วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

สรุปการประชุมใหญ่ปีการศึกษา ๒๕๕๒ MO Memoir : Monday 15 March 2553

เป็นที่น่าเสียดายว่าจากสถานการณ์บ้านเมืองที่เต็มไปด้วยการข่มขู่ต่าง ๆ จากกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาล และได้พยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้บ้านเมืองไม่สงบสุข จึงทำให้สมาชิก ๒ รายของกลุ่มไม่สามารถเดินทางไปร่วมการประชุมใหญ่ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๒ ของกลุ่มได้ ในฐานะที่เดินทางกลับมาก่อนก็ขอสรุปเพื่อเป็นบันทึกไว้ว่าเราได้ไปทำอะไรกันบ้าง เพื่อให้คนที่ไม่ได้ไปเกิดความ ... :)


พุธที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๓


ช่วงบ่าย ผู้ที่เดินทางโดยรถไฟเดินทางถึง จ. เชียงใหม่

เข้าที่พัก ณ โรงแรมท่าแพเพลส ถ.ท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

พักผ่อนตามอัธยาศัย ด้วยการไปนมัสการวัดต่าง ๆ ในบริเวณตัวเมือง (เข้าใจว่าเจ้าแม่เป็นคนนำ)

๑๗.๐๐ น ผู้ที่เดินทางโดยเครื่องบินเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่

๑๘.๐๐ น พบกันพร้อมหน้าที่โรงแรมท่าแพเพลส

จากนั้นไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ณ ตลาดอนุสาร บริเวณไนท์บาร์ซ่า (อาหารธรรมดา รสชาติจืด ๆ แต่ราคาแพง โดยเฉพาะปลาหมึกนึ่งมะนาว)

จับจ่ายใช้สอยตามอัธยาศัย เริ่มด้วยการซื้อหมวก และแว่นตา โดยสาวญี่ปุ่นและหนุ่มเกาหลี (เกิดจากความเข้าใจผิดของแม่ค้าแผงลอยในตลาดอนุสาร)

ซื้อของฝากจากร้านข้างทาง (เน้นเสื้อยืดลายหมีแพนด้าเป็นหลัก)

สาวญี่ปุ่นแวะถอนเงินที่ตู้ ATM ธนาคารไทยพาณิชย์ โชคดีที่ถอนเงินเสร็จก่อนที่ไฟฟ้าจะดับเพียงเสี้ยววินาที

จากนั้นเดินทางกลับที่พัก

ส่วนหนึ่งนอนดูละครจนถึง ๕ ทุ่ม (แต่มีคนรอดูอยู่คนเดียว ที่เหลือหลับไปแล้ว)

อีกส่วนหนึ่งเข้านอนตั้งแต่ ๔ ทุ่มเพื่อจะตื่นมาดูบอลระหว่างแมนยูกับเอซีมิลานตอนตีสามครึ่ง (เปิดมาเจอยิงนำไปแล้ว ๓ ประตูต่อ ๐ ก็เลยปิดเลย)


พฤหัสบดีที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๓


๗.๐๐ น รับประทานอาหารเช้าร่วมกัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม (หัวละ ๖๐ บาท) ที่กินกันคุ้มที่สุดเห็นจะเป็นไข่ดาว

หลังอาหารเช้า เดินทางด้วยรถยนต์เช่าเหมา (โตโยต้าวีออส) ออกจากโรงแรมที่พักเพื่อไปร่วมประชุม ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก่อนออกจากตัวเมืองได้แวะชมบริเวณประตูท่าแพ (คือเจอกับถนนวันเวย์ เลยต้องไปหาจุดตั้งต้นก่อน) ก่อนที่จะหาทางออกไปยังสามแยกแม่โจ้ได้

๘.๓๐ น เดินทางถึงมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สิ่งแรกที่ทำเมื่อลงจากรถคือถ่ายรูปคู่กับแปลงดอกไม้ต่าง ๆ ที่อยู่ข้างลานจอดรถ จากนั้นจึงไปลงทะเบียน ติดโปสเตอร์ เข้าร่วมพิธีเปิด และร่วมประชุม

๑๓.๐๐ น เสร็จสิ้นการรับประทานอาหารกลางวัน ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (นิสิตไปกินข้าวกล่อง ส่วนอาจารย์ไปกินที่อาคารคาวบอยของมหาวิทยาลัย)

เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ขับรถผ่าอากาศร้อนกว่า ๓๐ องศาเซลเซียส ไปตามทางหลวงสาย ๑๐๘ สายเชียงใหม่-จอมทอง มุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติอินทนนท์

แวะพักซื้อของกินที่ห้างโลตัสเอ็กเพรส ก่อนมุ่งหน้าเข้าทางหลวงสาย ๑๐๐๙ เพื่อไปยังดอยอินทนนท์

ประมาณ ๑๕.๓๐ น เดินทางถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติอินทนนท์ เข้าพักที่บ้านพักอินทนน์ ๑๐๖ (บ้านขนาด ๘ เตียงนอน แต่มีคนนอนเพียง ๕ คน)

ประมาณ ๑๖.๐๐ น เดินทางออกจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติอินทนนท์ มุ่งหน้าขึ้นดอยอินทนนท์

แวะนมัสการ (จริง ๆ แล้วคือแวะถ่ายรูปในสวนดอกไม้ โดยต้องเสียค่าผ่านประตูคนละ ๔๐ บาท) พระมหาธาตุนภพลภูมิสิริและพระมหาธาตุนภเมทนีดล ที่อยู่ระหว่างกม ๔๑-๔๒

ระหว่างเส้นทางต้องเผชิญกับเส้นทางที่ไหล่ทางทรุดบางช่วง และมีจุดหนึ่งที่เส้นทางขาด เหลือช่องทางให้รถวิ่งได้เพียงช่องทางเลียบผาเพียงช่องทางเดียว (อีกด้านเป็นเหวไปแล้ว)

ก่อน ๑๗.๐๐ น เล็กน้อย ก็ขึ้นถึงยอดดอยอินทนน์ สัมผัสกับอากาศสดชื่นและสายลมเย็นที่อุณหภูมิ ๑๒ องศาเซลเซียส (ถือโอกาสโทรศัพท์รายงานสภาพอากาศมายังแลปด้วย)

เดินทางศึกษาธรรมชาติตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาบนยอดดอยอินทนนท์

จากนั้นแวะมารอชมพระอาทิตย์ตกลับเหลี่ยมภูเขา ณ ลานหินของจุดชมวิวกม. ๔๑ พร้อมกับทดสอบความอดทนด้วยการสู้กับสายลมหนาวที่พัดผ่านมาตลอดเวลา

รูปที่ ๑ (ซ้าย) อุณหภูมิขณะเดินทางถึงยอดดอย (ขวา) ชมพระอาทิตย์ตก ณ จุดชมวิวกม. ๔๑


จากนั้นกลับมารับประทานอาหารเย็น ณ ร้านอาหารหน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติ (บทเรียนคืออย่าสั่งผัดไท เพราะคนสั่งกระเพราไข่ดาวกินอิ่มไปตั้งนานแล้ว แต่ผัดไทยยังไม่ได้ทำเลย)

หลังอาหารเย็น กลับเข้าที่พัก ทำธุระส่วนตัว (โหลดภาพจากกล้องเข้าคอม) ประชุมกันต่อถึง ๕ ทุ่ม ก่อนแยกย้ายกันเข้านอนพร้อมกับนัดว่าจะตื่นตอนตี ๕ เพื่อย้ายที่นอน


ศุกร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓


ประมาณ ๕.๐๐ น ตื่นนอน รีบทำธุระส่วนตัว ขนผ้าห่มและผ้าเช็ดตัว (ที่แห้ง) ขึ้นรถ (มีผมเพียงคนเดียวที่มีเสื้อกันหนาว) เพื่อย้ายที่นอนไปยังจุดชมวิวกิ่วแม่ปานกม. ๔๒ สัมผัสกับอากาศหนาวเย็นระดับ ๕ องศาเซลเซียสเพื่อชมดวงดาวบนท้องฟ้าก่อนที่ดวงอาทิตย์จะโผล่พ้นจากทิวเขาเบื้องหน้า (จริง ๆ แล้วมีอยู่ ๓ คนนั่งห่มผ้านอนหลับกันอยู่ที่เบาะหลัง ไม่ยอมโผล่ออกมารับอากาศบริสุทธิ์ตอนเช้า) มีรถไปจอดอยู่เพียงคันเดียวตั้งแต่ตอนมืด จนกระทั่งดวงอาทิตย์ใกล้โผล่จึงมีรถตู้โผล่มาร่วมอีกคัน

หลังพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เดินทางไปกินนมอุ่นแก้หนาว ณ ร้านกาแฟบนยอดดอย (อุณหภูมิสูงขึ้นเป็น ๙ องศาเซลเซียสแล้ว) และถ่ายรูปนกป่าแสนสวยที่มากินกล้วยน้ำว้าที่เจ้าของร้านกาแฟปอกวางให้นกกินบนกิ่งไม้ข้างร้านกาแฟ

ระหว่างขึ้นไปยอดดอยนั้น ไอน้ำเกาะที่กระจกหน้าด้านในเต็มไปหมด พยายามมองหาปุ่มเปิดแอร์ไล่ฝ้ากระจกหน้าก็ไม่เจอ พึ่งจะรู้ว่ารถรุ่นที่เช่ามานั้นในส่วนของเครื่องปรับอากาศติดตั้งปุ่มต่าง ๆ ไว้ไม่ครบ

จากนั้นเดินทางกลับลงมากินมาม่าร้อน ๆ เป็นอาหารเช้า ณ ร้านสวัสดิการที่ทำการอุทยานแห่งชาติ (ถ้วยละ ๒๐ บาท)

หลังอาหารเช้า กลับเข้าที่พัก ทำธุระส่วนตัว และเก็บข้าวของเตรียมเดินทางต่อ (คนขับรถถือโอกาสพักสักงีบ)

ประมาณ ๑๐.๐๐ น เดินทางออกจากอุทยานแห่งชาติ แวะถ่ายรูปน้ำตกสิริภูมิที่อยู่ใกล้ที่พัก (เก็บค่าเข้าคนละ ๒๐ บาท ก็เลยไม่ได้เข้าไปข้างใน แต่เห็นน้ำตกตกลงจากหน้าผาได้อย่างชัดเจนจากข้างนอก) จากนั้นเดินทางตามเส้นทางที่ไม่อยู่ในคู่มือท่องเที่ยวใด ๆ แต่มีอยู่ในแผนที่ถนนแสดงรายละเอียดจ.เชียงใหม่ คือถนนสาย ๑๒๘๔ ไปตามแนวเทือกเขาของดอยอินทนนท์ มุ่งหน้าไปยังบ้านขุนวาง (ระยะทาง ๑๖ กม) เพื่อตัดทางไปยังอ. แม่วาง (อีกประมาณ ๓๕ กม)

ประมาณ ๑๐.๔๐ น แวะถ่ายรูปที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์บนเส้นทาง ๑๒๘๔

แวะถ่ายรูป ณ น้ำตกที่ยังไม่มีชื่อ (แต่ตั้งชื่อให้แล้วว่าน้ำตกแม่แอน) ที่อยู่ริมถนนข้างทาง จากนั้นเดินทางต่อไปตามถนนที่กว้างบ้างแคบบ้างก่อนเดินทางไปถึง บ้านขุนวาง ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ในเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น

แวะถ่ายรูปเป็นระยะตามเส้นทางธรรมชาติที่สวยงาม ระหว่างเดินทางจากบ้านขุนวางมายังอ.แม่วาง จนถึงอ.แม่วางหลังเที่ยงเล็กน้อย (แทบไม่รู้เลยว่าเป็นอำเภอ ขับรถผ่านเข้าและผ่านออกไปเหมือนกับผ่านไปตามนาข้าว)

รูปที่ ๒ (ซ้าย) ตอน ๖ โมงเช้าเราอยู่ที่หลักกิโลนี้ (ขวา) ตอน ๑๑ โมงเช้าเราไปอยู่ที่หลักกิโลนี้


ประมาณ ๑๓.๐๐ น แวะกินข้าวซอยไก่เป็นอาหารเที่ยงที่อ.สันป่าตอง (สั่งไป ๕ ชามแต่มีพอทำแค่เพียง ๔ ชาม ผมเลยต้องไปกินเส้นเล็กต้มยำแทน)

จากนั้นมุ่งหน้าตรงไปยังสวนสัตว์เชียงใหม่ เพื่อพาคนอยากเห็นหมีแพนด้าไปดูหมีแพนด้า ปรากฏว่าดูรอบบ่ายสามไม่ทัน เลยต้องรอดูรอบ ๑๕.๔๕ แทน ระหว่างนั้นก็เลยเดินไปส่วนแสดงปลาที่เรียกว่า Aquarium พอเห็นว่าต้องเก็บค่าเข้าผู้ใหญ่คนละ ๒๕๐ บาทก็เลยเปลี่ยนใจคิดว่ามาดูที่กรุงเทพดีกว่า เปลี่ยนไปดูหมีโคอาลาและนกฝาแฝดที่ว่ายน้ำได้ (นกเพ + นกวิน) ก่อนที่จะนั่งรถกลับมาดูหมาแพนดี้รอบ ๑๕.๔๕ (ค่าเข้าชมคนละ ๑๐๐ บาท)

ส่วนหมาแพนดี้จะแสดงอะไรบ้างนั้นต้องถามคนที่เข้าไปชม เพราะผมไม่ได้เข้าไป (ดูมาแล้วสองรอบ)

จากนั้นออกจากสวนสัตว์เพื่อไปยังที่พัก ณ กฤษฎาดอย ที่ตั้งอยู่บนทางหลวงสาย ๑๒๖๙ (ประมาณ ๑๕ กมจากไนท์ซาฟารี) เก็บของเข้าที่พักและมีบางรายยังมีแรงเหลือออกมาเดินถ่ายรูปกับดอกไม้ยามเย็นและปั่นจักรยานเล่น

ตกเย็นนำรถออกมาเติมน้ำมันและแวะพักกินหมูกะทะที่ร้าน smile pig ริมทางหลวงสาย ๑๐๘ ใกล้กับห้างโลตัส และก่อนเข้าที่พักก็มีการแวะซื้อของ ณ ห้างโลตัวเอ็กซ์เพรซบริเวณทางแยกสาย ๑๒๑ ตัดสาย ๑๒๖๙

กลับถึงที่พักเวลาเท่าใดจำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าวันนี้เข้านอนกับเร็ว


เสาร์ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๓


ช่วงเช้าตื่นตอนตามอัธยาศัย ก่อนที่จะไปรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน (แบบอเมริกัน ๔ ที่และแบบไทย ๑ ที่) จากนั้นจึงถ่ายรูปหมู่ร่วมกันบริเวณหน้าน้ำตกและสวนดอกไม้ ซึ่งถือว่าเป็นการปิดการประชุม จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปถ่ายรูปในสวนดอกไม้ตามอัธยาศัย

วันนี้พึ่งจะรู้ว่ามีคนมีฉายาว่า "ปลาหมึก" ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเรียกสาวสวยคนนั้นว่าปลาหมึกได้ ทราบแต่ว่าคนเรียกนั้นชอบกินปลาหมึก (ก่อนหน้านี้ก็เคยเจอสาวสวยที่เพื่อนตั้งฉายาให้ว่า "ปลวก" มาแล้ว)

ประมาณ ๑๐.๓๐ น ออกเดินทางจากที่พัก มุ่งตรงไปยัง อ.สะเมิง เพื่อศึกษาการเกษตรภาคปฏิบัติ

ประมาณ ๑๑ โมงเศษ ถึงไร่สตอเบอรี่วงศ์วาน จากนั้นแยกย้ายกันไปฝึกการเกษตรภาคปฏิบัติด้วยการเดินเก็บสตอเบอรี่ในไร่ เสียค่าเข้าไปในไร่เพื่อเดินเก็บและถ่ายรูปคนละ ๒๐ บาท ส่วนค่าสตอเบอรี่คิดกิโลละ ๑๐๐ บาท แต่เนื่องจากไม่สามารถขนสตอเบอรี่สดที่มีรสชาติหวานฉ่ำกลับมาฝากได้ ก็เลยมีการซื้อแบบตากแห้งกลับมา (แต่จะเอามาฝากใครนั้นให้ไปถามคนซื้อเอาเอง ผมซื้อแบบสดมา ๒ กิโล เอามานั่งกินกับวิปครีมที่บ้าน)

รูปที่ ๓ (ซ้าย) ที่พัก ณ กฤษฎาดอย (ขวา) เส้นทางจาก อ.สะเมิง ไป อ.ปาย


ตอนผ่าน อ.สะเมิง แวะสำรวจเส้นทางไป อ.ปาย เป็นเส้นทางที่ไม่ปรากฎในแผนที่ เป็นถนนสาย ๑๓๔๙ เริ่มจาก อ.สะเมิง ไปยังอุทยานแห่งชาติขุนขาน บ.วัดจันทร์ และอ.ปาย ระยะทางทั้งสิ้น ๑๗๐ กม จากการตรวจสอบแผนที่และสอบถามผู้คนท้องถิ่นทำให้ทราบว่าเป็นเส้นบนเขาตลอด โดยเป็นทางลูกรังประมาณ ๔๒ กม หวังว่าจะมีโอกาสเดินทางไปสำรวจเส้นทางนี้สักวัน

เที่ยงเศษออกเดินทาง อ.สะเมิง มากินอาหารเหนือ ณ ร้านริมทางแถวอำเภอแม่ริม ก่อนที่จะเดินทางเข้าที่พัก ณ โรงแรมท่าแพเพลส (ที่เดิมที่พักในวันแรก)

ประมาณ ๑๔.๔๕ พาตัวแทนกลุ่มที่กลับชุดหลังไปซื้อตั๋วรถทัวร์ที่ท่ารถ ปรากฎว่าได้ตั๋วรถวันอาทิตย์เที่ยง (รถออกหลังจากเวลานั้นเต็มหมด) ซึ่งจะถึงกรุงเทพประมาณสี่ทุ่ม พยายามจะพาไปส่งคืนยังโรงแรมที่พัก ปรากฎว่ารถติดลาดยางมะตอยบนสะพานนวรัตน์ ก็เลยปล่อยตัวแทนที่ออกมาซื้อตั๋วลงแถวสะพานเหล็กที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วให้หาทางกลับกันเอง ส่วนผมก็รีบบึ่งมาคืนรถที่เช่ามาและขึ้นเครื่องที่สนามบิน

โชคดีที่มีเช็คอินช้า ที่นั่งธรรมดาถูกจองเต็มไปหมด เขาก็เลยให้ไปนั่งยังแถวพิเศษอยู่ตรงประตูฉุกเฉิน (ได้เดินขึ้นเครื่องเป็นคนแรกด้วย) ทั้งแถวนั้นมีเก้าอี้ ๖ ตัวแต่มีผมนั่งอยู่คนเดียว เดินทางกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตอน ๑๙.๐๐ น

ขากลับบ้านแทนที่จะเดินไปขึ้นรถแท๊กซี่ตามป้ายที่เขาบอก ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่ม ๕๐ บาท ก็เดินไปขึ้นรถที่เขามาส่งผู้โดยสารตรงชั้นผู้โดยสารขาออกแทน ไม่ต้องต่อคิวรอรถและไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ๕๐ บาทด้วย ระหว่างทางนั่งฟังวิทยุสวพ. ๙๑ มาตลอดทาง รู้แต่ว่าตอนทุ่มเศษเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงก็บอกว่าไม่มีขบวนเคลื่อนผ่านมาแล้ว (หมดคนแลัวนั่นแหละ) แถวลานพระรูปก็มีแต่รถจอดแต่ไม่มีการชุมนุม


ส่วนพวกที่เหลือนั้น ทราบภายหลังว่าวันนั้นได้ไปเดินเที่ยวถนนคนเดินกัน และวันอาทิตย์ก็ได้ไปเลื่อนตั๋วกลับเป็นสามทุ่มวันจันทร์ (คงถึงกรุงเทพเช้าวันพรุ่งนี้) จากการโทรสอบถามตอนประมาณทุ่มครึ่งได้ความว่าช่วงเช้าได้ไปทัศนาศึกษาต่อยังดอกสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวช และหมู่บ้านม้งดอยปุย ตอนกลางคืนก็มาเดินยังถนนคนเดินต่อ ส่วนวันจันทร์นั้นเขาจะทำอะไรกันบ้างก็ต้องรอถามเอาเอง


ส่วนการประชุมใหญ่ครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นที่ไหน เวลาใด ก็ยังบอกไม่ได้เหมือนกัน แต่หวังว่าความสนุกสนานคงไม่แพ้คราวนี้

ไม่มีความคิดเห็น: