วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

รถไฟสายพระพุทธบาท ภาพสถานีรถไฟ (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๓๕) MO Memoir : Thursday 29 March 2561

รถไฟสายพระพุทธบาทที่เริ่มต้นที่ อ.ท่าเรือ อยุธยา ไปยังพระพุทธบาท สระบุรี จัดได้ว่าเป็นรถไฟเอกชนสายแรก ๆ ของประเทศไทย และเป็นสายที่ดำเนินการโดยเอกชนตั้งแต่ต้นจนเลิกกิจการ B. R. Whyte กล่าวไว้ในหนังสือ "The Railway Atlas of Thailand, Laos and Combodia" เอาไว้ว่ารถไฟสายนี้เริ่มกิจการราว ๆ ปี ค.ศ. ๑๙๐๒ - ๑๙๐๓ ก่อนที่จะเลิกกิจการไปในปีค.ศ. ๑๙๔๒ (พ.ศ. ๒๔๘๕ หรือช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒)
 
และด้วยการที่เส้นทางรถไฟสายนี้เป็นเส้นทางรถไฟเอกชนที่สร้างขึ้นในยุคที่การถ่ายรูปยังไม่แพร่หลาย ก็เลยทำให้ภาพถ่ายบรรยากาศต่าง ๆ ของเส้นทางรถไฟนั้นแทบจะไม่มี แม้ว่าจะมีนักเขียนบางท่านได้บรรยายบรรยากาศการนั่งรถไฟสายนี้เอาไว้บ้างก็ตาม (เช่น เหม เวชกร และนาวาเอก สวัสดิ์ จันทนี)
 
สัปดาห์ที่แล้วระหว่างเปิดดูหนังสือตามชั้นต่าง ๆ ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย ก็ได้ไปเจอหนังสือ "สยามเก่า เล่าใหม่" ที่เขียนโดย ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ และในเรื่อง "การรถไฟไทยสมัยรัชกาลที่ ๕) ก็มีภาพที่ระบุว่าเป็น "สถานี รถไฟสายพระพุทธบาท" ดังแสดงในรูปที่ ๑ ข้างล่าง และดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่กล่าวถึงเส้นทางรถไฟสายนี้ในหนังสือเล่มนี้ จากภาพจะเห็นได้ว่าสำหรับรถไฟเล็กที่ไม่ได้บรรทุกน้ำหนักมาก (เส้นทางสายนี้ขนคนเป็นหลัก) แค่ทำคันทาง วางไม้หมอน แล้วก็วางรางลงไป ก็วิ่งรถได้แล้ว โดยไม่ต้องมีหินโรยจนเต็มระดับไม้หมอนและออกไปทางด้านข้างทั้งสองด้านเหมือนในปัจจุบัน


รูปที่ ๑ ภาพสถานีรถไฟพระพุทธบาท ที่ปรากฏในหนังสือ "สยามเก่า เล่าใหม่" โดย ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์ โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น (เลขที่ ๒๓๖/๖-๗ สยามสแควร์ ซอย ๒ ข้างโรงภาพยนต์ลิโด้) พ.ศ. ๒๕๒๐

รูปที่ ๒ แผนที่เส้นทางรถไฟสายพระพุทธบาท ที่ปรากฏในเอกสาร Air Objective Folder Thailand เป็นเอกสารที่กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาจัดทำขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เพื่อชี้เป้าหมายการทิ้งระเบิดในประเทศไทย ในแผนที่นี้เป้าหมายหนึ่งคือสนามบินโคกกระเทียม (Koke Kathiem) ส่วน G. Hokwasaibon คือคลองหกวาสายบน

เรื่องรถไฟสายพระพุทธบาทเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ๓ ที่เขียน สองเรื่องก่อนหน้านี้คือ
"รถไฟสายพระพุทธบาท" (วันอาทิตย์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖) และ
"รถไฟสายพระพุทธบาทในหนังสือนิทานชาวไร่" (วันพุธที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙)

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561

MO Memomir รวมบทความชุดที่ ๒๐ ประสบการณ์การทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยา MO Memoir : Tuesday 27 March 2561

ขอบคุณครับ :) :) :)


"บันทึกเรื่องราวการที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น
สาวน้อยร้อยห้าสิบเซนติเมตร (ที่เคยทำหน้าที่เป็นหัวหน้า pretty งานประชุมวิชาการของแลป)
สาวน้อยนักแสดงละคร (ที่ถ้ารับบทเล่นเป็นแกะคงดังไปนานแล้ว)
สาวน้อยหน้าบาน
สาวน้อยนักร้องคาราโอเกะ (คู่หูสาวน้อยหน้าบาน)
สาวน้อยผู้แสนเรียบร้อย (จากกลุ่มวิจัยเพื่อนบ้าน ที่เพื่อน ๆ ตั้งฉายาให้ว่านางฟ้าเมมเบรน)
สาวน้อยคมเข้มผมหยิกนัยน์ตาสวย (ซึ่งความสูงไม่สัมพันธ์กับความยาวของจังหวัดบ้านเกิด)
สาวน้อยจากเมืองริมทะเลตะวันออก
สาวน้อยใส่แว่นจากจังหวัดติดประเทศกัมพูชา
สาวน้อยหน้าใสใส่แว่นยิ้มได้ทั้งวัน
สาวน้อยหน้าใสจากบางละมุง
สาวน้อยจากเมืองวัดป่ามะม่วง
สาวน้อยผมยาวจากชายแดนใต้
สาวน้อยเมืองสิงห์บุรี
สาวน้อยเมืองชลบุรี
สาวน้อยบ้านสวน
สาวน้อยเมืองโอ่ง
สาวน้อยเมืองขุนแผน
สาวน้อยพระประแดง
หนุ่มหล่อผิวขาวร่างสูงสไตล์เกาหลี
หนุ่มสูงโปร่งคมเข้มชอบใส่กางเกงขาลีบ ๆ มีไรหนวดเหนือริมฝีปากเล็กน้อย
และหนุ่มสาวอีกหลายต่อหลายคน ที่ได้เข้ามาร่วมทำงานกันในกลุ่มวิจัยที่มีชื่อว่า (ที่ใครก็ไม่รู้ตั้งชื่อให้) "ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์"
อันที่จริงจะว่าไปแล้ว จะเรียกว่าเป็นบันทึกวิชาการก็คงจะไม่ค่อยถูกต้อง
และด้วยการที่เรื่องราวต่าง ๆ ที่นำมารวบรวมไว้นี้เป็นบันทึกประสบการณ์การทำงาน ดังนั้นแม้ว่ามันจะเป็นวิชาการ แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเอาไว้ทั้งหมด 
 
