แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ fluorine แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ fluorine แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การเลือกวัสดุสำหรับ F2 และ HF MO Memoir : Wednesday 30 October 2562


วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ รัฐมนตรีกระทรวบเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ของญี่ปุ่น ประกาศว่าทางญี่ปุ่นจะเข้มงวดการส่งออกสินค้าสำคัญ ๓ ตัวไปยังเกาหลีใต้คือ Fluorinated polyimide ที่ใช้ในการผลิตจอแสดงภาพโทรศัพท์มือถือและชิ้นส่วนต่าง ๆ, Photoresist (สารไวแสง) ที่ใช้ในการผลิตซับเทรตสารกึ่งตัวนำ และ Hydrogen fluoride (HF) ที่ใช้ในการล้างสารกึ่งตัวนำ ประกาศดังกล่าวส่งผลกระเทือนอย่างรุนแรงต่อทั้งรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ เพราะสารสองตัวแรก (Fluorinated polyimide และ Photoresist) ญี่ปุ่นเป็นผู้ผลิตเกือบ 100% ของตลาดโลก ส่วน (HF) นั้นญี่ปุ่นก็มีส่วนแบ่งของผู้ผลิตในตลาดโลกถึง 70% (รูปที่ ๑)
  
ข่าวไม่มีการให้รายละเอียดว่า HF นั้นเป็นเกรดใด แต่ HF ที่ใช้ในการล้างสารกึ่งตัวนำน่าจะเป็นเกรดที่เรียกว่า 12N (อ่านว่า twelve nine) คือเกรดที่มีความบริสุทธิ์ 99.9999999999 (99 จุด 9 อีก 10 ตัว)

แม้ว่าแก๊ส Hydrogen fluoride (HF) หรือกรด Hydrofluoric ที่เป็นสารละลายในน้ำของ HF จะเป็นที่รู้จักกันมานาน แต่การศึกษาเพื่อหาประโยชน์ในการใช้งานก็ต้องล่าช้าเป็นเวลานาน นั่นก็เป็นเพราะฤทธิ์กัดกร่อนที่สูงของกรด HF ที่สามารถกัดได้แม้แต่แก้ว (ที่ถือว่าเป็นวัสดุที่มีความเฉื่อยสูงมากตัวหนึ่งในห้องปฏิบัติการเคมี) ด้วยเหตุนี้กว่าที่จะมีการผลิต HF และ F2 ได้ในปริมาณมากเพื่อที่จะนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม ก็ต้องรอจนล่วงพ้นต้นศตวรรษที่ ๒๐ มาพักใหญ่จนกระทั่งมีการพัฒนาทางด้านวัสดุศาสตร์ที่สามารถหาวัสดุที่ทนต่อการกัดกร่อนของสารทั้งสองได้
  
เหตุการณ์สองเหตุการณ์สำคัญที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกันที่น่าจะเป็นตัวที่ทำให้มีการผลิต HF และ F2 เพื่อการใช้งานในระดับอุตสาหกรรมในปริมาณมากเห็นจะได้แก่ การค้นพบพอลิเมอร์ตระกูล fluorocarbon โดยเฉพาะตัว Polytetra-fluoroethylene (PTFE) ที่มีชื่อทางการค้าว่า TEFLON ในปีค.ศ. ๑๙๓๘ (พ.ศ. ๒๔๘๑) และการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่นำไปสู่ Manhattan Project ที่เป็นโครงการผลิตระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกของโลก การค้นพบพอลิเมอร์ตระกูลฟลูออโรคาร์บอนทำให้มีวัสดุสำหรับเคลือบผิวอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ทนต่อการกัดก่อนของ HF และ F2 ที่จำเป็นสำหรับสังเคราะห์สารประกอบ UF6 ที่ต้องใช้ในการแยกไอโซโทป U-235 ออกจาก U-238
  
ข้อมูลจาก Wikipedia บอกว่า Uranium tetrafluoride (UF4) หลอมเหลวที่ 1036ºC และเดือดที่ 1417ºC แต่พอเป็น Uranium hexafluoride (UF4) อุณหภูมิจุดหลอมเหลวกลับลดลงเหลือ 64.05ºC และเดือดที่ 56.5ºC ซึ่งจะว่าไปแล้ว UF6 มันสามารถระเหยกลายเป็นไอได้ที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้องไม่มากด้วยซ้ำ
  
ด้วยการที่ UF6 กลายเป็นไอได้ที่อุณหภูมิไม่สูง การแยกเอาไอโซโทป U-235 ออกจาก U-238 จึงอาศัยการเปลี่ยนสารประกอบยูเรเนียมให้กลายเป็น UF6 ก่อน โดยกระบวนการเริ่มจากการนำเอา UO2 (Uranium dioxide) มาทำปฏิกิริยากับ Anhydrous HF ก็จะได้ UF4 ที่เป็นของแข็งและไอน้ำเป็นผลพลอยได้ จากนั้นจึงค่อยนำเอา UF4 มาทำปฏิกิริยาต่อกับแก๊สฟลูออรีนอีกที ก็จะได้สารประกอบ UF6 รูปที่ ๒ เป็นแผงผังกระบวนการเปลี่ยน UO2 ให้กลายเป็น UF4 ที่เกิดขึ้นในฟลูอิไดซ์เบด
  
เอกสาร "Nickel-containing alloys in hydrofluoric acids, hydrogen fluoride, and fluorine" (รูปที่ ๓) กล่าวว่าปฏิกิริยาของ UO2 กับ HF เพื่อเปลี่ยนเป็น UF4 นั้นกระทำในถังปฏิกรณ์ที่ทำจาก Alloy 600 (N06600) ที่อุณหภูมิ 600ºC (มีน้ำเกิดขึ้นด้วย) ส่วนการเปลี่ยน UF4 เป็น UF6 นั้นอาศัยการทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิ 500ºC ในถังปฏิกรณ์แบบฟลูอิไดซ์ที่ทำจาก Alloy 400 กรด HF ที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาจะถูกควบแน่นในเครื่องควบแน่นที่ทำจาก Alloy 400
     
รูปที่ ๑ ข่าวจาก The Yomiuri Shimbun กล่าวถึงการควบคุมการส่งออกวัสดุสำคัญ ๓ ตัวไปยังเกาหลีใต้ของประเทศญี่ปุ่น

แม้ว่าในอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันเองก็มีการใช้กรด HF ในปฏิกิริยา alkylation ที่เป็นการนำเอาโมเลกุลขนาดเล็กสองโมเลกุลมาต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นโมเลกุลกิ่งก้านที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ใช้การเพิ่มเลขออกเทนให้กับน้ำมันเบนซิน แต่ด้วยการที่ทั้ง HF (ในรูป anhydrous หรือปราศจากน้ำที่ย่อว่า AHF) และแก๊ส F2 นอกจากจะมีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแล้วแล้วก็มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับการเพิ่มความเข้มข้น U-235 เพื่อนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์หรือระเบิดนิวเคลียร์ จึงอาจเป็นด้วยสาเหตุที่ทำให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิต การใช้งาน และการทำงานกับ HF และ F2 (โดยเฉพาะพวกที่มีความเข้มข้นสูง) นั้นไม่ค่อยมีการเปิดเผยกันอย่างแพร่หลาย ตัวอุปกรณ์กระบวนการผลิตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (ไม่ว่าจะเป็นการผลิต HF และ F2 หรือการนำเอาสารทั้งสองไปใช้งาน) จึงได้รับการควบคุมที่เข้มงวดมากด้วยเมื่อเทียบกับกรณีของคลอรีน
  
รูปที่ ๒ แผนผังกระบวนการผลิต Uranium tetrafluoride (UF4) จากบทความเรื่อง "The Design of Plants for Handling Hydrofluoric Acid" โดย K.M. Hill, Symposium on Process Hazards (1960: Instn Chem. Engrs)

เนื้อหาการเลือกวัสดุสำหรับฟลูออรีน ไฮโดรเจนฟลูออไรด์ และกรดไฮโดรฟลูออริก ที่นำมาเขียนบทความนี้นำมาจากเอกสารคู่มือการเลือกใช้โลหะผสมที่จัดทำโดย Nickel Development Institute ที่แสดงในรูปที่ ๓ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นตอนต่อจากฉบับที่แล้วที่เป็นเรื่องของ คลอรีน ไฮโดรเจนคลอไรด์ และกรดไฮโดรคลอรีน ก็ได้
    
รูปที่ ๓ เอกสาร Nickel-containing alloys in hydrofluoric acids, hydrogen fluoride, and fluorine ดาวน์โหลดได้ที่ https://www.nickelinstitute.org/media/1828/thecorrosionresistanceofnickel_containingalloysinhydrofluoricacid_hydrogenfluoride_andfluorine_10074_.pdf ที่ใช้เป็นต้นเรื่องในการเขียนบทความนี้
   
รูปที่ ๔ ตารางชื่อโลหะผสม (อิงตาม Unified Numbering System - UNS ซึ่งจะแตกต่างไปจากชื่อการค้าที่เรียกกันในท้องตลาดอยู่) และอัตราส่วนผสม รูปที่ ๓ - ๘ ต่างก็นำมาจากเอกสารฉบับนี้

ความแตกต่างอย่างหนึ่งของการได้มาซึ่งแก๊สฟลูออรีนที่แตกต่างไปจากคลอรีนคือ ในขณะที่เราสามารถผลิตแก๊สคลอรีนได้โดยตรงจากปฏิกิริยาอิเล็กโทรไลซิส NaCl นั้น (แล้วจึงค่อยเอา Cl2 ที่ได้ไปผลิตเป็น HCl หรือจะไม่ผลิตก็ได้) ฟลูออรีนกลับได้มาจากปฏิกิริยาอิเล็กโทรไลซิแอนไฮดรัสไฮโดรเจนฟลูออไรด์ในสารละลายเกลือหลอมเหลว KF.HF (โพแตสเซียมฟลูออไรด์กับไฮโดรเจนฟลูออไรด์) กล่าวคือต้องผลิตกรด HF ก่อนแล้วจึงค่อยได้ F2 ดังนั้นโรงงานผลิต F2 จึงต้องใช้วัสดุที่ต้องทนได้ตั้งแต่กรด HF เจือจางไปจนถึงแก๊ส F2 บริสุทธิ์
   
ในเอกสารที่นำมาเป็นต้นเรื่องนั้นยังกล่าวไว้ด้วยว่ารายละเอียดของกระบวนการผลิตไฮโดรเจนฟลูออไรด์นั้นถูกปกปิดเอาไว้มาก ที่เปิดเผยออกสู่สาธารณะนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รูปที่ ๕ เป็นแผนผังอย่างง่ายกระบวนการผลิต โดยเริ่มจากการนำเอาสินแร่ Fluorospar (calcium fluoride CaF2) มาทำปฏิกิริยากับกรดกำมะถันเข้มข้น (Oleum - H2SO4.SO3) ใน Kiln reactor (6) ที่อุณหภูมิ 150ºC ปฏิกิริยาระหว่างกรดกำมะถันและ Fluorospar จะเปลี่ยน CaF2 เป็น CaSO4 พร้อมกับเกิดแก๊ส HF แก๊ส HF ที่เกิดขึ้นจะเข้าสู่หอชะ (2) ที่จะผ่านการชะด้วยกรดกำมะถันอีกครั้งก่อนจะถูกนำไปเก็บเป็น crude HF ที่ความเข้มข้นประมาณ 80% ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการกลั่นเพื่อให้ได้ HF บริสุทธิ์ 99.9%
   
พึงสังเกตว่าส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรดที่ไม่มีความชื้นนั้น (เช่น (1), (2) และ (10)) สามารถใช้ carbon steel มาขึ้นรูปอุปกรณ์ได้ (รวมทั้งระบบท่อด้วย)
   
รูปที่ ๕ แผนผังกระบวนการผลิตไฮโดรเจนฟลูออไรด์โดยเริ่มจากสินแร่ Fluorospar และชนิดโลหะที่ใช้ในการขึ้นรูปอุปกรณ์ต่าง ๆ คำว่า "line" คือการบุผนังด้านในที่สัมผัสกับสาร ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุที่ทนการกัดกร่อนขึ้นรูปอุปกรณ์ทั้งชิ้น สามารถใช้วัสดุธรรมดาขึ้นรูปอุปกรณ์ได้ เพียงแต่เคลือบหรือบุผนังด้านที่สัมผัสกับสารด้วยวัสดุที่ทนการกัดกร่อน

