การทำงานของวาล์วระบายความดัน
(Safety
หรือ
Relief
valve) นั้นขึ้นอยู่กับความดันด้านขาออกของวาล์ว
เพราะวาล์วจะเปิดก็ต่อเมื่อผลต่างระหว่างความดันด้านขาเข้าและด้านขาออกนั้นสูงถึงค่าที่ออกแบบไว้
ถ้าความดันในท่อด้านขาออกนั้นสูงกว่าค่าที่ออกแบบไว้
วาล์วจะเปิดก็ต่อเมื่อความดันด้านขาเข้าสูงเกินกว่าความดันที่แท้จริงที่ต้องการให้เปิด
ตัวอย่างเช่นถ้าเราต้องการให้วาล์วเปิดเมื่อความดันในระบบสูงถึง
5
barg โดยด้านขาออกมีความดัน
0
barg (หรือความดันบรรยากาศ)
แต่ถ้าความดันด้านขาออกนั้นสูงกว่า
0
barg เช่นสมมุติให้เป็น
0.2
barg ในกรณีนี้วาล์วจะเปิดเมื่อความดันด้านขาเข้านั้นสูงถึง
5.2
barg
ถ้าเป็นการระบายความดันเข้าสู่ระบบท่อรวม
เช่นท่อ header
ของระบบ
flare
ที่มีท่อระบายความดันจากวาล์วระบายความดันหลายตัวต่อเชื่อมเข้ามายังท่อหลักเดียวกัน
เพื่อนำแก๊สที่ระบายออกมาไปเข้าสู่ระบบกำจัดก่อนที่จะปล่อยออกสู่บรรยากาศนั้น
ผลของความดันด้านขาออกมักจะถูกรวมเอาไว้ในการคำนวณอยู่แล้ว
เพราะตัวระบบกำจัดเองก็ทำให้เกิดแรงต้านการไหล
และการระบายความดันจากวาล์วระบายความดันหลาย
ๆ ตัวพร้อมกัน
(เช่นในกรณีเพลิงไหม้หรือต้องหยุดเดินเครื่องฉุกเฉิน)
ก็จะทำให้ความดันในท่อ
header
นี้สูงกว่าความดันบรรยากาศ
และปัจจัยเหล่านี้มักจะถูกรวมเอาไว้ในการคำนวณเพื่อหาขนาดที่เหมาะสมของวาล์วอยู่แล้ว
รูปที่
๑
ตัวอย่างการติดตั้งวาล์วระบายความดันโดยระบายออกสู่บรรยากาศโดยตรง
(พวกถังเก็บอากาศหรือแก๊สไม่อันตราย
(เช่นไนโตรเจน)
หรือระบบท่อไอน้ำ
มักจะเป็นแบบนี้
ในกรณีเช่นนี้ควรต้องคำนึงถึงโอกาสที่จะมีไอน้ำควบแน่นสะสมในท่อระบายด้านขาออกของวาล์ว
และมักจะมีการเจาะรูเล็ก
ๆ ที่ตัดต่ำสุด (ในกรอบสี่เหลี่ยมเส้นประ)
เพื่อระบายน้ำที่อาจสะสมในระบบท่อออกไป
(รูปจาก
http://www2.spiraxsarco.com/resources/steam-engineering-tutorials/safety-valves/safety-valve-installation.asp)
แต่ก็มีหลายกรณีด้วยกันที่การระบายความดันนั้นระบายออกสู่บรรยากาศโดยตรง
กรณีเช่นนี้มักใช้กับการระบายความดันจากระบบกักเก็บสารที่ไม่เป็นอันตราย
ที่เห็นได้ชัดทั่วไปในโรงงานคือถังเก็บอากาศและระบบไอน้ำ
สิ่งที่ทำก็คือหันท่อทางออกนั้นไปในทิศทางที่ปลอดภัย
แต่ก็มีบางกรณีเหมือนกันสำหรับสารที่เป็นเชื้อเพลิง
เช่นวาล์วระบายความดันจากถังลูกโลก
(spherical
tank) ที่ใช้เก็บแก๊สปิโตรเลียมเหลม
(LPG)
ที่มีการระบายออกสู่บรรยากาศโดยตรง
แต่นั้นเป็นกรณีเมื่อมีเหตุการณ์ไฟไหม้ลุกครอกถังดังกล่าว
ในกรณีเช่นนี้การยอมให้มีการระบายแก๊สนั้นออกสู่บรรยากาศโดยตรง
(ซึ่งแก๊สที่ออกมาก็จะลุกติดไฟตรงปากทางออก)
ถือว่าปลอดภัยว่าการปล่อยให้ความดันในถังสูงขึ้นจนถังระเบิด
การออกแบบระบบระบายกรณีนี้เรียกว่า
Fire
relief ซึ่งมีแนวความคิดที่แตกต่างไปจาก
Pressure
relief ในขณะใช้งานตามปรกติ
ท่อระบายความดันออกสู่บรรยากาศนั้นไม่มีปัญหาเรื่องความดันบรรยากาศเพิ่มขึ้นจนส่งผลให้ความดันด้านขาออกของวาล์วระบายความดันนั้นสูงจนส่งผลกระทบต่อการทำงานของวาล์วระบายความดัน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสที่ความดันด้านขาออกของวาล์วระบายความดันจะสูงจนส่งผลกระทบต่อการทำงานของวาล์วระบายความดัน
มันมีอยู่เหมือนกัน
นั่นคือเมื่อมี "ของเหลว"
โดยเฉพาะ
"น้ำ"
สะสมอยู่ในท่อทางออกของวาล์วระบายความดัน
วาล์วระบายความดันนั้นจะติดตั้งโดยท่อทางเข้านั้นไหลขึ้นในแนวดิ่ง
และท่อทางออกไหลออกในแนวนอนตั้งฉากกับทิศทางไหลเข้า
การออกแบบท่อทางออกนี้ต้องคำนึงไม่ให้น้ำมีโอกาสสะสมในท่อได้
น้ำที่สะสมนี้อาจเป็นน้ำฝน
(ถ้าติดตั้งนอกอาคาร)
หรือน้ำที่เกิดจากการควบแน่นของไอน้ำในอากาศ
(ตามฤดูกาล)
หรือน้ำที่เกิดจากการระบายความดัน
(เช่นในระบบไอน้ำ)
รูปที่
๒ วาล์วระบายความดันของระบบท่อไอน้ำระบบหนึ่ง
เป็นการระบายออกสู่บรรยากาศ
ตอนที่ถ่ายรูปนั้นระบบอยู่ระหว่างการติดตั้ง
ก็เลยยังไม่มีการเจาะรูสำหรับระบายไอน้ำควบแน่นที่อาจสะสมในท่อทางออกได้
ส่วนเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วจะช่างจะทำการเจาะรูหรือไม่นั้นก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าตำแหน่งวาล์วระบายความดันนั้นอยู่สูงพอ
(เรียกว่าไม่อยู่ในระดับที่คนเดินผ่านไปผ่านมา)
ท่อทางออกก็จะเดินออกไปข้าง
ๆ ได้โดยตรง โดยอาจให้มีความลาดเอียงเล็กน้อย
เพื่อให้ของเหลว (ถ้าเกิดขึ้นในท่อ)
ไหลออกทางปลายท่อ
แต่ถ้าจำเป็นต้องยกปลายด้านขาออกให้สูงขึ้นเพื่อให้ปลายท่อนั้นระบายความดันออกไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัย
ในกรณีหลังนี้จำเป็นที่ต้องพิจารณาตำแหน่งที่ของเหลวสามารถสะสมได้ในระบบท่อ
และต้องหาทางระบายของเหลวดังกล่าวออก
(ถ้ามีการสะสมเกิดขึ้น)
และวิธีการทั่วไปที่กระทำกันก็คือ
"การเจาะรูระบายเล็ก"
ไว้ตรงตำแหน่งต่ำสุดของท่อนั้น
รูปที่
๓ อีกตัวอย่างการติดตั้งวาล์วระบายความดันที่ระบายออกสู่บรรยากาศ
ในกรณีนี้จะเจาะรูระบายของเหลวที่ตำแหน่งต่ำสุดของข้องอ
(ในกรอบสี่เหลี่ยมประ)
(รูปจาก
http://www.pipingguide.net/2010/08/piping-layout.html)
รูปที่
๑ และ ๓ เป็นตัวอย่างการเจาะรูระบายของเหลวที่อาจสะสม
โดยในรูปที่ ๑ นั้นจะมีท่อสั้น
ๆ ต่อออกมาจากวาล์วระบายความดันก่อนที่จะเข้าข้องอ
ดังนั้นในกรณีนี้จะทำการเจาะรูตรงท่อสั้น
ๆ เส้นนั้น ส่วนในรูปที่ ๓
นั้นเป็นการต่อข้องอโดยตรงกับด้านขาออกของวาล์วระบายความดัน
ในกรณีนี้จำเป็นต้องเจาะรูระบายไว้ที่ตัวข้องอ
รูปที่ ๒
เป็นตัวอย่างการติดตั้งจริงของโรงงานแห่งหนึ่งที่ผมไปถ่ายรูปมา
