แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เขาอกทะลุ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เขาอกทะลุ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชมเมืองพัทลุง ตอน ภูเขาที่ทะเลาะกัน ล่องแก่งลำธารา MO Memoir : Sunday 23 June 2562

ภูเขาสองลูกนี้ทะเลาะกัน เล่นกันแรง ลูกหนึ่งถึงกับหัวแตก อีกลูกหนึ่งถึงกับอกทะลุ ส่วนรายละเอียดว่าทำไปจึงทะเลาะกันนั้นจำไม่ได้แล้ว จำได้แต่เพียงว่าตอนเด็ก ๆ คุณตาเล่าให้ฟัง
 
แต่เดิม การเดินทางไปพัทลุงที่สะดวกที่สุดก็คือรถไฟ ถนนเพชรเกษมเองล่องใต้มาถึงชุมพรแล้วก็เลี้ยวขวาไประนอง จากนั้นค่อยเลี้ยวซ้ายลงใต้มาจนถึงตรัง แล้วจึงค่อยมายังพัทลุง ส่วนทางรถไฟนั้นล่องตรงจากชุมพร มาสุราษฎร์ธานี ทุ่งสง และพัทลุง ทางรถไฟมาก่อน ส่วนถนนจากชุมพรมาพัทลุงนั้นเกิดทีหลัง ลงรถไฟแล้วมองไปทางทิศตะวันออกก็จะเห็นเขาอกทะลุ เขาลูกนี้ก็เลยกลายเป็นสัญญลักษณ์ของจังหวัดนี้ ตอนนี้ได้ยินว่ามีการสร้างทางเดินไปจนถึงช่องเขาที่ทะลุแล้ว แต่คงต้องขอเตรียมตัวก่อน เพราะมันก็สูงไม่ใช่เล่นเหมือนกัน สูงมากพอที่ทำให้มีชาวต่างชาติขึ้นไปกระโดดร่มลงมาจากบนนั้นแล้ว ดูคร่าว ๆ ก็น่าจะสูงประมาณตึก ๓๐ ชั้นได้
 
Memoir ฉบับนี้เป็นบันทึกการเดินทางของวันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีครอบครัวคุณน้าอีกท่านหนึ่ง (บ้านที่ผมไปพักค้าง) เป็นผู้นำชมเมือง ด้วยการที่เสียเวลาอยู่ที่โรงพยาบาลตอนช่วงเช้าเนื่องจากต้องพาลูกไปให้หมอเจาะถุงหนองที่ตาเปลือกตาก่อน ที่โรงพยายาลเอกชนที่มีเพียงแห่งเดียวในตัวจังหวัดที่อยู่เลยสถานีรถไฟไปหน่อย ทำให้กว่าจะเดินทางออกจากตัวเมืองก็เกือบเที่ยงแล้ว 
  
ออกจากโรงพยาบาลก็แวะถ่ายรูปจุดชมวิวเขาอกทะลุและเขาหัวแตก ที่อยู่บนถนนเส้นเลียบทางรถไฟจากตัวสถานีขึ้นไปทางสถานีปากคลอง ทางจังหวัดเขาจัดเป็นจุดชมวิว ทำนองว่าจะให้เป็นจุดเช็คอิน แต่ผมว่าเขาสร้างอะไรเยอะไปหน่อย โดยเฉพาะอาคารที่คงอยากให้มันเป็นร้านค้า แต่ดูเส้นทางและบริเวณโดยรอบแล้วก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จ ณ จุดนี้ด้านหนึ่งเป็นเขาอกทะลุ อีกด้านหนึ่งเป็นเขาหัวแตก หรือเรียกชื่อเป็นทางการหน่อยก็คือ "สัตตบรรพต" ผมลงจากรถไปถ่ายรูปเพียงคนเดียว คนอื่นเขาไม่ลงกันเพราะแดดมันแรง จากนั้นก็ไปกินข้าวเที่ยงกันในตัวตลาด ณ ร้านแห่งหนึ่งที่คุณน้ารู้จักกับเจ้าของร้านดี ร้านนี้ขายบะหมี่และข้าวหมูแดง เรียกว่าทั้งอร่อยและราคาถูกแบบหาไม่ได้ในกรุงเทพ ระหว่างรถติดอยู่ในตัวเมือง คุณน้าก็ชี้ให้ดูอาคารหลังหนึ่ง และบอกว่าเป็นอาคารเก่าที่อยู่คู่ตัวเมืองมานานแล้ว อาจเรียกได้ว่าเป็นหลังเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็ได้
 
