g พื้นที่ผิวรวม
2687
m2/g โดยรูพรุนเป็นชนิด
micropore
1-2 nm และ
interconnected
open mesopore ขนาด
2-6
nm และ
macropore
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
50-200
nm
รูปที่
๒ ไอโซเทอมการดูดซับของ
BET
โดยใช้แก๊สไนโตรเจน
นำมาจากบทความเรื่อง "Biomass
derived hard carbon used as a high performance anode material for
sodium ion batteries" โดย
Kun-lei
Hong, Long Qie, Rui Zeng, Zi-qi Yi, Wei Zhang, Duo Wang, Wei Yin,
Chao Wu, Qing-jie Fan, Wu-xing Zhang และ
Yun-hui
Huang ในวารสาร
Journal
of Materials Chemistry A vol. 2 ปีค.ศ.
2014 หน้า
12733
- 12738 ตัวอย่างนี้คณะผู้วิจัยรายงานว่ามี
mesopore
ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
4
nm และ
23
nm พื้นที่ผิว
BET
รวม
1272
m2/g
ตัวอย่างในรูปที่
๑ และ ๒ นั้นเป็นตัวอย่างประเภทเดียวกัน
โดยตัวอย่างในรูปที่ ๑
นั้นสามารถดูดซับแก๊สได้เต็มที่ประมาณ
1500
ml/g ส่วนตัวอย่างในรูปที่
๒ นั้นดูดซับแก๊สได้เต็มที่ประมาณ
1100
ml/g หรือประมาณ
73%
ของตัวอย่างในรูปที่
๑ แต่พื้นที่ผิวของตัวอย่างในรูปที่
๒ นั้นมีค่าเพียงแค่ครึ่งเดียวของตัวอย่างในรูปที่
๑
วัสดุที่มีรูพรุนสูงจะสามารถดูดซับแก๊สได้ปริมาตรมากขึ้น
แต่รูพรุนขนาดเล็กจะมีอัตราส่วนพื้นที่ผิวรูพรุนต่อปริมาตรรูพรุนที่สูงกว่า
ในส่วนของรูพรุนขนาดเล็กหรือ
micropore
นั้น
(รูที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่
2
nm ลงไป)
แก๊สจะเข้าไปเต็มรูพรุนได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าค่า
p/p0
จะต่ำมาก
(เช่นต่ำกว่า
0.05)
ดังนั้นถ้าต้องการวัดการกระจายขนาดรูพรุนในช่วงนี้จำเป็นต้องค่อย
ๆ เพิ่มความดันแก๊สในระบบอย่างช้า
ๆ แต่จะทำให้การวิเคราะห์นั้นกินเวลานานมากขึ้น
ไอโซเทอมในรูปที่ ๑
นั้นมีการวิเคราะห์ตรงช่วงนี้
เห็นได้จากการที่กราฟมีจุดจำนวนมากตรงบริเวณ
p/p0
มีค่าใกล้ศูนย์
(ในกรอบสี่เหลี่ยมสีส้ม)
ในกรณีที่ไม่ได้สนใจ
micropore
ก็อาจทำการวิเคราะห์ด้วยการเพิ่มดันที่จุดแรกนั้นให้แก๊สเติมเต็ม
micropore
ไปเลย
ทำให้เห็นจุดแรกของไอโซเทอมอยู่ที่ค่าห่างออกมาจากแกน
p/p0
(กรอบสีส้มในรูปที่
๒)
ในกรณีของของแข็งที่มีพื้นที่ผิวต่ำนั้น
เราจะเห็นปริมาตรของแก๊สที่
micropore
ดูดซับไว้ได้นั้นมีค่าต่ำ
ซึ่งอาจจะเห็นเกือบเป็นศูนย์เลยก็ได้ในกรณีที่วัสดุรูพรุนนั้นมีพื้นที่ผิวต่ำ
(เช่นระดับ
10
m2/g หรือต่ำกว่า)
แต่ถ้าเป็นของแข็งที่มีพื้นที่ผิวสูงขึ้น
(เช่นระดับ
100
- 500 m2/g) เราก็จะเห็นปริมาตรของแก๊สที่
micropore
ดูดซับไว้ได้นั้นมีค่าสูงขึ้น
(เช่นระดับหลายสิบหรือเข้าสู่หลักร้อย
ml/g)
และถ้าเป็นของแข็งที่มีพื้นที่ผิวสูง
(เช่นระดับ
1000
m2/g) เราก็จะเห็นปริมาตรของแก๊สที่
micropore
ดูดซับไว้ได้นั้นมีค่าสูงมากขึ้นไปอีก
(เช่นระดับหลายร้อย
ml/g)
มีบางครั้งเหมือนกันที่แม้ว่าของแข็งมีรูพรุนนั้นจะมี
micropore
แต่ในการเกิดปฏิกิริยานั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจการมีอยู่ของมัน
เช่นในกรณีที่สารตั้งต้นนั้นมีขนาดโมเลกุลใหญ่จนยากที่จะแพร่เข้าหรือไม่สามารถแพร่เข้าไปใน
micropore
ได้
ในกรณีเช่นนี้พื้นที่ผิวเฉพาะส่วนของ
mesopore
จะมีความสำคัญมากกว่าเพราะเป็นส่วนที่โมเลกุลสารตั้งต้นสามารถแพร่เข้าไปได้
แต่การวัดพื้นที่ผิวด้วยเทคนิค
BET
นั้นเราจะวัดได้แต่ค่าพื้นที่ผิวของ
micropore
และพื้นที่ผิวรวม
ดังนั้นถ้าอยากทราบพื้นที่ผิวเฉพาะส่วนของ
mesopore
เราก็ยังต้องวัดพื้นที่ผิวของส่วนที่เป็น
micropore
อยู่ดี
เพื่อที่จะได้เอาค่านี้ไปหักจากพื้นที่ผิวรวมเพื่อให้ได้ค่าพื้นที่ผิวเฉพาะส่วนของ
mesopore
ถ้าพิจารณาพื้นที่ผิวในส่วนของ
micropore
ตัวอย่างในรูปที่
๑ นั้นมีปริมาตรส่วนของ
micropore
ประมาณ
450
ml/g และมีพื้นที่ผิว
micropore
ประมาณ
1000
m2/g ส่วนตัวอย่างในรูปที่
๒ นั้นมีปริมาตรส่วนของ
micropore
ประมาณครึ่งเดียวของตัวอย่างในรูปที่
๑ แม้ว่าตัวอย่างในรูปที่
๒ นั้นจะไม่มีการวัดพื้นที่ผิวส่วนของ
micropore
แต่เราก็อาจประมาณได้จากสัดส่วนปริมาตรแก๊สที่
micropore
ดูดซับเอาไว้ได้
(แม้จะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์
แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาก็พบว่าพอจะใช้ประมาณได้)
ว่าตัวอย่างในรูปที่
๒ นั้นน่าจะมีพื้นที่ผิวในส่วนของ
micropore
ประมาณ
500
m2/g ดังนั้นพื้นที่ผิวในส่วน
mesopore
ของตัวอย่างในรูปที่
๒ ก็จะอยู่ที่ประมาณ 700
m2/g หรือประมาณ
40%
ของพื้นที่ผิวในส่วนของ
mesopore
ของตัวอย่างในรูปที่
๑
แต่ถ้าพิจารณาปริมาตรของ
mesopore
จะเห็นว่าปริมาตร
mesopore
ของรูปที่
๒ นั้น (ประมาณ
850
ml/g) อยู่ที่ระดับ
80%
ของปริมาตร
mesopore
ของรูปที่
๑ (ประมาณ
1050
m2/g) นั่นแสดงว่าขนาดของ
mesopore
ของตัวอย่างในรูปที่
๒ นั้นต้องใหญ่กว่าขนาดของ
mesopore
ของตัวอย่างในรูปที่
๑ ซึ่งผลการวิเคราะห์ขนาด
mesopore
ก็เป็นเช่นนั้น
รูปที่
๓ ผลของอุณหภูมิต่อปริมาณฟีนอลที่ดูดซับได้
(qm)
จากบทความในรูปที่
๑
รูปที่
๓ เป็นข้อมูลจากบทความในรูปที่
๑ (จากวารสารที่มี
impact
factor 3.108) ที่มีการนำเอาตัวอย่างเชิงพาณิชย์
(Norit
CGP) มาทดสอบเปรียบเทียบ
