วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

เหตุเกิดตอนทำแลปกลางคืน MO Memoir : Tuesday 9 March 2553

ตอนที่ผมกลับมาทำงานใหม่ ๆ ในปีพ.ศ. ๒๕๓๗ นั้น ภาควิชาของเรายังอยู่ที่อาคาร ๓ ภาควิชา (คือมีภาควิชาวิศวกรรมเคมี วิศวกรรมโลหการ และนิวเคลียเทคโนโลยี) ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นอาคาร ๔ ภาควิชาไปแล้ว

ในช่วงเวลานั้นภาควิชาของเรามีแลป Unit อยู่ที่ชั้น ๑ ของอาคาร ชั้น ๒ เป็นของภาควิชาวิศวกรรมโลหการ ชั้น ๓ เป็น ห้องธุรการและห้องหัวหน้าภาควิชา ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐาน ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ และศูนย์เครื่องมือวิเคราะห์ ส่วนชั้น ๔ นั้นเป็นห้องพักอาจารย์และห้องแลปวิจัยของกลุ่มวิจัยต่าง ๆ

แผนผังอาคารของชั้น ๓ ในอดีตนั้นแตกต่างออกไปจากในปัจจุบัน กล่าวคือบริเวณที่เป็นส่วนห้องธุรการและห้องหัวหน้าภาควิชาในอดีตกลายเป็นห้องศูนย์เครื่องมือวิจัย ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานในปัจจุบันเกิดจากการทุบกำแพงกั้นระหว่างห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (ซึ่งคือส่วนด้านหน้าห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานปัจจุบัน) และห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานเดิม (ซึ่งก็คือส่วนด้านหลังห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานปัจจุบัน) ทำให้ได้ห้องที่ใหญ่ขึ้นมา ส่วนห้องทำงานครูปฏิบัติการนั้นตอนนี้กลายเป็นห้องวิจัยของกลุ่มวิจัย Separation ทางด้านอาคารวิศว ๕ ซึ่งปัจจุบันเป็นห้องปฏิบัติการของกลุ่มวิจัย Particle technology และ Separation นั้นเดิมห้องศูนย์เครื่องมือวิเคราะห์ ห้องเก็บสารเคมี ทางเดินไปยังห้องต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีการทำผนังกั้นกันใหม่จนรูปแบบห้องเดิมและทางเดินเดิมหายไปแล้ว

ในชั้น ๔ นั้น ซีกทางด้านทิศใต้ (ทางด้านคณะรัฐศาสตร์) เป็นส่วนห้องพักอาจารย์ ส่วนซีกทางด้านทิศเหนือ (ลานจอดรถ) เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยต่าง ๆ ปัจจุบันผนังกั้นห้องต่าง ๆ ถูกทุบทิ้งไปหมด กลายเป็นห้องปฏิบัติการของภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ห้องส่วนที่เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยนั้นกลายเป็นห้องแลปเคมีขนาดใหญ่ไป ทางเดินที่เคยมีอยู่ที่เชื่อมระหว่างด้านเหนือและด้านใต้ก็ถูกปิดไป

ช่วงที่ผมกลับมานั้น กำลังเริ่มก่อสร้างอาคาร ๔ และอาคาร ๕ บริเวณที่เป็นที่ตั้งของอาคาร ๔ และอาคาร ๕ และลานจอดรถนั้นเป็นเขตก่อสร้างทั้งหมด อาคารใหม่ของภาควิศวกรรมโยธายังไม่มี บริเวณที่เป็นสนามบาสในปัจจุบัน ตอนนั้นเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เดิมสมัยผมเรียนหนังสือนั้นบริเวณนี้มีต้นไทรขึ้น (ต้นนั้นก็ยังอยู่) และน้ำก็ยังสะอาด นิสิตคณะรัฐศาสตร์ก็มีการเอาเรือมาพายเล่นกันในหนองน้ำน้ำนี้ได้ มีนกกวักหากิน และก็มีงูเขียนด้วย ต่อมามีคนเอาขยะไปทิ้งไว้เต็มไปหมด จนในที่สุดทางคณะต้องใช้วิธีการใช้ขยะถมหนองน้ำนั้นและเอาดินมากลบ ปลูกหญ้าเป็นสนามหญ้าสีเขียวสวยงามมาก แต่ต่อมาก็สร้างสนามบาสทับเอาไว้เลย

