เมื่อวาน
ศิษย์เก่าภาควิชาผู้หนึ่งได้โพสข้อความเพื่ออยากบันทึกและอยากแชร์
และอยาก discuss
กับบรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัย
ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ตอนแรกผมขอเขาว่าจะขอคัดลอกข้อความมาแปะไว้บนหน้า
facebook
โดยไม่เปิดเผยชื่อ
แต่เปลี่ยนใจว่าเอามาบันทึกไว้บนหน้า
blog ดีกว่า
เพื่อที่จะได้แบ่งปันมุมมองและความรู้สึกของผู้บริหารของบริษัทหนึ่ง
ที่มีต่ออาจารย์และนิสิตจากมหาวิทยาลัยที่
"ขอ"
ไปเยี่ยมชมและเรียนรู้จากเขา
ลองอ่านเองก็แล้วกันนะครับ
ผมคัดลอกมาโดยไม่ได้แก้ไขอะไร
แต่ตัวอิโมจินั้นอาจเพี้ยนไปบ้าง
บางตัวไม่สามารถคัดลอกมาได้ครับ
:) :) :)
--------------------
เรื่องเศร้าเสาร์นี้
😔
มีเรื่องอยากบันทึก
อยากแชร์ และอยาก discuss
กับพี่น้องเพื่อนฝูง
ที่เป็นอ.มหาลัย
ด้วย ว่า มันเกิดอะไรขึ้นนะ
(ยาวนะ
เตือนก่อน 555+)
เมื่อวาน
แม่เป็นวิทยากร ที่ออฟฟิศแม่เอง
ต้อนรับนักศึกษา
คณะ สถาปัตย์
มหาวิทยาลัยรัฐที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ
แถวท่าพระจันทร์ 😛
คืนก่อน
แม่ก็คิดว่าจะใส่ชุดอะไรดี
ปกติถ้าต้อนรับแขกแบบนี้
แม่จะใส่เดรส หรือ
เชิ้ตกางเกงใส่สูททับ ก็คือ
ชุดสุภาพเลยแหละ
แต่พอมาคิดว่า
เป็นถาปัด ก็ เออ เค้าคงชิลๆสบายๆกันแหละ
กลัวจะดู
out ดูโดด
เลยใส่เชิ้ตขาวตัวยาว
กะ legging แทน
แต่พอเจอเด็กเข้าไป
อหหหหหหหห
มีแค่ประมาณ
1/3
ที่แต่งตัวเรียบร้อย
คือไม่ต้องใส่สูทผูกไทมานะลูกกกกก
แต่มันไม่น่าใช่
ลากแตะ แตะแบบแตะะะะะะ
(คีบเอย
สวมเอย แบบฟองน้ำอ่ะ)
เสื้อ crop
เอวลอยโชว์พุง
มาดูงานนอกสถานที่
การแต่งตัวว่าหนักแล้ว
กิริยามารยาทบางคนนี่
แทบอยากจะด่าออกไมค์ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอจ๊ะ
ผู้หญิงแถวหน้าบางคน
นั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าใส่
ผู้ชายบางคนนั่งลอยหน้า
ทำหน้าตา challenge
ใส่
ขณะที่แม่กำลังพูด
จนฉันผู้ซึ่งอารมณ์ดีๆอยู่
เริ่มอารมณ์เสีย
และต้องจิกตาใส่เด็กเวรเหล่านั้น
นิดนึง
การกระดิกตีนดิ๊กๆใส่หน้า
และ นั่งมองตาแข็ง ถึงเบาลง
😒
แต่พอจบ
session
เหล่าน้องๆ
หลายๆคน (แต่ไม่มีเด็กเวรเหล่านั้น)
ก็มาถามเรื่องการขอฝึกงาน
ซึ่งแบ่บ…………😑
คือ นี่ว่าจะ
feedback
ไปที่ผช.คณบดี
ที่เป็นคนติดต่อมานะ
ว่า
ในฐานะที่เราก็มีลูก
ในฐานะที่เราก็อยู่ในบริษัทที่เป็นผู้ประกอบการ
และ เป็นคนคัดเด็กฝึกงาน
เด็กบุคลิกภาพแบบนี้
ไม่มีกาละเทศะแบบนักศึกษาส่วนใหญ่ของคณะนี้
เราไม่รับฝึกงาน
และไม่รับเข้าทำงานนะคะ
ซึ่งงงง
เดาว่าบางคนก็อาจจะบ้านรวย
ไม่แฆร์
เปิดบ.เองก็ได้
แต่…
ถามจริงๆเถอะ
คิดว่าจะทำได้ดีเหรอ
ถ้าแค่เรื่องที่ง่ายที่สุด
อย่างแต่งกายให้รู้กาละเทศะ
บุคลิกสุภาพ
ในที่สาธารณะ
ยังทำไม่ได้
ก็คงทำอย่างอื่นที่ยากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ
แล้วอย่าพูดว่า
อันนี้สไตล์เด็กฝรั่ง เด็กนอก
ฉัน
ผู้ซึ่งทำงานกับต่างชาติมาร่วม
20 ปี
ต่างชาติที่เป็นผู้บริหาร
ไม่ใช่ฝรั่งขี้นก
เขาและลูกหลานเขา
ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้จ้ะ
เขาก็แต่งตัวถูกกาละเทศะ
บุคลิกน่าเชื่อถือ
กล้า แต่ก็สุภาพ กัน
ปีที่แล้ว
รับเด็กฝึกงาน เสดสาด จุฬา
มาคน ก็แอบท้อ
บุคลิกเอย
วินัยเอย งานที่ส่งมาเอย…
เหมือนเอาสิ่งที่แม่สอน
ไปพิมพ์ แล้วส่งกลับคืนมา…
ลู้กกกกกก
ใจคอจะไม่คิดอะไรเพิ่มให้หน่อยเร้ออออออ
😓
นึกเปรียบเทียบกับเด็กฝึกงานจาก
ปัญญาภิวัฒน์ ที่รับมา 2
ปีก่อน…
โอ้โหหหหหห
อันนั้นคือ ทึ่งจริงๆนะ
น้องๆ proactive
มาก
มีความเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ
กล้าคิดกล้าแสดงออก
แต่รู้กาละเทศะ
กิริยามารยาทดี
ที่สำคัญที่สุด
งานที่ส่งมา
รู้เลยว่าผ่านการ
ค.ว.ย.
มาอย่างดี
มีการต่อยอดจากสิ่งที่เรา
guide ไป
พร้อมออกไปทำงานมากๆ
บอกเลยนะ
ตอนนี้ถ้าต้องรับเด็กจบใหม่
ฉันลังเลแล้วนะ
🤔🫣
ปกติ สมัยก่อน
เอาดีๆเรารับ alumni
/ เครือข่ายเดียวกัน
รุ่นพี่รุ่นน้อง
แต่สมัยนี้
คือ ….
ฉันท้อจริงๆ 😔😮💨
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กรุ่นใหม่
*ในมหาลัยอันดับต้นๆของประเทศ*…
ให้วิเคราะห์เอง
คิดว่า เด็กเหล่านี้
เติบโตมาจากพ่อแม่
รุ่นๆเรานี่แหละ
(อาจจะแก่กว่า
นิดหน่อย within
10 ปี)
ซึ่งเป็นคนรุ่นที่
depressed
จากการเรียนที่หนัก
การแข่งขันที่สูง
จนไม่อยากให้ลูกเหนื่อยเหมือนตัวเอง
แล้วก็เติบโตมาเป็น
generation
ที่ประสบความสำเร็จ
หลายคน
มาไกลกว่าพ่อแม่มากๆ
ก็เลยคิดว่า
พ่อแม่มีต้นทุนแล้ว ชิลๆก็ได้ลูก
บวกกับ
information overload
ในช่วงที่ผ่านมา
กับมายาคติสุดโต่งไปว่า
ต้องเลี้ยงลูกให้มีความสุข“เท่านั้น”
การดุด่าว่ากล่าวตัดเตือนลูก
คือ สิ่งต้องห้าม
บางคน ก็เลย
spoil ลูกกันสุดๆ
แค่เรียนหนังสือดีก็พอ
….
และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
….
เด็กบางคนที่ไม่มีวุฒิภาวะ
ไม่รู้กาละเทศะ
ไม่มีมารยาท
แต่คิดว่าตัวเองเจ๋งซะเต็มประดา
น่าห่วงจริงๆ
สำหรับคุณภาพในตลาดแรงงาน
และสังคมในอนาคตอันใกล้
เลยอยากมาแชร์
และชวนคุย
สำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์เข้มข้น
เพื่อช่วยกันถอดบทเรียน
ให้ลูกหลานของชาวเรา
เติบโตเป็นคนที่ทั้ง
เก่ง และ ดี มีมารยาท รู้กาลเทศะ
เพื่อเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีให้ประเทศและโลกนี้
ต่อไปค่ะ ✌️✌
--------------------
หลายปีที่แล้ว
นิสิตหญิงคนหนึ่งของภาควิชาถูกเรียกไปสัมภาษณ์งาน
ณ โรงงานของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก
ก่อนจะถึงวันสอบ
เขามาถามผมว่าควรแต่งกายอย่างไรดี
ควรโทรไปถามไหม
ผมก็บอกเขาว่า
ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่นี่เป็นผู้หญิง
เราก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะสอบอะไรเราบ้าง
ถ้าเป็นการพูดคุยกันในห้องทำงาน
นุ่งกางเกงไปก็อาจโดนมองว่าไม่เหมาะสม
แต่ถ้าเขาพาเข้าเยี่ยมชมหน่วยผลิตด้วย
นุ่งกระโปรงไปก็ไม่เหมาะสมเหมือนกัน
งานนี้ผมให้ความเห็นไปว่า
"ควรโทรไปถาม"
แต่ห้ามถามว่าจะให้แต่งกายอย่างไร
เพราะนั่นเป็นข้อสอบข้อแรกเลยเพราะเขาต้องการดูวิจารณญาณของผู้เข้าสอบ
ผมแนะนำให้โทรไปถามเขาว่า
ที่โรงงานมีกฎระเบียบความปลอดภัยเรื่องการแต่งกายอย่างไรบ้าง
จะได้เตรียมตัวไปถูกต้อง
ถึงวันสอบ
เขาก็มีทั้งการพูดคุยในห้อง
และพาชมโรงงาน
หลังชมโรงงานเสร็จเขาก็ให้มานั่งเขียนเรียงความเป็นภาษาอังกฤษ
ความยาวไม่เกิน 2
หน้ากระดาษ A4
รายนี้เขาเขียนส่งเพียงแค่ครึ่งหน้า
ถึงเวลาสอบสัมภาษณ์
เขาก็เรียกเข้าสอบทีละคน
เรียกคนที่จบด้วยเกรดสูงสุดก่อนตามลำดับเกรด
รายนี้ถูกเรียกเป็นคนสุดท้าย
เพราะเกรดต่ำสุด
สุดท้าย
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้งานที่นั่น
--------------------
สัปดาห์แรกของการเปิดเรียนที่ผ่านมา
อาจารย์ท่านหนึ่งของให้ผมเข้าสอนในคาบแรก
เพื่อเป็นการปูพื้นฐานความรู้ให้กับนิสิตปี
๒ ก่อนที่จะมีวิทยากรมาบรรยายในสัปดาห์ถัดไป
ผมเห็นการแต่งกายของนิสิตที่มาเข้าเรียนวันแรก
ก็ได้เตือนพวกเขาไป
และบอกด้วยว่าวิทยากรข้างนอกเขาอุตส่าห์สละเวลามาบรรยายใหัความรู้
อย่างน้อยก็ควรแต่งกายให้เรียบร้อยเพื่อเป็นการให้เกียรติวิทยากรเขาหน่อย
ไม่ใช่แต่งมาแบบในวันนี้
แล้วก็มีนิสิตถามผมขึ้นมาว่า
"แต่งอย่างนี้ถือว่าไม่เป็นการให้เกียรติอย่างไร"
--------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น