โดยทำการวัดปริมาณฟีนอลที่ดูดซับได้ที่อุณหภูมิต่าง
ๆ ตรงนี้มีจุดสังเกตนิดนึงตรงที่ในกรณีของ
Norit
CGP นั้นผู้ทดลองพบว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นจะดูดซับฟีนอลได้มากขึ้น
ในขณะที่ตัวอย่าง NHPC
(ที่เป็นตัวอย่างที่คณะผู้วิจัยสังเคราะห์ขึ้น)
ดูดซับได้น้อยลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
ทั้ง ๆ
ที่ในความเป็นจริงสำหรับปฏิกิริยาการดูดซับที่เกิดได้เองนั้น
(Gibb's
free energy หรือ
ΔG
มีค่าเป็นลบ
และ Heat
of adsorption หรือ
ΔH
นั้นมีค่าเป็นลบ)
ควรจะดูดซับได้น้อยลงที่อุณหภูมิสูงขึ้น
ซึ่งเรื่องผลของอุณหภูมิต่อการดูดซับนี้นี้เคยอธิบายเอาไว้ใน
Memoir
ปีที่
๔ ฉบับที่ ๓๗๕ วันพุธที่ ๑๔
ธันวาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
"อุณหภูมิและการดูดซับ"
เมื่อไปพิจารณาวิธีการทดลองก็พบว่า
ผู้วิจัยใช้วิธีเติม adsorbent
ลงในสารละลายโดยไม่มีการไล่อากาศออกจากรูพรุนก่อน
โดยเฉพาะในส่วนของ micropore
ที่ไล่อากาศออกยาก
ตรงนี้ใครที่เคยวัดพื้นที่ผิว
BET
วัสดุที่มี
micropore
จำนวนมากน่าจะรู้ดีว่าต้องทำสุญญากาศนานแค่ไหนแม้ว่าจะมีการให้ความร้อนช่วยก็ตาม
ทำให้สงสัยเหมือนกันว่าอาจเป็นเพราะตัวอย่าง
Norit
CGP นั้นมี
mesopore
จำนวนน้อยกว่า
NHPC
มาก
การดูดซับส่วนใหญ่จึงเกิดที่
micropore
เป็นหลัก
(ไม่เหมือน
NHPC
ที่เกิดที่
mesopore
เป็นหลัก)
แต่เนื่องจากใน
micropore
มีอากาศค้างอยู่
พื้นที่ผิวที่สัมผัสกับของเหลว
(พื้นที่ผิวจริงที่สามารถทำการดูดซับฟีนอลจากของเหลว)
จึงต่ำกว่าพื้นที่ผิวที่วัดได้อยู่มาก
แต่เมื่อเพิ่มอุณหภูมิการทดลองให้สูงขึ้น
อากาศจะขยายตัวและไหลออกจาก
micropore
ได้ง่ายขึ้น
ของเหลวที่มีความหนืดลดลงตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจึงเข้าไปเติมเต็มรูพรุนได้มากขึ้น
พี้นที่ผิวที่สามารถทำหน้าที่ดูดซับจึงเพิ่มสูงขึ้น
ทำให้เห็นการดูดซับนั้นดีขึ้นที่อุณหภูมิสูง
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูพรุนบอกให้ทราบถึงความยากง่ายในการแพร่เข้า-ออกจากรูพรุน
ปัญหานี้จะเด่นชัดในกรณีของปฏิกิริยาที่เกิดในเฟสของเหลว
เพราะมีทั้งการที่ต้องทำให้แก๊สต่าง
ๆ ที่อยู่ในรูพรุนนั้นออกมาให้ได้ก่อน
เพื่อที่ของเหลวจะไหลเข้าไปในรูพรุนได้
ส่วนพื้นที่ผิวของรูพรุนนั้นบอกให้ทราบถึงความสามารถในการดูดซับสารเอาไว้
ถ้าหากว่าสารนั้นสามารถแพร่เข้าไปในรูพรุนได้
ถือเสียว่าบทความนี้เป็นการยกตัวอย่างมาเพื่อการฝึกการอ่านกราฟและเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ก็แล้วกันครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น