รูปที่ ๖ และ ๗ ให้รายละเอียดชนิดโลหะที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานกับสารละลายกรด HF ที่ความเข้มข้นและอุณหภูมิต่างๆ เอกสารที่นำมาเป็นต้นเรื่องนั้นยังกล่าวไว้ด้วยว่า Alloy 400 จัดว่าเป็นโลหะผสมที่เหมาะสมเพราะทนต่อกรดในช่วงอุณหภูมิและความเข้มข้นที่กว้าง (จะเป็นรองก็แค่ พลาทินัม ทองคำ และเงิน ซึ่งก็คงไม่มีใครเอามาทำเป็นอุปกรณ์การผลิต) แต่ทั้งนี้อาจเกิด stress-corrosion cracking (SCC) ได้ในสภาวะที่มีความชื้นร่วมกับออกซิเจน (คือมีความชื้นอย่างเดียวไม่เป็นไร แต่ถ้ามี O2 ปนด้วยจะมีปัญหา) วัสดุพวกสแตนเลสสตีล (เช่น 304, 316) นั้นแม้ว่าจะทนต่อ Anhydrous HF (AHF) แต่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างไว้วางใจได้กับกรดเจือจาง แม้ว่าจะมีบางกรณีที่สามารถนำมาใช้กับกรด HF เจือจางที่อุณหภูมิห้องได้ โลหะนิเกิลผสมสูง (เช่น Alloy 200) ทนต่อ HF ความเข้มข้นต่ำกว่า 20% และถูกนำมาใช้ทำ rupture disk สำหรับ AHF แต่ก็มีราคาสูง ในขณะที่ Alloy 600 นั้นจะใช้ในกระบวนการผลิตได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 600ºC หรือใช้แทน Alloy 400 ในวาล์ว เพราะ Alloy 400 มีความเสี่ยงที่จะเกิด stress-corrosion cracking ได้
    
รูปที่ ๖ การเลือกชนิดโลหะให้เหมาะสมกับช่วงการทำงาน (ดูรูปที่ ๗ ประกอบ)
   
Carbon steel นั้นเหมาะสำหรับใช้ทำภาชนะเก็บ HF ที่ความเข้มข้นสูงเกินกว่า 64% เพราะถ้าความเข้มข้นของกรดนั้นลดต่ำกว่า 60% ตัวโลหะจะถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้อุณหภูมิไม่ควรจะสูงเกินกว่า 32ºC สำหรับสารละลายกรด HF และไม่ควรสูงเกินกว่า 65ºC สำหรับ AHF การที่ carbon steel ทนต่อ HF ได้นั้นเป็นเพราะเมื่อแรกเริ่มที่มันสัมผัสกับ HF เนื้อโลหะที่สัมผัสกับกรดจะกลายเป็นสารประกอบ FeF3 ปิดคลุมผิวเป็นชั้นฟิล์มป้องกันเอาไว้ ทำให้การทำปฏิกิริยายุติ ด้วยเหตุนี้ก่อนใช้งาน vessel จึงควรทำการ pre-passivated ด้วย AHF ประมาณ ๑ วันก่อนการใช้งาน และในระหว่างการใช้งานไม่ควรให้อัตราการไหลสูงเกินกว่า 0.5 m/s เพื่อไม่ให้ชั้นฟิล์มป้องกันถูกชะออกไป
   
รูปที่ ๗ รายละเอียดโลหะที่เหมาะสมสำหรับแต่ละโซนในรูปที่ ๖
    
รูปที่ ๘ ตารางแสดงอัตราการกัดกร่อนของ Alloy 400 ในกรด HF ที่อุณหภูมิและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
     
ความเร็วในการไหลนั้นขึ้นอยู่กับพื้นที่หน้าตัด และในระบบท่อนั้นพื้นที่หน้าตัดของตัวอุปกรณ์บางตัวที่อยู่ในระบบท่อ เช่น globe valve จะมีขนาดเล็กกว่าของท่อ หรือในกรณีของปั๊มหอยโข่งนั้นที่อาศัยการเหวี่ยงของเหลวให้มีความเร็วสูงขึ้นเพื่อเปลี่ยนพลังงานจลน์เป็นพลังงานศักย์ หรือในกรณีของใบพัดกวนที่ของเหลวบริเวณใบพัดจะมีความเร็วที่สูง หรือความเร็วของของเหลวที่ไหลผ่านท่อของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน หรือความเร็วของแก๊สที่ไหลผ่าน bubble cap ของหอกลั่น ความเร็วของของเหลวที่สัมผัสกับตัวอุปกรณ์เหล่านี้มีโอกาสที่จะสูงเกินกว่า 0.5 m/s ได้ วัสดุที่อาศัยการเกิดชั้นฟิล์มป้องกันทำหน้าที่ป้องกันการกัดกร่อนจึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ทำชิ้นส่วนอุปกรณ์เหล่านี้ก็เพราะความเร็วการไหลที่สูงจะคอยชะชั้นฟิล์มป้องกันออกไป
    
แก้วและวัสดุที่มีซิลิกาเป็นองค์ประกอบนั้น แม้ว่าจะทนกรดต่าง ๆ ได้ดี (ไม่ว่าจะเจือจางหรือเข้มข้น) แต่ไม่เหมาะสมกับ HF ที่ได้ชื่อว่าเป็น "กรดกัดแก้ว"
    
แก๊สฟลูออรีนมีคุณสมบัติคล้ายคลอรีนตรงที่ในสภาพที่แห้งนั้นไม่ค่อยมีฤทธิ์กัดกร่อนทั้งโลหะและโลหะผสม carbon steel และเหล็กกล้าไร้สนิม 18-8 สามารถใช้งานได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 300ºC แต่ถ้าเมื่อใดที่มีความชื้น ฟลูออรีนจะมีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรง และควรใช้โลหะผสมในกลุ่ม Alloy 400 และนิเกิล 200 ที่สามารถใช้งานได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 500ºC

ที่มาของบทความชุด "การเลือกวัสดุสำหรับ Cl2 และ HCl" (ฉบับที่แล้ว) และ "การเลือกวัสดุสำหรับ F2 และ HF" (ฉบับนี้) เกิดจากการที่ได้เข้ารับการอบรมเรื่องการประเมินผู้ใช้งานสินค้าที่ใช้ได้สองทางเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา โดยในการอบรมดังกล่าวมีแบบฝึกหัดหนึ่งที่หน่วยงานเทศบาลแห่งหนึ่งของซื้อวาล์วขนาด 1/2 นิ้วที่มีโลหะ Monel เป็นองค์ประกอบตรงส่วนที่เป็น bellow (ที่ป้องกันการรั่วไหลตรงบริเวณ stem ของวาล์ว โดย Monel นี้เป็นวัสดุควบคุม) โดยอ้างว่าเป็นวาล์วใช้สำหรับแก๊สคลอรีนที่ใช้เพื่อการบำบัดน้ำเสีย ว่าคำขอซื้อดังกล่าวสมเหตุสมผลหรือไม่
   
แต่ก่อนอื่นเราลองทำความรู้จัก bellow seal valve กันก่อนดีไหมครับ ขอให้ดูรูปที่ ๙ ในหน้าถัดไปประกอบ
   
เวลาที่เราหมุน hand wheel (ตัวสีน้ำเงินบนสุด) นั้น ตัว stem (สีฟ้า) จะเคลื่อนตัวขึ้นหรือลงขึ้นกับทิศทางการหมุน hand wheel ของเรา ซึ่งการเคลื่อนตัวขึ้น-ลงของตัว stem นี้จะไปทำให้ตัว plug (สีเขียว) ที่ใช้อุดรูการไหลนั้นยกตัวขึ้น-ลงตามไปด้วย เพื่อที่จะให้ตัว stem นั้นเคลื่อนที่ขึ้นลงได้สะดวกโดยมีความเสียดทานต่ำแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถป้องกันการรั่วไหลของ process fluid ออกทางช่องทางการเคลื่อนที่ของตัว stem จึงจำเป็นต้องมี packing (ซึ่งก็คือปะเก็นที่เห็นเป็นสีน้ำเงินอยู่ตรงกลางรูป) อัดเอาไว้เพื่อป้องกันการรั่วไหล ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็อาจมีการรั่วไหลได้บ้างในปริมาณเล็กน้อยที่ยากจะสังเกตหรือรู้สึกได้ ซึ่งถ้าสารนั้นไม่ใช่สารที่เป็นพิษอะไร ก็อาจจะยอมปล่อยให้มันฟุ้งกระจายหายไป
   
แต่ในกรณีที่ process fluid นั้นเป็นสารที่มีความเป็นพิษสูง การรั่วไหลตรงตำแหน่งนี้แม้ว่าจะมีปริมาณน้อยมากก็อาจทำอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติงานได้ จึงจำเป็นต้องหาวิธีการปิดกั้นการรั่วไหลตรงบริเวณนี้ วิธีการหนึ่งที่ทำได้ก็คือการติดตั้ง bellow (ตัวสีชมพูที่มีลักษณะเป็นท่อที่ยืดหยุ่นได้) โดยปลายด้านหนึ่งของ bellow จะยึดตรึงเข้ากับส่วน bonnet วาล์ว (ลำตัวครึ่งบน) และปลายอีกด้านหนึ่งนั้นจะยึดตรึงอยู่กับส่วน plug
   
ด้วยการที่มันต้องยืดหยุ่นได้ ผนังของตัว bellow เองจึงไม่ได้หนาอะไร แต่ในขณะเดียวกันมันยังต้องทนต่อความดันและอุณหภูมิของ process fluidได้ด้วย วัสดุที่ใช้ทำ bellow จึงต้องมีความพิเศษหน่อย เรียกว่าอาจเป็นคนละชนิดกับที่ใช้ทำลำตัววาล์วและ plug เลยก็ได้
  
ในแบบฝึกหัดดังกล่าวมีหลายประเด็นที่ขอให้ทำการพิจารณาเช่น
  
- กระบวนการบำบัดน้ำเสียนั้นมีความจำเป็นต้องใช้คลอรีนเหลวหรือไม่
- ผู้ที่ขอซื้อวาล์วนั้นมีตัวตนจริงทำงานเกี่ยวข้องกับการบำบัดน้ำเสียหรือไม่
- จำนวนและขนาดของวาล์วนั้นสมเหตุสมผลกับงานดังกล่าวหรือไม่
- ราคาต่อหน่วยของวาล์วนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
   
รูปที่ ๙ ตัวอย่าง Bellow seal valve (รูปจาก http://bellowseal.com/products.html)

การพิจารณาตามประเด็นต่าง ๆ นั้นพบว่า การบำบัดน้ำเสียก็อาจมีการใช้คลอรีนช่วยฆ่าเชื้อโรคก่อนปล่อยออกสู่แหล่งธรรมชาติ หากน้ำเสียนั้นมีเชื้อโรคที่เป็นอันตรายปะปนอยู่ ผู้ที่ขอซื้อนั้นมีตัวตนจริงและมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดน้ำเสีย ขนาดและจำนวนของวาล์วที่ขอซื้อเพื่อนำไปเปลี่ยนทดแทนนั้นก็เหมาะสมกับขนาดกระบวนการ และราคาต่อหน่วยของวาล์วก็สมเหตุสมผล (คือถ้าพบว่าราคามันแพงเกินควรก็อาจสงสัยว่าเป็นการซื้อของคุณภาพสูงแต่อ้างเป็นของคุณสมบัติต่ำ จะได้ไม่โดนตรวจสอบ) ซึ่งก็ผ่านทุกประเด็น
  
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้ตั้งประเด็นถามเอาไว้คือ ผมรู้สึกว่าวาล์วนั้นมันดีเกินไป จริงอยู่ที่ว่ามันใช้กับคลอรีนเหลวได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ใช้กับฟลูออรีนได้ และอาจใช้งานได้ที่อุณหภูมิสูงด้วย (ที่ไม่ใช่อุณหภูมิการทำงานของระบบฆ่าเชื้อโรคในน้ำ) และเพื่อที่จะคลี่คลายข้อสงสัย ก็เลยต้องมีการส่งข้อความไปถามวิศวกรท่านหนึ่งที่ทำงานอยู่ในโรงงานที่มีการผลิตแก๊สคลอรีนเพื่อนำไปผลิตเป็นไวนิลคลอไรด์ คำถามที่ผมถามเขาไปก็คือ
  
๑. สำหรับการใช้งานที่อุณหภูมิห้อง (เช่นระบบน้ำประปา หรือฆ่าเชื้อโรคในน้ำทิ้ง) สามารถใช้ diaphragm valve ได้หรือไม่ครับ
๒. ในกรณีของวาล์วโลหะ จำเป็นไหมครับที่ต้องใช้โลหะพวก Monel (หรือ Alloy 400)
  
ส่วนคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ
  
ข้อ ๑ สำหรับที่โรงงานมีใช้เป็น ball valve กับ globe valve สำหรับ line liquid ครับ ถ้า diaphragm จะใช้กับ gas phase
ข้อ ๒ โลหะที่โรงงานส่วนใหญ่เป็น carbon steel ธรรมดาเลยครับ
ถ้าพวก special model จะเป็นพวก line ที่มีความเสี่ยง กับความชื้น

 ........ จบ