เป็นวาล์วระบายความดันของระบบท่อไอน้ำระบบหนึน่ง
(ตอนถ่ายรูปนั้นอยู่ระหว่างการติดตั้งวาล์วระบายความดันตัวดังกล่าว)
จะเห็นว่ารูปแบบการติดตั้งเป็นการต่อข้องอเข้ากับวาวล์วระบายความดันโดยตรงดังรูปที่
๓
แน่นอนว่าเมื่อเกิดการระบายความดันนั้นจะต้องมีแก๊สบางส่วนรั่วไหลออกทางรูระบายนี้
แต่ด้วยการที่รูไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก
(แค่ให้น้ำไหลออกได้)
และไม่ได้อยู่ในแนวทิศทางการไหล
(เพราะอยู่ตั้งฉาก)
ประกอบกับแก๊สที่ระบายออกมานั้นไม่ใช่แก๊สอันตราย
การรั่วไหลที่รูระบายนี้จึงถือว่ายอมรับได้
อีกประเด็นที่ต้องคำนึงในการวางท่อระบายความดันด้านขาออกก็คือ
แรงกระทำที่เกิดจากการไหลของแก๊สที่ระบายออก
โดยเฉพาะท่อระบายที่มีการโค้งงอเปลี่ยนทิศทาง
(ดูรูปที่
๔)
จำเป็นต้องนำเอาแรงที่เกิดขึ้นนี้มาพิจารณาออกแบบระบบยึดตรึงท่อให้มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะรับแรงดังกล่าวได้
เพราะเคยมีเหตุการณ์บันทึกเอาไว้ว่าท่อที่ถูกแรงกระทำดังกล่าวดัดจนพับพาดลงมานั้นก่อให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์รอบข้างและผู้ปฏิบัติงานจนเสียชีวิตมาแล้ว
รูปที่
๔ แรงที่กระทำต่อระบบท่อเมื่อมีแก๊สระบายออก
ปรกติความยาวท่อเมื่อออกจากวาล์วระบายความดันไปในแนวนอนมักจะเป็นท่อสั้นอยู่แล้ว
ตัวที่อาจก่อเรื่องได้คือส่วนที่อยู่ในแนวดิ่ง
(L)
เพราะเมื่อแก๊สพุ่งออกทางปลายท่อก็จะทำให้เกิดแรงดัดและโมเมนต์บิดในระบบท่อได้
ถ้าแนวพุ่งออกนั้นอยู่ในระนาบเดียวกันกับทิศทางการพุ่งออกจากวาล์วระบายความดัน
(เช่นในรูปซ้าย)
ก็จะมีแต่โมเมนต์ดัดที่เกิดขึ้น
แต่ถ้าแนวพุ่งออกนั้นอยู่ในระนาบที่ตั้งฉากกับทางทิสทางการพุ่งออกจากวาล์วระบายความดัน
(เช่นในรูปขวา)
ในกรณีนี้ต้องคำนึงถึงโมเมนต์บิดที่เกิดขึ้นด้วย
รูปที่สุดท้ายในหน้าถัดไปไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกแบบท่อด้านขาออกของวาล์วระบายความดัน
เพียงแค่บังเอิญเห็นมันอยู่ใกล้
ๆ กับวาล์วดังกล่าว
อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการป้องกันไม่ให้ใครมาหมุนวาล์วเล่น
(ไม่ว่าจะโดยจงใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม)
วิธีการของเขาก็คือถ้าเป็นพวก
gate
valve หรือ
globe
valve ที่เป็นตัวเล็ก
ก็จะถอดล้อหมุน (wheel)
ออกซะเลย
แต่ถ้าเป็นตัวใหญ่ก็จะใช้การใช้โซ่คล้องและเอากุญแจมาล๊อคเอาไว้
ถ้าเป็น ball
valve ก็จะใช้วิธีการถอดก้านหมุนวาล์วออก
พวก ball
valve ตัวเล็กนี่ยิ่งต้องระวัง
เพราะแค่เดินชนหรือเผลอเอาอะไรไปกระแทกก้านวาล์ว
มันก็เปลี่ยนจากตำแหน่งเปิดเต็มที่เป็นปิดเต็มที่
หรือจากปิดเต็มที่เป็นเปิดเต็มที่ได้ทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น