รูปที่ ๑ จุดชมวิวเขาอกทะลุ อยู่ริมถนนข้างทางรถไฟสายใต้ จากสถานีรถไฟพัทลุง ขับย้อนขึ้นเหนือเลียบฝั่งตะวันออกของทางรถไฟขึ้นมาหน่อย ก็จะถึงจุดฃมวิว

รูปที่ ๒ ฝั่งตรงข้ามของเขาอกทะลุ ก็คือเขาหัวแตก

รูปที่ ๓ อาคารรุ่นเก่า ที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในตัวเมือง


เสร็จจากกินข้าวคุณน้าก็พาย้อนขึ้นไปทางเหนือตามถนนสาย ๔๑ จุดแรกที่แวะให้ก็คือสวนยางพาราที่ตามโฉนดแล้วเป็นชื่อของพี่ชายผม โดยมีคุณน้าช่วยดูแลให้ สวนยางแปลงนี้อยู่หลังวัดทุ่งขึงหนัง (เรียกว่าหลังเมรุเผาศพก็ได้) จากนั้นก็พาต่อไปยังที่เที่ยวแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า "ควนน้อย แกรนด์แคนยอน" พื้นที่นี้เดิมเป็นบ่อดินลูกรัง มีการขุดดินลูกรังไปขายจนเป็นหลุมลึก ตอนหลังเขาก็ปล่อยให้น้ำท่วมขังจนเป็นเหมือนกับสระน้ำขนาดใหญ่ (แต่น้ำลึกจนไม่ให้ใครลงไปเล่น) เหมาะแก่การมาถ่ายรูปเล่นตอนเย็น ๆ และมากินข้าวเย็นที่ร้านอาหารริมน้ำ บ่อดินลูกรังบ่อนี้เห็นเขาขุดแบบไม่เกรงว่าสวนยางของคนอื่นที่อยู่แปลงติดกันนั้นจะยุบลงมาเลย เรียกว่าขุดซะแทบจะติดเส้นแบ่งเขตที่ดินก็ได้ แต่ก็โชคดีที่มันไม่พังลงมา แต่ผ่านไปนาน ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะถ้ามีน้ำซึมเข้าไปมาก ๆ ดินก็อาจจะอ่อนตัวลงไป
 
รูปที่ ๔ บ่อที่เกิดจากการขุดดินลูกรังขาย ตอนหลังน้ำท่วมเต็ม ก็เลยปล่อยให้เป็นอ่างเก็บน้ำ แต่ไม่ให้ใครลงเล่น เพราะน้ำมันลึก แต่มีการปรับปรุงบริเวณรอบอ่างให้เป็นร้านอาหาร แล้วตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น "ควนน้อย แกรนด์แคนยอน" ที่เหมาะแก่การมานั่งกินตอนเย็น ๆ 
 
รูปที่ ๕ ตรงไหนที่เป็นดินลูกรังก็ถูกขุดไปขาย ตรงไหนเป็นหินก็ค้างอยู่อย่างนั้น

รูปที่ ๖ อีกมุมหนึ่งของอ่างเก็บน้ำ (ที่เกิดจากการขุดบ่อดินลูกรัง) มุมนี้จะมีร้านอาหารร้านใหญ่ตั้งอยู่ ตอนที่ไปนั้นเป็นตอนเที่ยงวัน ไม่มีร้านเปิดสักร้าน

รูปที่ ๗ อีกมุมหนึ่งของอ่างเก็บน้ำ (ที่เกิดจากการขุดบ่อดินลูกรัง) มุมนี้จะมีร้านอาหารเล็ก ๆ ตั้งอยู่

จุดสุดท้ายที่แวะไปเที่ยวของวันนั้นคืออ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส อ่างเก็บน้ำนี้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในการป้องกันน้ำท่วมให้กับลุ่มน้ำปากพนัง และเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง ห้วยน้ำใสนี้เป็นลำธารที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างพัทลุงกับนครศรีธรรมราช แต่ถ้าเลยไปทางตะวันตกหน่อยก็จะเข้าเขตตรัง ต่อมาภายหลังมีคนเข้าไปพัฒนาเป็นสถานที่พักริมน้ำและล่องแก่ง เท่าที่สังเกตดูพวกรีสอร์ทต่าง ๆ จะตั้งอยู่ทางฝั่งพัทลุงหมด คงเป็นเพราะมันเป็นฝั่งที่มีถนน

รูปที่ ๘ ที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส เดิมนั้นคลองน้ำใสเป็นเส้นแบ่งระหว่างพัทลุงกับนครศรีธรรมราช ถ้าเลยไปทางตะวันตกหน่อยก็จะเข้าเขตจังหวัดตรัง

รูปที่ ๙ มุมเขื่อนระบายน้ำล้น จะเห็นถนนเส้นเก่าอยู่ใต้สะพานที่เป็นถนนเส้นใหม่ ถ้าไปทางซ้ายก็จะไปตรัง

รูปที่ ๑๐ จากสะพานที่เห็นในรูปที่ ๙ มองย้อนกลับมายังเขื่อนระบายน้ำล้น

รูปที่ ๑๑ บนจุดชมวิวของที่ทำการเขื่อน เขาตั้งชื่อว่าภูขี้หมิ้น

รูปที่ ๑๒ จุดปล่อยตัวสำหรับล่องแก่ง อยู่ท้ายเขื่อนลงมาหน่อย ภาพนี้มองไปทางต้นน้ำ

รูปที่ ๑๓ จากจุดเริ่มล่องแก่ง ภาพนี้มองไปทางปลายน้ำ รูปนี้ถ่ายโดยพยายามหลบขยะที่มีพวกมาล่องแก่งทิ้งอยู่บนฝั่ง จากจุดนี้ไปถึงหนานมดแดง (ดูแผนที่ในรูปที่ ๘) จะกินเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง

รูปที่ ๑๔ บริเวณจุดขึ้นฝั่งของการล่องแก่งที่รีสอร์ทวังไม้ไผ่ ภาพนี้มองไปทางต้นน้ำ

รูปที่ ๑๕ สวนยางพาราของพี่ชาย อยู่หลังวัดทุ่งขึงหนัง ที่คุณน้าช่วยดูแลให้ วันนั้นแวะเข้าไปก่อนเลยไปควนน้อย เลยถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกหน่อย
 
การไปล่องแก่งที่นี่ไม่จำเป็นต้องไปพักที่รีสอร์ท สามารถติดต่อรีสอร์ทต่าง ๆ ที่เขาให้บริการ เรียกว่าขับรถไปจอดไว้ที่รีสอร์ท จากนั้นก็เปลี่ยนชุด แล้วเขาจะพาขึ้นรถไปยังจุดปล่อยตัวที่อยู่บริเวณท้ายเขื่อน แล้วก็พายเรือแคนูลำละ ๒ คนล่องมาตามสายน้ำเรื่อย ๆ จนถึงรีสอร์ทที่จอดรถเอาไว้ ก็ขึ้นฝั่งที่นั่น อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วก็กลับได้ บางจุดที่อาจจะผ่านยากหน่อย ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทไปประจำอยู่ (ช่วยผลักเรือ) เนื่องด้วยแต่ละรีสอร์ทนั้นอยู่ห่างจากจุดปล่อยตัวไม่เท่ากัน ดังนั้นระยะเวลาที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนไปติดต่อนั้นเลือกจุดที่ใกล้หรือไกลจุดปล่อยตัว รีสอร์ที่มีชื่อสุด (และดูเหมือนว่าจะเป็นแห่งแรกสุด) ของที่นี้เห็นจะได้แก่ "หนานมดแดง" ระยะเวลาจากจุดปล่อยตัวมาถึงหนานมดแดงก็ประมาณ ๓ ชั่วโมง
 