ช่วงที่ก่อสร้างนั้นเวลาจะมาทำงานหรือนิสิตจะมาเรียนแลปก็ต้องเข้าทางคณะรัฐศาสตร์หรือมาจากทางด้านภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ เดินมาตามทางเดินชั่วคราวเลียบหนองน้ำ และมาเข้าตึกทางบันไดด้านข้าง (ด้านที่ลงมายังทางเดินไปยังโรงอาหารคณะรัฐศาสตร์) ช่วงไหนที่ฝนตกหนักก็ติดกันอยู่ในตึกเพราะน้ำท่วมทางเดินหมด ต้องรอให้น้ำลงก่อนถึงเดินออกไปได้

ห้องพักของผมเองนั้นหันเข้ามาทางด้านในของอาคาร มีหน้าต่างอยู่หนึ่งบานมองลงมาตรงบันไดระหว่างชั้น ๓ และ ๔ ช่วงนั้นกรุงเทพยังมีงานก่อสร้างรถไฟฟ้าและอาคารต่าง ๆ อยู่ และมีน้ำท่วมด้วย ผมเองถ้าวันรุ่งขึ้นต้องสอน ๘ โมงเช้าก็มักจะนอนกันที่ห้องทำงานเลย ตอนค่ำก็นั่งทำแลปกับนิสิตจนดึกแล้วค่อยไปเข้านอน ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตเพิ่งจะเริ่มมีให้ใช้งานกัน

ตึก ๔ นั้นค่อนข้างจะอยู่ห่างออกไป การก่อสร้างไม่ค่อยส่งผลกระทบอะไรเท่าใดนัก แต่อาคาร ๕ ที่อยู่ข้าง ๆ นี่สิ ช่วงที่เขาเจาะดินเพื่อทำเสาเข็มเจาะหรือตอนที่ตอกแผ่นเหล็กเพื่อเป็นผนังกันดินพังนั้น มันทำเอาตึกทำงานข้าง ๆ สั่นไปหมดทั้งตึก แต่ในที่สุดตึกทั้งสองก็สร้างเสร็จไปได้ด้วยดี โดยไม่มีการเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้คนงานเสียชีวิต มีแต่อาคาร ๕ ที่เคยเกิดอุบัติเหตุนั่งร้านพังตอนหัวค่ำ (ด้านที่เป็นลานจอดรถในปัจจุบัน) ตอนนั้นผมอยู่ในตึกเก่าก็ได้ยินเสียงนั่งร้านพังถล่มลงมา แต่ก็ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต

ตัวตึกเก่านั้นไม่มีลิฟต์ การขนท่อแก๊สขึ้น-ลงตึกก็ต้องใช้แรงนิสิตช่วยกัน โดยจะมีรถเข็นอยู่คันหนึ่ง วางท่อแก๊สลงไปแล้วมัดให้แน่น จากนั้นก็ใช้แรงงานกัน ๖ คน (ไม่แยกชาย-หญิง) ช่วยกันแบกขึ้นลงตึก ๔ ชั้น นิสิตหญิงวิศวสมัยโน้นไม่เหมือนสมัยนี้ ทำงานได้ทุกอย่างเหมือนผู้ชาย ไม่ใช่ประเภทแต่งตัวสวยไปวัน ๆ

ที่เล่ามานี้ก็เพื่อให้เห็นภาพว่าแต่ก่อนนั้นสภาพเป็นอย่างไร แม้ว่าแลปเราจะมีพื้นที่ไม่มาก (พื้นที่ห้องพักและห้องแลปรวมกันนั้นเล็กกว่าห้องแลป ZN ในปัจจุบันอีก) แต่เราก็อยู่กันอย่างเป็นสุข มีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้น ซึ่งถือได้ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของภาควิชาก็ได้ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมาสิ้นสุดลงตอนที่มีการวางแผนย้ายภาควิชาและห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ไปยังอาคาร ๔ และอาคาร ๕

