เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
บนหน้า Facebook
ของผมเห็นมีหลายรายกด
Share
เรื่องเกี่ยวกับขนมโตเกียวว่ายิ่งกินเยอะยิ่งตายไว
เนื้อหาสิ่งที่เขากด Share
มานั้นก็เป็นดังรูปที่เอามาให้ดูข้างล่าง
ลองอ่านเองเองก่อนนะว่าหลังจากอ่านแล้วพวกคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
รูปที่
๑ ข้อมูลอันตรายของขนมโตเกียวที่เห็นมีคนกด
Share
กัน
ที่มาของข้อมูลดังกล่าว
ผมตามต้นเรื่องไปจนพบว่า
เรื่องดังกล่าวมาจากบทความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
ฉบับวันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน
๒๕๕๗ ที่ผมจับภาพมาให้ดูในรูปที่
๒ และ ๓ (เนื้อหาข้อความค่อนข้างยาวเกิน
๑ หน้ากระดาษ ก็เลยต้องแยกเป็น
๒ รูป)
ลองอ่านเอาเองดูก่อนนะ
แล้วค่อยเปรียบเทียบกับข้อมูลในรูปที่
๑
รูปที่
๒ ข้อมูลต้นฉบับจากคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
(คอลัมน์ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์วันที่
๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗)
รูปที่
๓ ข้อมูลต่อเนื่องจากรูปที่
๒ (มันยาวเกิน
๑ หน้ากระดาษ ก็เลยต้องแยกเป็นสองรูป)
ในความเห็นของผม
กระบวนการผลิตอาหารต่าง ๆ
หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นของคาวหรือของหวาน
และก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ขนมโตเกียว
ผู้ขายต่างก็ใช้มือสัมผัสส่วนประกอบต่าง
ๆ ของอาหารโดยตรงหลายครั้ง
ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องปรกติ
ไม่เรื่องแปลก
แต่ที่สำคัญคือก่อนที่อาหารนั้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค
มันสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อน/ความสกปรกหรือไม่
ซึ่งอันนี้มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่มือ
แต่มันรวมไปสิ่งของใด ๆ
ที่สัมผัสกับอาหาร ไม่ว่าจะเป็น
ถุงมือ ช้อน ส้อม ตะเกียบ
คีมคีบ จาน ภาชนะบรรจุ ฯลฯ
ดังนั้นหากกระบวนการผลิตไม่ถูกสุขลักษณะ
ผู้ขายไม่รักษาสุขอนามัยส่วนตัว
ไม่ล้างมือให้สะอาด
ไม่ดูแลรักษาเครื่องใช้ต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาหารนั้นให้สะอาด
ก็สามารถทำให้มีเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนในอาหารนั้นได้
ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ขนมโตเกียว
อาหารที่ใช้
แป้ง น้ำตาล นม เนย
(หรือวัตถุดิบในตระกูลเดียวกัน)
ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ขนมโตเกียว
ถ้ากล่าวอย่างนี้ก็ควรจะกล่าวไปถึงขนมชนิดอื่นเช่น
ขนมปัง ขนมเบื้อง ขนมถังแตก
ขนมปังทาเนย-ราดน้ำ-น้ำตาล
ขนมปังทาสังขยา ฯลฯ ให้หมดเลย
หรือถ้าจะกล่าวถึงขนมที่มีความหวานก็ควรกล่าวไปถึง
ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง
เม็ดขนุน หม้อแกง ขนมไทยต่าง
ๆ ขนมใส่กะทิต่าง ๆ
(เช่นข้าวเหนียวถั่วดำ
ซึ่งจะว่าไปแล้วบูดง่ายกว่าขนมโตเกียวอีก)
ด้วยเลย
อากาศในบ้านเราเอง
ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน
อย่าว่าแต่ของหวานเลย
ข้าวสวยหุงทิ้งไว้ข้ามคืนก็มีโอกาสบูดได้เช่นกัน
พวกแกงกะทิทำไว้ตอนเย็นถ้าไม่แช่ตู้เย็น
ตอนเช้าก็บูดซะแล้ว
และคนเราเองก็สามารถรับเชื้อโรคจากหลายหลายอาหารที่รับประทานเข้าไป
ไม่ใช่ว่าต้องมากับขนมโตเกียวเท่านั้น
แม้แต่น้ำเปล่า
ถ้าแก้วหรือหลอดดูดที่ใช้นั้นไม่สะอาด
โรงอาหารหรือศูนย์อาหารหลายแห่งก็ยังต้องมีน้ำร้อนให้ลวกช้อน-ส้อม-ตะเกียบ
ที่ใช้รับประทานอาหาร
บทความต้นฉบับบอกว่าจะมีอาการจะดีขึ้นภายใน
"๒-๓
วัน"
แต่พอเป็นฉบับย่อกลับใช้คำว่า
"เกือบอาทิตย์"
บทความต้นฉบับไม่ได้บอกว่าจะถึงแก่ชีวิต
แต่พอเป็นฉบับย่อกลับพาดหัวว่า
"ยิ่งตายเร็ว"
อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้สังเกตคือ
ข้อมูลชุดต้นฉบับนั้นผมเห็นว่านำเสนอโดยใช้การวาดภาพให้กลัวก่อนในช่วงแรกโดยทำการระบุเจาะจงไปที่ขนมโตเกียว
แต่ตอนท้ายพอทำการทดสอบแล้วพบว่าไม่เป็นดังภาพที่วาดให้คนอื่นเห็นไว้
(ดูข้อมูลที่เขาแสดงไว้ในตาราง)
การนำเสนอแบบนี้ถ้าเป็นกรณีที่เป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้นก็ต้องถือว่าตั้งสมมุติฐานผิด
เพราะคาดว่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้
แต่พอตรวจสอบแล้วไม่ใช่
และสิ่งที่เขาพบมันก็ไม่ตรงกับสิ่งที่เขาจั่วหัวเรื่องเอาไว้ด้วย
บทความต้นฉบับพาดหัวว่า
"เชื้อโรคในขนม"
แต่ผลการตรวจตอนท้ายบทความบอกว่า
"ไม่พบ"
ส่วนข้อมูลในรูปแรกที่นำเอาข้อมูลต้นฉบับไปย่นย่อพร้อมทั้งเปลี่ยนหัวเรื่องใหม่
ผมเห็นว่ามันหนักเข้าไปใหญ่
เรียกว่าตั้งหัวเรื่องให้คนตื่นตระหนกตื่นกลัวเอาไว้ก่อน
เพราะประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงที่กินขนมโตเกียวแล้วตายไว
มันอยู่ตรงที่ถ้ากินอาหาร
(ไม่จำกัดว่าจะเป็นอะไร)
ที่สกปรกและ/หรือปนเปื้อน
ก็มีโอกาสเจ็บป่วยได้มากขึ้นเท่านั้น
รุ่นผมเป็นรุ่นแรกที่มีผู้สอบเข้ามหาวิทยาลัยสายวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นคณะใดก็ตาม
ต้องสอบวิชาสังคม-ภาษาไทย
ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าต้องสอบไปทำไม
ยังเห็นเป็นเรื่องไร้สาระด้วยซ้ำ
แต่พอทำงานไปนาน ๆ เข้าเรื่อย
ๆ กลับเห็นว่ามันสำคัญมากเลย
เพราะบ่อยครั้งแล้วที่พบว่ามี
การรายงานผลการทดลอง
การรายงานผลการวิจัย
การนำเสนอข้อมูล การสรุปข้อมูล
การย่อความ
ที่ผิดเพี้ยนและ/หรือไม่ตรงกับความเป็นจริง
หรือทำให้ผู้อ่านเข้าใจเป็นอื่นได้
แต่ที่แย่ที่สุดที่เคยเจอมาก็คือใช้เทคนิคการนำเสนอเพื่อทำให้คนตีความผิดเพี้ยนไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น