หลายเรื่องราวที่ผู้อ่านที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่มีการกล่าวถึง ขอให้ผู้อ่าน "อ่านระหว่างบรรทัด" ให้มากด้วย
รูปที่อยู่ท้ายบางบทความนั้นเป็นรูปที่ไม่ได้มีอยู่ในบทความต้นฉบับ แต่นำมาแทรกเข้าไปเพราะหน้ากระดาษมันว่างอยู่ ทั้งนี้เพื่อเป็นเครื่องเตือนความทรงจำว่าในกลุ่มวิจัยนี้เคยมีใครบ้างที่ผ่านเข้ามา แม้ว่ารูปเหล่านี้จะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของผู้ที่ได้เข้ามาร่วมทำงานด้วยกันเท่านั้นเอง"

ประโยคข้างต้นทั้งหมดคือคำนำที่เขียนไว้ในรวมบทความชุดที่ ๒๐ ประสบการณ์การทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยา เนื้อหาในชุดนี้คัดมาเฉพาะเรื่องบน blog ที่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับการทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยา ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์การทดลองอื่นนั้นจะนำมารวมไว้ในรวมบทความที่จะออกตามมาอีกไม่นาน

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2561

รถไฟ ไปเรื่อย ๆ (๕) ในอุ้งหัตถ์กรมพระกำแพง ฯ MO Memoir : Sunday 25 March 2561

กรุงเทพฯ
๔ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๑๗

สหรัฐอเมริกาได้ตัดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศเยอรมันนีและบีบบังคับให้ประเทศที่ยังเป็นกลางกระทำเช่นนั้นด้วย ทุกคนที่นี่จึงรู้สึกตึงเครียดเพราะไม่ทราบว่าประเทศสยามจะมีท่าทีตอบโต้อย่างไร ความตึงเครียดยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อหน่วยข่าวของรอยเตอร์ได้โทรเลขแจ้งมาว่า ประเทศจีนได้ตัดสินใจปฏิบัติตามสหรัฐอเมริกา ส่วนข่าวของที่นี่ไม่ได้เอ่ยถึงท่าทีของสยามที่มีต่อทิศทางทางการเมืองที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย และไม่มีสัญญาณใด ๆ เช่นเดียวกันที่จะบ่งบอกว่าประเทศสยามจะละทิ้งความเป็นกลางที่ยึดถืออย่างเหนียวแน่นมาตลอดเวลานั้น ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม ดังนั้นพวกเราจึงรู้สึกพึงพอใจ
 
ย่อหน้าข้างบนนำมาจากหน้า ๒๕๕ ในหนังสือ "กำเนิดการรถไฟในประเทศไทย" ที่เป็นการแปลบันทึกของ ลูอิส ไวเลอร์ ชาวเยอรมันผู้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมรถไฟของสยามในเวลานั้น

การสร้างเส้นทางรถไฟของไทยนั้นเริ่มจากให้บริษัทอังกฤษเป็นผู้สำรวจ พอจะสร้างเส้นทางสายไปโคราชปรากฏว่าทางเยอรมันประมูลได้ ทางอังกฤษก็โวยวายหาว่าไม่เป็นธรรม สุดท้ายทางรัฐบาลไทยจึงต้องยอมให้อังกฤษเป็นคนก่อสร้าง แต่การควบคุมงานให้เป็นหน้าที่ของวิศวกรเยอรมัน ทำให้เจ้ากรมรถไฟสามคนแรกของไทยนั้นเป็นชาวเยอรมัน
 
แต่พอเป็นเส้นทางสายใต้ ที่อังกฤษถือว่าฝั่งตะวันตกของสยามนั้นเป็นเขตอิทธิพลของอังกฤษ ประกอบกับรัฐบาลสยามมีปัญหาเรื่องเงินที่จะใช้ในการก่อสร้าง (ตอนนั้นการก่อสร้างเส้นทางสายเหนือและสายอีสานก็ยังไม่เรียบร้อย) จึงต้องยอมยกรัฐในคาบสมุทรมลายาให้กับอังกฤษและให้อังกฤษเป็นคนก่อสร้าง เพื่อแลกกับเงินกู้ ทำให้ตอนนั้นสยามมีหน่วยงานกำกับดูแลรถไฟสองหน่วยงานด้วยกัน โดยหน่วยงานแรกนั้นดูแลเส้นทางสายเหนือและอีสาน (ที่ใช้รางขนาด standard gauge) และหน่วยงานที่สองที่ดูแลเส้นทางสายใต้ (ที่ใช้รางขนาด metre gauge)
 
วันที่ ๕ มิถุนายน ปีพ.ศ. ๒๔๖๐ (ค.ศ. ๑๙๑๗) รัชกาลที่ ๖ ได้ยุบรวมหน่วยงานกำกับดูแลเส้นทางรถไฟทั้งสองเส้นทางเข้าด้วยกัน โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมขุนกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน (พระอิสรยศในขณะนั้น) โดยให้ลูอิส ไวเลอร์ เป็นหัวหน้าวิศวกร และนาย เอช กิตตินส์ เป็นที่ปรึกษากรมรถไฟ 
  
และในเดือนถัดมาในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม สยามก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน ส่งผลให้วิศวกรเยอรมันที่ทำงานก่อสร้างและกำกับดูแลการรถไฟต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งและควบคุมตัวไว้ในค่ายเชลยศึก
  
การที่สยามต้องประกาศสงครามกับเยอรมันโดยเลือกไปอยู่ฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสนั้นจะเรียกว่าทำความเสียใจให้กับคนไทยจำนวนไม่น้อย เพราะช่วงเวลาก่อนหน้านั้นต่างก็ได้รับรู้การกระทำที่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสกระทำต่อสยาม ในขณะที่ทางเยอรมันนั้นไม่ได้มีพฤติกรรมดังกล่าว การที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และแรงกดดันจากมหาอำนาจ ทำให้สยามที่เป็นประเทศที่ไม่มีกำลังทหารจะไปต่อรองกับใครต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
 
สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๑ แม้สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศของสยามเริ่มดีขึ้น แต่ตามความหวาดระแวงก็ยังคงมีอยู่ ปัญหานี้นำมาซึ่งการโต้เถียงเรื่องการขยายเส้นทางรถไฟและการปรับเปลี่ยนขนาดรางรถไฟ ในขณะนั้นเส้นทางสายใต้ (ที่ใช้รางขนาด meter gauge) นั้นเรียกได้ว่าสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว (รูปที่ ๒) แต่การเชื่อมต่อไปยังเส้นทางสายเหนือและอีสานยังเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากยังไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำ และการที่ใช้รางที่มึความกว้างที่แตกต่างกัน (สายเหนือใช้รางขนาด standard gauge)
 
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรมีการปรับรางให้เป็นขนาด standard gauge เพื่อป้องกันไม่ให้มหาอำนาจเข้ามาใช้เส้นทางรถไฟของสยามได้ เพราะในขณะนั้นเส้นทางรถไฟของอังกฤษและฝรั่งเศสที่สร้างในภูมิภาคนี้ต่างก็ใช้รางขนาด metre gauge แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าสยามควรมีการพัฒนาด้วยการเป็นศูนย์กลางการเดินทางด้วยรถไฟในภูมิภาคนี้ ดังนั้นควรต้องใช้รางขนาด metre gauge เพื่อที่จะได้สามารถเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟใน พม่า คาบสมุทรมลายา เขมร และเวียดนาม เข้าด้วยกันได้

ในบทที่ ๒ หัวข้อ ๒.๒ หน้าที่ ๕๐ ของหนังสือ "Rails of the Kingkon : The History of Thai Railways" ผู้แต่งคือ Ichiro Kakizaki ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า "ในการเลี้ยงอาหารค่ำ ณ สโมสรโรตารี กรุงเทพ ในปีค.. ๑๙๒๖ กรมพระกำแพงเพชรแสดงความตั้งใจที่ชัดแจ้งว่าต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางของเส้นทางรถไฟในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยได้อธิบายด้วยการใช้มือแทนเครือข่ายรถไฟในสยามโดย นิ้วหัวแม่มือแทนเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อไปยังพม่า นิ้วชี้แทนเส้นทางรถไฟสายเหนือ นิ้วกลางแทนเส้นทงารถไฟสายขอนแก่น นิ้วนางแทนเส้นทางรถไฟสายอุบลราชธานี นิ้วก้อยแทนเส้นทางรถไฟสายตะวันออก และแขนแทนเส้นทางรถไฟสายใต้"

แต่ก่อนที่จะไปถึงเวลานั้น สยามต้องตัดสินใจให้ได้ก่อนว่าจะเลือกใช้รางกว้างขนาดเท่าใด


รูปที่ ๑ รูปนี้ถ่ายจากภาพที่แขวนไว้ในตู้รถไฟที่ใช้เป็นห้องสมุดรถไฟนพวงศ์ เป็นภาพหัวรถจักรไอน้ำที่สถานีหัวลำโพง เดิมนั้นเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นรางกว้างขนาด standard gauge (ลูกศรสีเหลือง) พอจะให้รถไฟที่ใช้รางขนาด meter gauge วิ่งได้ก็ต้องทำการวางรางเพิ่มอีกเส้นหนึ่ง (ลูกศรสีเขียว) แสดงว่าภาพนี้ถ่ายไว้ในช่วงที่อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนขนาดรางเพื่อให้รถไฟที่ใช้รางขนาดความกว้างแตกต่างกันนั้นวิ่งบนเส้นทางเดียวกันได้

รูปที่ ๒ แผนการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อไปยังประเทศต่าง ๆ ของไทยในปีค.ศ. ๑๙๒๕ ที่ประมวลโดย Ichiro Kakizaki

รูปที่ ๓ "ฉัตรชยานุสสรณ ๒๔๘๐" บรรจุพระสรีรางคารของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ถ่ายไว้เมื่อวันพุธที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ 

รูปที่ ๔ "ฉัตรชยานุสสรณ ๒๔๘๐" ถ่ายไว้เมื่อวันพุธที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖


รูปที่ ๕ "ฉัตรชยานุสสรณ ๒๔๘๐" ถ่ายไว้เมื่อวันพุธที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๙ ตัวอย่างไอโซเทอมการดูดซับของ BET (๓) MO Memoir : Thursday 22 March 2561

Memoir ฉบับนี้จะเรียกว่าเป็นฉบับต่อจากฉบับเมื่อวันอังคารที่ ๒๐ ที่ผ่านมาก็ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัสดุรูพรุนที่มีพื้นที่ผิวสูง โดยพื้นที่ผิวที่สูงนั้นเป็นส่วนของ mesopore (รูพรุนขนาดกลาง)

ในการจำแนกขนาดรูพรุนนั้น ตามนิยามของ IUPAC จะแบ่งออก ๓ ขนาดด้วยกันคือ รูพรุนขนาดเล็กหรือ micropore คือเป็นรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูพรุนต่ำกว่า 2.0 nm ถัดขึ้นมาคือรูพรุนขนาดกลางหรือ mesopore คือเป็นรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูพรุนอยู่ช่วงจาก 2 - 50 nm และรูพรุนขนาดใหญ่หรือ macropore คือเป็นรูพรุนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูพรุนใหญ่กว่า 50 nm 

รูปที่ ๑ และ ๒ เป็นไอโซเทอมการดูดซับของ BET โดยใช้แก๊สไนโตรเจนที่นำมาจากบทความที่มีการตีพิมพ์เผยแพร่สองบทความด้วยกัน อยากให้ลองพิจารณากันเองก่อน
  
รูปที่ ๑ ไอโซเทอมการดูดซับของ BET โดยใช้แก๊สไนโตรเจน (ตัวอย่าง NHPC) นำมาจากบทความเรื่อง "Biomass-derived nitrogen-doped hierarchically porous carbon networks as efficient absorbents for phenol removal from wastewater over a wide pH range" โดย Wenyi Du, Junting Sun, Yongxi Zan, Zhengping Zhang, Jing Ji,ab Meiling Dou และFeng Wang ตีพิมพ์ในวารสาร RSC Advances., vol 7 ปีค.ศ. 2017 หน้า 46629 - 46635 คณะผู้วิจัยรายงานว่าตัวอย่างนี้มีพื้นที่ผิวของ micropore 1072 m2/g พื้นที่ผิวรวม 2687 m2/g โดยรูพรุนเป็นชนิด micropore 1-2 nm และ interconnected open mesopore ขนาด 2-6 nm และ macropore ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50-200 nm


รูปที่ ๒ ไอโซเทอมการดูดซับของ BET โดยใช้แก๊สไนโตรเจน นำมาจากบทความเรื่อง "Biomass derived hard carbon used as a high performance anode material for sodium ion batteries" โดย Kun-lei Hong, Long Qie, Rui Zeng, Zi-qi Yi, Wei Zhang, Duo Wang, Wei Yin, Chao Wu, Qing-jie Fan, Wu-xing Zhang และ Yun-hui Huang ในวารสาร Journal of Materials Chemistry A vol. 2 ปีค.ศ. 2014 หน้า 12733 - 12738 ตัวอย่างนี้คณะผู้วิจัยรายงานว่ามี mesopore ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 nm และ 23 nm พื้นที่ผิว BET รวม 1272 m2/g

ตัวอย่างในรูปที่ ๑ และ ๒ นั้นเป็นตัวอย่างประเภทเดียวกัน โดยตัวอย่างในรูปที่ ๑ นั้นสามารถดูดซับแก๊สได้เต็มที่ประมาณ 1500 ml/g ส่วนตัวอย่างในรูปที่ ๒ นั้นดูดซับแก๊สได้เต็มที่ประมาณ 1100 ml/g หรือประมาณ 73% ของตัวอย่างในรูปที่ ๑ แต่พื้นที่ผิวของตัวอย่างในรูปที่ ๒ นั้นมีค่าเพียงแค่ครึ่งเดียวของตัวอย่างในรูปที่ ๑
 
วัสดุที่มีรูพรุนสูงจะสามารถดูดซับแก๊สได้ปริมาตรมากขึ้น แต่รูพรุนขนาดเล็กจะมีอัตราส่วนพื้นที่ผิวรูพรุนต่อปริมาตรรูพรุนที่สูงกว่า ในส่วนของรูพรุนขนาดเล็กหรือ micropore นั้น (รูที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 2 nm ลงไป) แก๊สจะเข้าไปเต็มรูพรุนได้อย่างรวดเร็วแม้ว่าค่า p/p0 จะต่ำมาก (เช่นต่ำกว่า 0.05) ดังนั้นถ้าต้องการวัดการกระจายขนาดรูพรุนในช่วงนี้จำเป็นต้องค่อย ๆ เพิ่มความดันแก๊สในระบบอย่างช้า ๆ แต่จะทำให้การวิเคราะห์นั้นกินเวลานานมากขึ้น ไอโซเทอมในรูปที่ ๑ นั้นมีการวิเคราะห์ตรงช่วงนี้ เห็นได้จากการที่กราฟมีจุดจำนวนมากตรงบริเวณ p/p0 มีค่าใกล้ศูนย์ (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีส้ม) ในกรณีที่ไม่ได้สนใจ micropore ก็อาจทำการวิเคราะห์ด้วยการเพิ่มดันที่จุดแรกนั้นให้แก๊สเติมเต็ม micropore ไปเลย ทำให้เห็นจุดแรกของไอโซเทอมอยู่ที่ค่าห่างออกมาจากแกน p/p0 (กรอบสีส้มในรูปที่ ๒)
 
ในกรณีของของแข็งที่มีพื้นที่ผิวต่ำนั้น เราจะเห็นปริมาตรของแก๊สที่ micropore ดูดซับไว้ได้นั้นมีค่าต่ำ ซึ่งอาจจะเห็นเกือบเป็นศูนย์เลยก็ได้ในกรณีที่วัสดุรูพรุนนั้นมีพื้นที่ผิวต่ำ (เช่นระดับ 10 m2/g หรือต่ำกว่า) แต่ถ้าเป็นของแข็งที่มีพื้นที่ผิวสูงขึ้น (เช่นระดับ 100 - 500 m2/g) เราก็จะเห็นปริมาตรของแก๊สที่ micropore ดูดซับไว้ได้นั้นมีค่าสูงขึ้น (เช่นระดับหลายสิบหรือเข้าสู่หลักร้อย ml/g) และถ้าเป็นของแข็งที่มีพื้นที่ผิวสูง (เช่นระดับ 1000 m2/g) เราก็จะเห็นปริมาตรของแก๊สที่ micropore ดูดซับไว้ได้นั้นมีค่าสูงมากขึ้นไปอีก (เช่นระดับหลายร้อย ml/g)
 
มีบางครั้งเหมือนกันที่แม้ว่าของแข็งมีรูพรุนนั้นจะมี micropore แต่ในการเกิดปฏิกิริยานั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจการมีอยู่ของมัน เช่นในกรณีที่สารตั้งต้นนั้นมีขนาดโมเลกุลใหญ่จนยากที่จะแพร่เข้าหรือไม่สามารถแพร่เข้าไปใน micropore ได้ ในกรณีเช่นนี้พื้นที่ผิวเฉพาะส่วนของ mesopore จะมีความสำคัญมากกว่าเพราะเป็นส่วนที่โมเลกุลสารตั้งต้นสามารถแพร่เข้าไปได้ แต่การวัดพื้นที่ผิวด้วยเทคนิค BET นั้นเราจะวัดได้แต่ค่าพื้นที่ผิวของ micropore และพื้นที่ผิวรวม ดังนั้นถ้าอยากทราบพื้นที่ผิวเฉพาะส่วนของ mesopore เราก็ยังต้องวัดพื้นที่ผิวของส่วนที่เป็น micropore อยู่ดี เพื่อที่จะได้เอาค่านี้ไปหักจากพื้นที่ผิวรวมเพื่อให้ได้ค่าพื้นที่ผิวเฉพาะส่วนของ mesopore
 
ถ้าพิจารณาพื้นที่ผิวในส่วนของ micropore ตัวอย่างในรูปที่ ๑ นั้นมีปริมาตรส่วนของ micropore ประมาณ 450 ml/g และมีพื้นที่ผิว micropore ประมาณ 1000 m2/g ส่วนตัวอย่างในรูปที่ ๒ นั้นมีปริมาตรส่วนของ micropore ประมาณครึ่งเดียวของตัวอย่างในรูปที่ ๑ แม้ว่าตัวอย่างในรูปที่ ๒ นั้นจะไม่มีการวัดพื้นที่ผิวส่วนของ micropore แต่เราก็อาจประมาณได้จากสัดส่วนปริมาตรแก๊สที่ micropore ดูดซับเอาไว้ได้ (แม้จะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาก็พบว่าพอจะใช้ประมาณได้) ว่าตัวอย่างในรูปที่ ๒ นั้นน่าจะมีพื้นที่ผิวในส่วนของ micropore ประมาณ 500 m2/g ดังนั้นพื้นที่ผิวในส่วน mesopore ของตัวอย่างในรูปที่ ๒ ก็จะอยู่ที่ประมาณ 700 m2/g หรือประมาณ 40% ของพื้นที่ผิวในส่วนของ mesopore ของตัวอย่างในรูปที่ ๑
 
แต่ถ้าพิจารณาปริมาตรของ mesopore จะเห็นว่าปริมาตร mesopore ของรูปที่ ๒ นั้น (ประมาณ 850 ml/g) อยู่ที่ระดับ 80% ของปริมาตร mesopore ของรูปที่ ๑ (ประมาณ 1050 m2/g) นั่นแสดงว่าขนาดของ mesopore ของตัวอย่างในรูปที่ ๒ นั้นต้องใหญ่กว่าขนาดของ mesopore ของตัวอย่างในรูปที่ ๑ ซึ่งผลการวิเคราะห์ขนาด mesopore ก็เป็นเช่นนั้น


รูปที่ ๓ ผลของอุณหภูมิต่อปริมาณฟีนอลที่ดูดซับได้ (qm) จากบทความในรูปที่ ๑

รูปที่ ๓ เป็นข้อมูลจากบทความในรูปที่ ๑ (จากวารสารที่มี impact factor 3.108) ที่มีการนำเอาตัวอย่างเชิงพาณิชย์ (Norit CGP) มาทดสอบเปรียบเทียบ โดยทำการวัดปริมาณฟีนอลที่ดูดซับได้ที่อุณหภูมิต่าง ๆ ตรงนี้มีจุดสังเกตนิดนึงตรงที่ในกรณีของ Norit CGP นั้นผู้ทดลองพบว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นจะดูดซับฟีนอลได้มากขึ้น ในขณะที่ตัวอย่าง NHPC (ที่เป็นตัวอย่างที่คณะผู้วิจัยสังเคราะห์ขึ้น) ดูดซับได้น้อยลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงสำหรับปฏิกิริยาการดูดซับที่เกิดได้เองนั้น (Gibb's free energy หรือ ΔG มีค่าเป็นลบ และ Heat of adsorption หรือ ΔH นั้นมีค่าเป็นลบ) ควรจะดูดซับได้น้อยลงที่อุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเรื่องผลของอุณหภูมิต่อการดูดซับนี้นี้เคยอธิบายเอาไว้ใน Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๗๕ วันพุธที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ เรื่อง "อุณหภูมิและการดูดซับ"
 
เมื่อไปพิจารณาวิธีการทดลองก็พบว่า ผู้วิจัยใช้วิธีเติม adsorbent ลงในสารละลายโดยไม่มีการไล่อากาศออกจากรูพรุนก่อน โดยเฉพาะในส่วนของ micropore ที่ไล่อากาศออกยาก ตรงนี้ใครที่เคยวัดพื้นที่ผิว BET วัสดุที่มี micropore จำนวนมากน่าจะรู้ดีว่าต้องทำสุญญากาศนานแค่ไหนแม้ว่าจะมีการให้ความร้อนช่วยก็ตาม ทำให้สงสัยเหมือนกันว่าอาจเป็นเพราะตัวอย่าง Norit CGP นั้นมี mesopore จำนวนน้อยกว่า NHPC มาก การดูดซับส่วนใหญ่จึงเกิดที่ micropore เป็นหลัก (ไม่เหมือน NHPC ที่เกิดที่ mesopore เป็นหลัก) แต่เนื่องจากใน micropore มีอากาศค้างอยู่ พื้นที่ผิวที่สัมผัสกับของเหลว (พื้นที่ผิวจริงที่สามารถทำการดูดซับฟีนอลจากของเหลว) จึงต่ำกว่าพื้นที่ผิวที่วัดได้อยู่มาก แต่เมื่อเพิ่มอุณหภูมิการทดลองให้สูงขึ้น อากาศจะขยายตัวและไหลออกจาก micropore ได้ง่ายขึ้น ของเหลวที่มีความหนืดลดลงตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจึงเข้าไปเติมเต็มรูพรุนได้มากขึ้น พี้นที่ผิวที่สามารถทำหน้าที่ดูดซับจึงเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เห็นการดูดซับนั้นดีขึ้นที่อุณหภูมิสูง
 
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางรูพรุนบอกให้ทราบถึงความยากง่ายในการแพร่เข้า-ออกจากรูพรุน ปัญหานี้จะเด่นชัดในกรณีของปฏิกิริยาที่เกิดในเฟสของเหลว เพราะมีทั้งการที่ต้องทำให้แก๊สต่าง ๆ ที่อยู่ในรูพรุนนั้นออกมาให้ได้ก่อน เพื่อที่ของเหลวจะไหลเข้าไปในรูพรุนได้ ส่วนพื้นที่ผิวของรูพรุนนั้นบอกให้ทราบถึงความสามารถในการดูดซับสารเอาไว้ ถ้าหากว่าสารนั้นสามารถแพร่เข้าไปในรูพรุนได้
 
ถือเสียว่าบทความนี้เป็นการยกตัวอย่างมาเพื่อการฝึกการอ่านกราฟและเปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ก็แล้วกันครับ

และขอปิดท้ายด้วยรูปสมาชิกของกลุ่มที่วันนี้มาแลปแต่เช้า และหวังว่าผลแลปที่ได้ในวันนี้จะช่วยให้ได้ข้อสรุปที่ลงตัวกับวิทยานิพนธ์ที่กำลังเขียนอยู่

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ ตอนที่ ๘ ตัวอย่างไอโซเทอมการดูดซับของ BET (๒) MO Memoir : Tuesday 20 March 2561

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้รับคำถามมาคำถามหนึ่งเกี่ยวกับไอโซเทอมการดูดซับแบบ BET ของวัสดุรูพรุนชนิดหนึ่งที่มีพื้นที่ผิวสูงอยู่ในช่วง 1300-1600 m2/g กราฟที่ผมได้มาแสดงในรูปที่ ๑ ข้างล่าง ลองพิจารณาดูกันเองก่อนนะครับ คำถามที่เขาถามผมมาก็คือทำไมกราฟในช่วง relative pressure (p/p0) ตั้งแต่ 0.3 ขึ้นไปจึงไม่แสดงลักษณะของ hysteresis loop (คือมีการไต่ขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง p/p0 เข้าใกล้ 1.0) แต่ไต่ขึ้นในลักษณะที่เรียกว่าแทบจะเป็นเส้นตรงตลอดทั้งช่วง (ยกเว้นช่วง p/p0 ใกล้ 0) แล้วจะอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าอย่างไรดี


รูปที่ ๑ ไอโซเทอมการดูดซับ (Exp (Ad)) - คายซับ (Exp (De)) แก๊สไนโตรเจนบนพื้นผิววัสดุรูพรุนชนิดหนึ่งที่ -196ºC

ในเดือนกุมภาพันธ์ปีค.ศ. ๑๙๓๘ (จะตรงกับพ.ศ. ๒๔๘๐ นะครับ เพราะช่วงนั้นบ้านเราจะเริ่มปีใหม่ในวันที่ ๑ เมษายน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น ๑ มกราคมในปีพ.ศ. ๒๔๘๔) Stephen Brunauer, P. H. Emmett และ Edward Teller ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง "Adsorption of gases in multimolecular layers" ในวารสาร Journal of the American Cheical Society ๖๐(๒) หน้า ๓๐๙ - ๓๑๙ ในบทความนี้ได้นำเสนอแบบจำลองการดูดซับโมเลกุลแก๊สบนพื้นผิวของแข็งที่ยอมให้มีการดูดซับซ้อนกันหลายชั้น ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามแบบจำลอง BET (อ่านว่า บี-อี-ที เพราะเป็นชื่อย่อของคนทั้งสาม) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจวบจนถึงปัจจุบัน
 
รูปแบบของสมการ BET ที่พบเห็นกันทั่วไปนั้นคือสมการ (A) ในกรอบสีแดงของรูปที่ ๒ ข้างล่าง ตามสมการนี้ถ้าเขียนกราฟโดยให้ค่า p/p0 เป็นแกน x และ p/(v(p0 - p)) เป็นแกน y ก็จะได้กราฟเส้นตรงที่มีความชันเท่ากับ (c - 1)/(vmc) และจุดตัดแกน y ที่ 1/(vmc) โดย p คือค่าความดันของการดูดซับ p0 คือค่าความดันอิ่มตัว v คือปริมาตรแก๊สที่ของแข็งดูดซับเอาไว้ vm คือปริมาณแก๊สที่ปกคลุมผิวของแข็งโดยมีความหนาเพียงชั้นโมเลกุลเดียว (ที่เรียกว่า monolayer) และ c คือค่าคงที่ และเมื่อได้ค่า vm มาก็จะคำนวณหาจำนวนโมเลกุลแก๊สที่ต้องใช้ในการปิดคลุมพื้นผิวด้วยความหนาเพียงชั้นโมเลกุลเดียวได้ จากนั้นเมื่อนำจำนวนโมเลกุลคูณด้วยพื้นที่ที่ ๑ โมเลกุลปิดคลุมพื้นผิว (เช่นในกรณีของไนโตรเจนจะมีค่าประมาณ 0.1620 nm2 โดยค่านี้ยังขึ้นอยู่กับว่าประมาณจากปริมาตรแก๊สที่กลายเป็นของเหลวหรือของแข็ง) ที่มาที่ไปของสมการนี้เคยแสดงไว้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๐๒ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เรื่อง "การดูดซับบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ตอนที่ ๖ แบบจำลองไอโซเทอมการดูดซับของ BET"
 
แต่สมการ (A) นี้ตั้งอยู่บนข้อสมมุติที่ว่าจำนวนชั้นการดูดซับนั้นสามารถหนาได้ถึง "อนันต์" และพบว่าใช้ได้ดีในกรณีที่ค่า p/p0 ไม่เกิน 0.3 ดังนั้นข้อมูลที่จะนำมาคำนวณค่า vm และ c ควรอยู่ในช่วงที่ค่า p/p0 ไม่เกิน 0.3


รูปที่ ๒ สมการ (A) ในกรอบสีแดงคือสมการ BET ที่ใช้ในกรณีที่ยอมให้จำนวนชั้นการดูดซับเพิ่มได้มากถึงเป็นอนันต์ ส่วนสมการ (B) ในกรอบสีเขียวเป็นกรณีที่จำนวนชั้นการดูดซับมีจำกัด
 
ในกรณีที่จำนวนชั้นการดูดซับนั้นมีจำกัด คือซ้อนกันหนาได้ไม่เกินระดับหนึ่ง (เช่นเกิดจากขนาดของรูพรุนที่แคบ ทำให้จำนวนชั้นโมเลกุลที่สามารถเรียงซ้อนกันได้นั้นมีจำกัด) ปริมาณแก๊สที่พื้นผิวดูดซับเอาไว้ได้จะเป็นดังสมการ (B) ที่อยู่ในกรอบสีเขียวในรูปที่ ๒ โดย n คือจำนวนชั้นของการดูดซับที่เกิดขึ้น สมการ (B) นี้เกิดจากการสังเกตพบว่าเมื่อทำการเขียนกราฟโดยใช้สมการ (A) นั้น ในช่วง p/p0 ตั้งแต่ประมาณ 0.35 ไปจนถึง 0.50 กราฟมีการเบี่ยงเบนออกไปจากการเป็นเส้นตรง (รูปที่ ๓) การหาค่า n นั้นทำได้ด้วยการเดาค่า n ขึ้นมา แทนค่าลงในสมการ (B) แล้วพิจารณาดูว่าค่า n ไหนที่ให้ผลการคำนวณเข้ากับข้อมูลจากการทดลองมากที่สุด
 
ถ้าให้ n = 1 สมการ (B) ก็จะกลายเป็นแบบจำลองการดูดซับของ Langmuir ที่การดูดซับนั้นมีความหนาเพียงชั้นโมเลกุลเดียว


รูปที่ ๓ เนื้อหาของบทความที่กล่าวถึงผลการทดลองที่ไม่เป็นไปตามสมการ (A) แต่สามารถใช้สมการ (B) ทำนายได้

ตัวอย่างที่มีพื้นที่ผิวสูงมักจะเป็นตัวอย่างที่มีรุพรุนขนาดเล็ก และด้วยรูพรุนที่มีขนาดเล็กทำให้จำนวนชั้นการซ้อนทับกันของการดูดซับนั้นมีจำกัด จากข้อมูลในรูปที่ ๑ นั้นเมื่อใช้ค่าช่วง p/p0 ไม่เกิน 0.3 จะได้ค่า vm = 377.5009 ml/g ที่ STP และ c = 10.250241 (เครื่องวิเคราะห์มันคำนวณให้ ผมไม่ได้คำนวณเอง) รูปที่ ๔ เป็นการเปรียบเทียบผลการทดลอง (ใช้เส้นการดูดซับ) ค่าที่คำนวณได้จากสมการ (A) และค่าที่คำนวณได้จากสมการ (B) โดยสมมุติค่า n = 5, 6 และ 7 จะเห็นว่าที่ค่า n = 6 นั้นจะให้ผลการคำนวณที่ใกล้กับผลการทดลองมาก และถ้าเพิ่มค่า n ขึ้นไปเรื่อย ๆ สมการ (B) ก็จะวิ่งเข้าหาสมการ (A)
  
ผลการคำนวณในรูปที่ ๔ แสดงว่าวัสดุรูพรุนที่เขาเอาผล BET มาสอบถามผมนั้นมีขนาดรูพรุนที่ค่อนข้างจำกัด ไม่ได้มีรูพรุนที่มีขนาดที่ใหญ่มากจนโมเลกุลแก๊สสามารถเรียงซ้อนทับกันได้หลายชั้น

ณ จุดนี้จะเห็นนะครับว่า คำอธิบายผลการทดลองที่กระทำในปีนี้ มีปรากฏอยู่ในบทความต้นฉบับที่ตีพิมพ์เผยแพร่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้ว ถ้ามัวแต่ค้นหาดูแต่บทความย้อนหลังไม่เกิน ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีแบบที่หลายสำนักในเมืองไทยเขาสอนนิสิตกัน ก็ไม่รู้ว่าจะเจอคำตอบหรือเปล่า

รูปที่ ๔ กราฟเปรียบเทียบข้อมูลเส้นการดูดซับ (Exp (Ad)) จากรูปที่ (๑) กับผลการคำนวณด้วยสมการ (A) และสมการ (B) ที่ค่า n = 5, 6 และ 7 (เมื่อ n คือจำนวนชั้นของการดูดซับที่เรียงซ้อนกัน) โดยใช้ค่า vm = 377.5009 ml/g ที่ STP และ c = 10.250241 จะเห็นว่าที่ n = 6 จะให้ผลการคำนวณที่ใกล้เคียงกับค่าที่ได้จากการวัดมาก

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2561

แม่นก กกลูกนก (๕) MO Memoir : Sunday 18 March 2561

ในที่สุดก็ถึงเวลา ที่นกน้อยต้องโผบินออกจากรัง เพื่อออกไปผจญภัยเพียงลำพัง
 
เย็นวันวาน ขณะกำลังทำความสะอาดรถ ก็ได้ยินเสียงนกกระพือปีกที่ต้นแก้ว ตรงที่แม่นกทำรัง
 
พอโผล่ออกไปดู ก็ไม่เห็นนกสักตัวเหลืออยู่ในรัง เหลือแต่นกน้อยที่โผออกมาเกาะอยู่ที่กิ่งดอกแก้วข้างรัง
 
ตอนเช้ายังเห็นแม่นกและลูกนกยังคงอยู่คู่กัน ก็คิดว่าคงใกล้จะถึงวัน ที่ทั้งคู่จะต้องทิ้งรัง
 
เช้าวันนี้ก็เลยขอเอารูปภาพครอบครัวนกตอนที่อยู่ในรัง ที่บันทึกเอาไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มารวบรวมไว้หน่อย
 
เชื่อว่าคงมีสักวัน ที่พวกเขาคงจะกลับมาทำรัง บนแง่กิ่งต้นไม้ที่มีร่มใบ ที่สามารถปกป้องลูกนกน้อยจากแสงแดดที่ร้อนแรง และลมพายุฝนที่อาจพัดกระชากรัง
 
สำหรับหลายคนแล้ว เช้าวันอาทิตย์เหมาะแก่การนอนตื่นสาย แต่สำหรับผม การได้มานั่งชิงช้าหน้าบ้าน จิบกาแฟร้อน ๆ พร้อมขนมปังปิ้ง ท่ามกลางสายลมพัดอ่อน ๆ ฟังเสียงนกร้อง และดูกระรอกกระโดดวิ่งเล่นข้ามต้นไม้ไปมา ก็ถือว่าคุ้มค่าต่อการตื่นแต่เช้าเหมือนกัน
 
และก็เป็นอีกหนึ่งวัน ที่เรื่องบนหน้า blog วันนี้ เป็นเรื่องที่ไม่มีสาระอีกครั้งหนึ่ง


รูปที่ ๑ ถ่ายตอนเย็นวันอังคารที่ ๑๓ มีนาคมที่ผ่านมาโดยใช้แฟลช

รูปที่ ๒ ท่าทางไม่ค่อยตื่นกล้องเท่าไรนัก (ถ่ายไว้เมื่อวันอังคารที่ ๑๓ ที่ผ่านมา)

รูปที่ ๓ เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ แม่นกคงออกไปหาอะไรกิน เหลือแต่ลูกนกอยู่ในรัง

รูปที่ ๔ เช้าวันพฤหัสบดี เมื่อลูกนกอยู่ในรังตัวเดียว

รูปที่ ๕ เช้าวันวาน ลูกนกดูตัวโตแล้ว เป็นเช้าวันสุดท้ายที่ได้อยู่คู่กัน

รูปที่ ๖ ลูกนกเมื่อเช้าวันวาน

รูปที่ ๗ ลูกนก เมื่อเช้าวันวาน ตอนยังอยู่ในรังกับแม่นก


รูปที่ ๘ รูปสุดท้ายก่อนลูกนกจะโผบินไปตอนห้าโมงเย็นวันวาน ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์ เลยไม่ค่อยชัดเท่าใด

รูปที่ ๙ สภาพรังนกที่เหลืออยู่

รูปที่ ๑๐ เช้าวันนี้เห็นคู่นี้มาเกาะอยู่ที่รังที่โคมไฟหน้าบ้าน ไม่รู้ว่าจะมาออกไข่ที่นี่อีกหรือเปล่า จะว่าไปแล้วรังนี้เป็นรังเก่า เพราะไม่เห็นนกมาอยู่ตั้งนานแล้ว หรือว่าขี้เกียจทำรังใหม่กันก็ไม่รู้

รูปที่ ๑๑ ปีนขึ้นไปดูก็ไม่มีอะไรจริง ๆ สภาพเช่นนี้น่าจะไปทำรังใหม่ที่สะอาดอยู่จะดีกว่า