บริเวณจุดปล่อยตัวนั้นเป็นต้นน้ำ ดังนั้นมันไม่ควรมีถังขยะ เพราะถ้าเกิดน้ำมาแรงพัดเอาถังขยะลงน้ำ สายน้ำก็จะสกปรกหมด และตอนที่ไปนั้นมันก็ไม่มีถังขยะ เป็นเหมือนกับพื้นที่ราบเล็ก ๆ ริมลำธาร แต่ที่น่าเสียดายก็คือมีการทิ้งขยะกันเกลื่อนกลาดบริเวณจุดปล่อยตัวนี้แล้ว ถ้าอยากให้การท่องเที่ยวที่นี่ยืนยาว ทางผู้ให้บริการล่องแก่งก็ควรที่จะร่วมกันรักษาความสะอาด ด้วยการย้ำไม่ให้นักท่องเที่ยว (หรือพนักงานของรีสอร์ทเอง) ทิ้งขยะในบริเวณดังกล่าว และถ้ามีขยะเกิดขึ้น ก็ควรที่จะเก็บและนำออกจากพื้นที่เอง ไม่เช่นนั้นต่อไปก็คงเป็นการล่องแก่งชมขยะลอยน้ำหรือติดตามซอกหิน เพราะถ้าถึงขึ้นนี้เมื่อใดก็คงไม่ต้องไปล่องแก่งถึงพัทลุงแล้ว ล่องตามคลองต่าง ๆ ในกรุงเทพก็ได้บรรยากาศแบบเดียวกัน
 
ตอนออกจากห้วยน้ำใสก็แดดกำลังดีอยู่ แต่ยังไม่ทันกลับเข้าเส้นสาย ๔๑ เมฆฝนก็โผล่มาพร้อมฝนตกแรง ขากลับก่อนเข้าบ้าน คุณน้าก็พาไปนั่งรถวนรอบเขาพนมวังก์ พาไปดูแปลงสวนยางริมเขา แต่ไม่ได้ลงเพราะฝนยังลงเม็ดอยู่ แปลงนี้เป็นมรกดคุณแม่ที่โอนให้ผมกับน้องเป็นชื่อร่วมกัน (เรียกว่ามรกดสืบทอดมาจากคุณตาคุณยาย) โดยคุณน้าเป็นผู้ดูแลให้ บริเวณติดกันก็มีลูกพี่ลูกน้องอีกคนใช้เป็นพื้นที่ทำงานประกอบธุรกิจของเขา ก็คือการรับลาดยางถนน จะว่าไปหมู่บ้านต่าง ๆ ในบริเวณนี้ ถ้าจะลำดับนับญาติกัน โดยอิงขึ้นไปรุ่นทวดของผม ก็คงหาความเกี่ยวข้องกันได้หมด เพราะเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่มาบุกเบิกพื้นที่บริเวณนี้
 
ไม่ได้กลับไปนาน พัทลุงเปลี่ยนไปเยอะ สิ่งแรกที่เห็นคือมีสะพานลอยให้รถวิ่งข้ามแยกด้วย (ตอนผมไปครั้งสุดท้ายยังไม่มีเลย แสดงว่าไม่ได้กลับไปนาน) จากเดิมที่เคยนั่งรถแต่เช้ามืดเพื่อไปกินข้าวเช้าที่ตรัง (ที่มีชื่อเสียงมานาน) ตอนนี้ร้านอาหารแบบนี้ก็มีทั่วไปในตัวจังหวัด ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงตรัง
 
แต่สุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องกลับ ก็ได้ไปกินข้าวเช้าที่ตรังอยู่ดี เพราะไหน ๆ ก็ต้องขึ้นเครื่องกลับที่นั่นอยู่แล้ว