แผนเดิมนั้นจะทุบอาคารเดิมทิ้ง และให้ย้ายภาควิชาไปทั้งหมด และได้ย้ายไปในปีพ.ศ. ๒๕๔๐ แต่บังเอิญเกิดวิกฤษเศรษฐกิจเสียก่อน และการออกแบบอาคารใหม่ก็ไม่ได้รองรับห้องปฏิบัติการเคมี ห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานและแลป Unit ก็เลยยังคงอยู่ที่อาคารเก่าเหมือนเดิม แต่มีการปรับปรุงแผนผังอาคารใหม่ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ตัวอาคารเก่านั้นแทบจะไม่มีอาจารย์คนใดกลับไปเหยียบที่นั่นอีก เว้นแต่คนที่ต้องไปสอนแลปเคมีที่นั่น หรือมีแลปวิจัยอยู่ที่นั่น

เรื่องที่จะเล่าให้ฟังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ณ อาคารเก่า เป็นเรื่องที่เกิดกับนิสิตป.โทหญิงสองคนที่เกี่ยวข้องกับผม โดยคนแรกนั้นผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาร่วม และคนที่สองนั้นผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาหลัก เหตุการณ์ทั้งสองเกิดขึ้นในระหว่างที่นิสิตหญิงทั้งสองคนนั้นกำลังทำแลปอยู่ตอนกลางคืน ผมรับทราบเรื่องราวจากนิสิตแต่ละรายในตอนเช้าหลังคืนที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างไรนั้น ก็อ่านต่อไปก็แล้วกัน


เรื่องที่ ๑ แล้วตอนนั้นหนูคุยอยู่กับใคร


เรื่องนี้เกิดขึ้นกับสาวน้อยจากระยอง สมมุติว่าชื่อ "เจี๊ยบ" ก็แล้วกัน ตอนนี้ไม่รู้ว่ายังคงทำงานอยู่ที่ปตท. สำนักงานใหญ่ที่ลาดพร้าวเหมือนเดิมหรือเปล่า ตัวผมเองตอนนั้นมีฐานะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมของเขา

ตอนนั้นห้องแลปของเราจะอยู่บนชั้น ๔ ด้านลานจอดรถ ซึ่งปัจจุบันเป็นบริเวณที่อยู่เหนือห้องพักเจ้าหน้าที่ศูนย์เครื่องมือและห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานของชั้น ๓ ถ้าเดินขึ้นบันไดกลางมายังชั้น ๔ จะเจอห้องน้ำอยู่หน้าบันได ก็ให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นจะมีทางแยกคือไปทางซ้ายเป็นทางเดินเลียบระเบียงด้านในของตึกไปยังห้องทำงานต่าง ๆ และบันไดด้านหลังตึก ส่วนแยกขวานั้นเป็นทางตัน เดินไปยังห้องแลปต่าง ๆ ห้องแลปของเรานั้นอยู่สุดทางเดินดังกล่าว มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว

เจี๊ยบนั้นเป็นคนพูดเก่ง เสียงดัง กินเก่ง เจ้าระเบียบ ทำงานคล่อง เป็นเจ้าแม่จัดการความเรียบร้อยต่าง ๆ ในแลปได้ดี ถ้าเขาอยู่ที่แลปแล้วไม่ได้ยินเสียงก็แสดงว่าถ้าไม่หลับก็กำลังกินอยู่ แม้แต่เวลาทำแลปถ้ามีใครอยู่ในห้องแลป ด้วยก็ต้องหาเรื่องคุยโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะคุยอะไรโต้ตอบกลับมา

คืนหนึ่งเจี๊ยบต้องเข้าไปทำแลปที่ห้องแลปดังกล่าว พอเข้าไปก็เห็นมีพี่คนหนึ่งยืนทำแลปหันหลังให้อยู่ที่ด้านในของห้อง ส่วนเจี๊ยบนั้นก็ทำแลปอยู่ระหว่างพี่คนนั้นกับประตูทางออก เจ้าเจี๊ยบก็ทำแลปของมันและพูดคุยไปเรื่อย ๆ (ตามนิสัยมันนั่นแหละ) เนื่องจากพี่คนที่เจึ๊ยบกำลังคุยด้วยนั้นโดยนิสัยแล้วเขาก็ไม่ใช่คนพูดจาอะไรมาก ดังนั้นการที่เจ้าเจี๊ยบพูดไปเรื่อย ๆ คนเดียวโดยที่อีกฝ่ายหันหลังทำงานให้โดยไม่โต้ตอบอะไรก็ไม่ได้ทำให้เจี๊ยบรู้สึกผิดปรกติอย่างใด

หลังจากทำแลปไปพักใหญ่ ๆ เจ้าเจี๊ยบก็เดินออกมาจากแลป พอไปถึงตรงทางแยกก็พบพี่คนที่เจี๊ยบคิดว่าเมื่อกี้นี้คุยด้วยกันอยู่ในห้องแลปยืนอยู่ตรงระเบียบทางเดิน

พอสอบถามว่าพี่คนดังกล่าวออกมาตอนไหนโดยที่เขาไม่รู้สึกตัว ก็ได้คำตอบว่าพี่คนดังกล่าวนั้นยังไม่ได้เข้าไปในห้องแลปนั้นเลย พอเจี๊ยบกลับเข้าไปดูในห้องแลปนั้นใหม่ก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ จะว่าเขาเดินตามหลังออกมาและเดินหลบไปก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตอนนี้ทั้งสองคนยืนดักอยู่ที่ทางเดินดังกล่าวซึ่งเป็นเส้นทางเข้าออกเพียงเส้นทางเดียว ถ้ามีใครเดินออกมาก็ต้องรู้

ผมมาทราบเรื่องเอาตอนเช้า พร้อมกับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบว่า "แล้วตอนนั้นหนูคุยอยู่กับใคร"


เรื่องที่ ๒ ผู้เดินผ่านหน้าประตู


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์แรกประมาณ ๑-๒ ปี นิสิตผู้ประสบเหตุเป็นสาวน้อยจากนครศรีฯ แต่ไปเรียนป.ตรี ถึงเชียงใหม่ ก่อนที่จะกลับมาเรียนต่อโทที่แลปของเรา สุดท้ายไปจบบ.เอกที่สแตนฟอร์ด ตัวผมเองเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาสมัยเรียนป.โท

ในสมัยนั้น บริเวณชั้น ๓ ด้านทิศตะวันตก (ด้านติดอาคาร ๕) มีแผนผังแตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือถ้าออกจากลิฟต์ (สมัยนั้นยังไม่มีลิฟต์นะ แต่ที่ยกมาก็เพื่อให้เห็นภาพ) แล้วเลี้ยวซ้าย จะมีประตูทางเข้าห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานขวางหน้า (ตอนนี้ประตูนี้ถูกย้ายออกไปและกลายเป็นทางเดินแทน) และมีทางเดินแยกไปทางซ้ายมือไปยังห้องศูนย์เครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ ทางด้านหลัง ตอนนี้ทางเดินนี้ถูกปิดไปแล้ว กลายเป็นประตูห้องแลปของแลป particle และทางเดินด้านหลังก็ถูกปิดโดยทำการกั้นผนังเชื่อมระหว่างห้องด้านหลังกับด้านหน้าเข้าด้วยกัน ทำให้ห้องด้านหลังกับห้องด้านหน้ากลายเป็นห้องเดียวกันและเข้าทางประตูทางเข้าในปัจจุบัน

ที่สุดทางเดินดังกล่าวเป็นห้องเครื่อง BET และห้องพักครูปฏิบัติการและเจ้าหน้าที่ศูนย์เครื่องมือ โดยตรงหน้าที่สุดทางเดินเป็นประตูเข้าห้องพัก ส่วนทางด้านซ้ายเป็นประตูเข้าห้อง BET ทางด้านขวาก่อนสุดทางเดินจะเป็นประตูห้องเก็บสารเคมีซึ่งจะปิดไว้ตลอดเวลา เพราะสามารถทะลุเข้าห้องปฏิบัติการเคมีพื้นฐานได้

ตอนนี้ห้องพักเจ้าหน้าที่และครูปฏิบัติการกลายเป็นห้องนั่งเล่นนอนเล่นของแลป Separation ส่วนห้อง BET เดิมนั้นก็กลายเป็นห้องด้านในของแลป Separation และเรื่องที่เกิดมันก็เกิดขึ้นที่นี่แหละ (จะเอาไปเล่าต่อเพื่อน ๆ ที่อยู่ในแลปนั้นก็ไม่ห้ามนะ)

เมื่อเข้าห้อง BET นั้น ประตูห้องจะอยู่ทางมุมหน้าสุดของห้อง เปิดประตูเข้าไปจะเจอโต๊ะตั้งเครื่อง BET อยู่ตรงหน้าประตู และเลี้ยวขวาเข้าไปข้างในจะเป็นเครื่องมือชนิดอื่น เช่นเครื่องวัดความเป็นรูพรุนด้วยการอัดปรอท ประตูห้องของตึกนั้นจะเป็นประตูไม้ แต่มีช่องหน้าต่างที่เป็นแผ่นกระจกใสขนาดประมาณกระดาษ A4 อยู่ที่ระดับประมาณศีรษะ ดังนั้นคนที่นั่งทำงานข้างในก็จะมองเห็นคนที่ผ่านไปมาข้างนอกได้ และคนที่อยู่ข้างนอกก็จะมองเข้ามาข้างในได้

ตอนนี้ยังต้องใช้เครื่อง BET ของส่วนกลางที่ทุกแลปมาใช้ร่วมกัน มีการจองคิววัดกันทั้งวันทั้งคืน บางตัวอย่างก็ใช้เวลาวัดไม่กี่ชั่วโมงแต่บางตัวอย่างก็เล่นกัน ๑๒ ชั่วโมง

ตอนนั้นแลปป.โทอยู่บนชั้น ๔ ของอาคารเท่านั้น ชั้น ๓ จะไม่มีใครอยู่เลย นอกจากผู้ที่ลงมาใช้เครื่องมือวิเคราะห์เท่านั้น และเครื่องมือวิเคราะห์ที่ใช้กันข้ามวันข้ามคืนก็มีอยู่เครื่องเดียวคือเครื่องวัด BET ดังนั้นถ้าใครต้องใช้เครื่อง BET ก็ต้องลงมาทำงานข้างล่างคนเดียว ในบริเวณที่เป็นซอกมุมของอาคารด้วย

เหตุเกิดตอนราว ๆ เที่ยงคืนในขณะที่นิสิตคนดังกล่าวนั่งวัดตัวอย่างอยู่หน้าเครื่อง BET

เขาไม่ได้บอกว่าเขานึกยังไงถึงมองไปที่ประตู เขาเล่าว่าเขาเห็นผู้หญิงแต่งชุดขาวผมยาวผ่านหน้าประตู (เห็นทางช่องกระจก) โดยมาจากทางห้องพักเจ้าหน้าที่ไปทางระเบียง แต่เนื่องจากในขณะนั้นประตูทางห้องพักเจ้าหน้าที่ปิดอยู่และก็ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น และเมื่อเปิดประตูออกไปก็ไม่เห็นใครอยู่ที่ทางเดิน

เท่านั้นแหละได้เรื่อง นิสิตคนดังกล่าวรีบเก็บข้าวของ ปิดเครื่องมือ และออกจากบริเวณดังกล่าวทั้งที และหลังจากวันนั้นก็ไม่เคยมาทำแลปตอนกลางคืนอีกเลย

ตอนที่นิสิตคนดังกล่าวได้ทุนไปเรียนที่อเมริกา ช่วงแรกก็ได้ไปอยู่กับ family เพื่อฝึกภาษา ในช่วงนั้นเขาก็มีอีเมล์มาถึงผมว่า "อาจารย์คะ หนูเจอแบบเดิมอีกแล้วค่ะ พอไปบอกให้ family ฟังเขาก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก นั่นเขาเป็นเหมือนญาติ หนูก็เลยย้ายออกเลย"


ว่าแต่ว่าวันนี้ คุณรู้จักสมาชิกทุกคนของแลปแล้วหรือยัง

ไม่มีความคิดเห็น: