การที่ไม่ทราบหรือไม่ได้สังเกตว่าสิ่งที่ใช้งานอยู่นั้นประกอบเข้าด้วยกันอย่างไร
ก็นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน
รูปที่
๑ นอตในวงรีสีเขียวถูกถอดออก
แทนที่จะเป็นนอตในวงสี่เหลี่ยมสีส้ม
ทำให้ปลั๊กหลุดออกจากตัววาล์ว
วารสาร
Loss
Prevention Bulletinที่จัดทำโดย
IChemE
นั้น
ฉบับแรก ๆ ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวของอุบัติเหตุต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่เขียนโดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น
เพียงแต่ไม่ค่อยจะมีการนำเสนอชื่อผู้เขียนและสถานที่เกิด
(เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
การที่เขาเหล่านั้นต่างนำเรื่องราวความผิดพลาดมาเผยแพร่ก็เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ผู้อื่นทำผิดเช่นเดียวกันซ้ำเดิมอีก
วารสารนี้ใช้ภาษาอังกฤษที่เรียบง่าย
(แตกต่างจากวารสารวิชาการวิจัยทั่วไป
ที่ต้องเขียนให้อ่านยากและสับสนง่ายเอาไว้ก่อน
และถ้าคิดคำศัพท์ใหม่ ๆ
ขึ้นมาได้ก็ต้องพยายามใส่เข้าไป)
แต่เป็นภาษาที่เรียกว่าสำหรับคนที่ไม่เคยทำงานหรือพบกับของจริงแล้วมีสิทธิที่จะอ่านไม่รู้เรื่องได้ง่ายเช่นกัน
เพราะไม่รู้ว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นที่เอ่ยถึงนั้นคืออะไร
เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากวารสาร
Loss
Prevention Bulletin vol. 69 ปีค.ศ.
1976 (พ.ศ.
2519) เขียนโดย
Dr.
J. Bond ในหัวข้อเรื่อง
"Some
problems with valves"
ในบทความนี้มีกรณีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากวาล์วอยู่เกือบ
๒๐ เรื่อง แต่วันนี้จะขอยกมาเพียง
๓ เรื่อง
โดยจะพยายามขยายความเพื่อให้ผู้อ่านที่กำลังศึกษาอยู่นั้นพอมองภาพออก
เรื่องที่
๑ ขันนอตผิดตัว
สิ่งที่ภาษาไทยเรียกว่า
"นอต"
หรือ
"นอตตัวผู้"
ภาษาอังกฤษเรียกว่า
"bolt"
ส่วน
"นอตตัวเมีย"
นั้นภาษาอังกฤษเรียกว่า
"nut"
ดังนั้นคำว่า
"นอต"
ที่กล่าวถึงในที่นี้ถ้าไม่มีการระบุว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย
จะหมายถึงนอตตัวผู้หรือ
bolt
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อมีความพยายามที่จะถอด
"acutator"
ที่ใช้ในการควบคุมการเปิด-ปิดของวาล์วออกจาก
plug
valve (รูปที่
๑)
"acutator" คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่หมุนหรือยกขึ้น-ลงแกน
(spindle)
ของกลไกที่ใช้ในการควบคุมการเปิด-ปิดช่องว่างในตัววาล์ว
กล่าวคือถ้าเป็นวาล์วชนิด
plug,
ball หรือ
butterfly
ตัว
acutator
ก็จะทำหน้าที่หมุนแกนที่ไปทำให้ตัว
plug,
ball หรือ
disc
ในตัววาล์วนั้นหมุนตามเพื่อการเปิดหรือปิดวาล์ว
แต่ถ้าเป็นชนิด globe
ก็มักจะใช้แรงดันลมกระทำต้านกับแรงดันสปริงเพื่อควบคุมระดับการยกตัวของ
disc
เพื่อควบคุมระดับการเปิดของวาล์ว
การทำงานของ acutator
นั้นจะใช้แรงดันลมหรือไฟฟ้าก็ได้
แต่ถ้าเป็นใน hazadous
area (คือพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการมีสารไวไฟรั่วไหล)
ก็มักจะเป็นชนิดที่ใช้แรงดันลม
โดยแรงดันลมนี้จะไปดันลูกสูบที่ไปหมุนแกนของตัว
plug,
ball หรือ
disc
หรือออกแรงกระทำต่อตัวแกนตัว
disc
(ในกรณีของ
globe
valve) โดยผ่านแผ่น
diaphragm
(ถ้านึกภาพนี้ไม่ออกขอแนะนำให้ย้อนไปดู
Memoir
ปีที่
๙ ฉบับที่ ๑๓๒๗ วันอาทิตย์ที่
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เรื่อง
"วาล์วควบคุมอัตราการไหล (Control valve)")
วาล์วที่เกิดเหตุนั้นเป็น
plug
valve ที่มีโครงสร้างดังแสดงในรูปที่
๑ (รูปนี้นำมาจากบทความดังกล่าว)
ที่ใช้ควบคุมการไหลของโพรพิลีนที่ความดัน
10
bar ช่างต้องการถอดตัว
acutator
(ที่เขียนว่า
air
motor ในรูป)
ออก
ซึ่งควรต้องถอดนอตที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมสีส้มออก
แต่ปรากฏว่าช่างไปถอดนอตตัวที่อยู่ในวงรีสีเขียวออก
ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือพอถอดนอตออกมาหมด
ตัว plug
ก็ปลิวหลุดออกมา
ทำให้โพรพิลีนเกิดการรั่วไหลออกมา
ตามด้วยการระเบิดที่มีผู้เสียชีวิตถึง
๖ รายและความเสียหายที่มากตามมา
ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ทำไมจึงไม่เห็นการรั่วไหลของโพรพิลีนเมื่อเริ่มคลายนอต
บทความให้รายละเอียดเหตุการณ์ทั้งหมดไว้เพียงแค่
๗ บรรทัดพร้อมกับรูปประกอบ
๑ รูป ซึ่งรวมกันแล้วก็เพียงแค่ครึ่งหน้ากระดาษ
แต่ดูจากลักษณะของวาล์วที่นำมาแสดงแล้วทำให้เห็นว่าตัว
acutator
ควรถูกยึดเอาไว้ด้วยนอตสัก
๔ ตัว และปรกติแล้วในการถอดนอตออกจากหน้าแปลนหรืออุปกรณ์ใด
ๆ ก็ตามที่เราคิดว่ามีความดันอยู่ภายใน
เรามักจะไม่ถอดนอตตัวเมียออกทันที
แต่จะใช้การค่อย ๆ
คลายนอตตัวเมียออกทีละตัว
ทำสลับกับไปเรื่อย ๆ
เพื่อที่ว่าถ้าหากพบการรั่วไหลจะได้ขันนอตตัวเมียให้แน่นกลับคืนเดิมได้
หรือถ้าแรงดันภายในนั้นดันให้ชิ้นส่วนที่โดนนอตตัวเมียกดเอาไว้นั้นเคลื่อนตัวออกมา
ชิ้นส่วนนั้นก็จะไม่ปลิวออกมาเนื่องจากยังมีนอตตัวเมียที่ยังไม่ถอดออกมานั้นขวางอยู่
แต่ในกรณีนี้ดูเหมือนว่ามีการถอดนอตออกทั้งหมดก่อน
แล้วจึงเกิดเหตุการณ์ตัว
plug
ปลิวหลุดออกมาจากตัววาล์ว
สาเหตุที่สามารถถอดนอตยึดตัว
plug
ได้หมดก่อนที่ตัว
plug
จะปลิวออกมานั้นน่าจะเป็นเพราะโครงสร้างของตัว
plug
valve เองที่ใช้การประกอบตัว
plug
เข้ากับลำตัววาล์วด้วยการสอดเข้าจากทางด้านบนในทิศทางที่ตั้งฉากกับแนวท่อ
และเพื่อให้การติดตั้งสามารถทำได้ง่ายและให้มั่นใจว่าผนังตัว
plug
จะแนบชิดกับผนังของส่วนลำตัวได้ดี
(เพื่อป้องกันการรั่วซึมตรงผิวสัมผัส)
ก็เลยทำให้ตัว
plug
มีลักษณะที่เรียวสอบไปทางด้านปลายเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แรงดันที่จะดันให้ตัว
plug
ปลิวขึ้นมีค่าไม่มาก
(แรงส่วนใหญ่กระทำในแนวตั้งฉากกับพื้นผิวตัว
plug
มีเพียงแรงส่วนน้อยเท่านั้นที่กระทำในแนวแกน)
ในช่วงแรกนั้นแรงเสียดทานยังพอจะต้านแรงดันขึ้นเอาไว้ได้
แต่เมื่อตัว plug
เริ่มขยับตัวขึ้น
แรงเสียดทานก็จะหมดไป
(เพราะพื้นผิวตัว
plug
แยกออกจากพื้นผิวส่วนลำตัวตัวของตัววาล์ว)
เรื่องที่
๒ ใช้แรงเปิดมากไปหน่อย
วาล์วพวก
plug,
gate และ
globe
นั้นมักจะประกอบด้วยชิ้นส่วนหลัก
ๆ สองส่วนคือส่วน valve
body ที่ส่วนที่เชื่อมต่อกับระบบท่อและเป็นส่วนที่มีช่องทางการไหล
ส่วนที่สองคือ bonnet
ที่เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ติดตั้งกลไกควบคุมการปิดเปิด
โดยส่วน bonnet
นี้จะครอบลงไปบนตัว
valve
body อีกที
ในกรณีของวาล์วตัวเล็กหรือใช้ในระบบที่ไม่อันตราย
จะทำการยึด bonnet
เข้ากับ
valve
body ด้วยการขันเกลียว
(รูปที่
๒-๔)
แต่ถ้าเป็นวาล์วตัวใหญ่หรือใช้กับระบบที่อันตราย
มักจะใช้นอตยึดตัว bonnetเข้ากับ
valve
body (เหมือนกับการประกบหน้าแปลนเข้าด้วยกันดังรูปที่
๕)
รูปที่
๒ วาล์วที่ตัว bonnet
นั้นยึดติดกับส่วนลำตัวด้วยการใช้เกลียวขัน
ในกรณีที่ hand
wheel ติดแน่นนั้น
ถ้าใช้แรงหมุน hand
wheel มากเกินไปเพื่อเปิดวาล์ว
จะเป็นการคลายตัว bonnet
ออกจากส่วนลำตัววาล์วแทน
รูปที่
๓ ตัวซ้ายคือ globe
valve ส่วนตัวขวาคือ
gate
valve วาล์วสองตัวนี้ใช้การยึด
bonnet
เข้ากับ
body
ด้วยการขับเกลียว
(ตรงลูกศรสีเหลืองชี้)
รูปที่
๔ วาล์วตัวเดียวกับในรูปที่
๓ พอถอด bonnet
ออกมาแล้วก็จะเป็นอย่างนี้
การหมุนเกลียวเพื่อที่จะถอด
bonnet
ออกจาก
valve
body นั้นหมุนในทิศทางเดียวกับการหมุน
hand
wheel เพื่อเปิดวาล์ว
ในกรณีเช่นนี้ถ้าตัว hand
wheel ยึดติดแน่นแล้วใช้แรงพยายามหมุน
hand
wheel จะกลายเป็นว่าเป็นการถอด
bonnet
ออกจาก
valve
body แทน
รูปที่
๕ globe
valve ตัวนี้ใช้นอตในการยึด
bonnet
เข้ากับ
valve
body วาล์วแบบนี้ถ้าต้องการติดตั้ง
acutator
(แบบเรื่องที่
๑)
ก็จะถอดเอา
hand
wheel ออก
แล้วก็เปลี่ยนนอตที่ใช้ยึด
bonnet
ให้ยาวขึ้นหน่อย
จากนั้นจึงค่อยสวม acutator
ลงไป
แต่ต้องหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เรื่องที่
๑
เกลียวส่วนใหญ่ที่เราพบกันจะเป็นเกลียวเวียนขวา
เวลาที่เราขัน bonnet
เข้ากับ
valve
body เราก็จะหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกา
(เมื่อมองจากทางด้านบน)
แบบเดียวกับกับเวลาที่เราหมุนก๊อกน้ำเพื่อปิด
ถ้าเราจะถอดเอา bonnet
ออกจาก
valve
body เราก็ต้องหมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
(เมื่อมองจากทางด้านบน)
แบบเดียวกับเวลาที่เราหมุนก๊อกน้ำเพื่อเปิด
แต่ปรกติแล้วตัวแกนหมุน
(spindle)
ของ
hand
wheel นั้นจะหมุนได้ง่ายกว่า
ทำให้เมื่อเราหมุน hand
wheel เราก็จะหมุนเฉพาะตัวแกนหมุนของตัว
plug
โดยไม่ไปยุ่งอะไรกับเกลียวของ
bonnet
แต่ถ้าเกลียวของแกนหมุนติดขัด
ทำให้ต้องใช้แรงหมุนมากขึ้นหรือใช้ประแจช่วยจับ
hand
wheel ก็อาจเกิดปัญหาว่ากลายเป็นว่าเป็นการถอด
bonnet
ออกจาก
valve
body แทน
ในกรณีเช่นนี้ต้องหาประแจอีกตัวมาจับตัว
bonnet
ไว้ไม่ให้หมุนคลายตัว
เรื่องที่
๓ โลหะขยายตัวเมื่อร้อน
butterfly
valve และวาล์วกันการไหลย้อนกลับที่ใช้แผ่น
disc
แบบ
butterfly
valve นั้นมีข้อดีตรงที่ตัวมันไม่ใหญ่
(คือความยาวของตัววาล์วในทิศทางการไหลนั้นสั้นหรือจะเรียกว่า
"แบน"
ก็ได้)
เวลาที่วาล์วพวกนี้อยู่ในตำแหน่งเปิด
ตัวแผ่น disc
นั้นจะโผล่พ้นออกมานอกตัววาล์ว
ด้วยเหตุนี้ท่อทางด้านขาเข้าและขาออกของตัววาล์วจึงมีขนาดที่ไม่เล็กกว่าขนาดวาล์ว
และด้วยการที่วาล์วมีลักษณะแบน
ทำให้สามารถสอดเข้าไว้ระหว่างหน้าแปลนสองชิ้นได้โดยที่ตัววาล์วไม่จำเป็นต้องมีหน้าแปลน
ทำให้สามารถลดน้ำหนักและราคาลงไปได้
ในกรณีเฃ่นนี้การป้องกันการรั่วซึมตรงพื้นผิวสัมผัสระหว่างตัววาล์วกับหน้าแปลนจะใช้แรงกดจากนอตที่ร้อยผ่านรูหน้าแปลนทั้งสองด้านที่บีบวาล์วเอาไว้ตรงกลางดังแสดงในรูปที่
๖
(แน่นอนว่าต้องมีการสอดปะเก็นเอาไว้ระหว่างพื้นผิวหน้าแปลนและตัววาล์วด้วย)
รูปที่
๖ วาล์วปีกผีเสื้อหรือ
butterfly
valve ชนิดที่ไม่มีหน้าแปลน
(flangeless)
หรือบางทีเรียกว่า
wafer
type ตัววาล์วถูกกดเอาไว้ระหว่างหน้าแปลนสองตัวที่มีนอตยาวร้อยผ่าน
ส่วนรูที่เห็นที่มีนอตร้อยผ่านที่ตัววาล์วนั้นเป็นเพียงแค่รูจัดตำแหน่งเพื่อไม่ให้วาล์วหมุนไปมาได้แค่นั้นเอง
ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรในการป้องกันการรั่วซึมตรงพื้นผิวสัมผัสระหว่างหน้าแปลนกับตัววาล์ว
การยืดตัวของแท่งโลหะความยาวเริ่มต้น
L0
คำนวณได้จากสมการ
dL
= a.L0.dT เมื่อ
dL
คือความยาวโลหะที่เปลี่ยนไป
a
คือค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวของโลหะ
(ขึ้นอยู่กับชนิดโลหะ)
และ
dT
คือผลต่างอุณหภูมิ
(อุณหภูมิที่โลหะมีความยาว
L0
และอุณหภูมิใหม่)
จากสมการนี้จะเห็นว่าสำหรับแท่งโลหะชนิดเดียวกันสองชิ้นที่มีความยาวไม่เท่ากัน
เมื่อแท่งโลหะดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น
แท่งโลหะที่ยาวมากกว่าจะมีการยืดตัวที่มากกว่า
และการยืดตัวนี้ส่งผลถึงความตึงของนอตที่ใช้ขันยึดหน้าแปลน
เพราะทำให้แรงตึงของนอตนั้นลดลง
ตอนจบทำงานใหม่
ๆ ก็มีวิศวกรรุ่นพี่เคยเล่าประสบการณ์เรื่องนี้เอาไว้
โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของท่อไอน้ำที่ว่า
ตอนที่ประกอบท่อเสร็จและทำการทดสอบการรั่วซึมที่หน้าแปลนต่าง
ๆ นั้น แม้ว่าจะไม่พบการรั่วซึม
แต่เมื่อป้อนไอน้ำเข้าสู่ระบบก็ควรต้องมาตรวจสอบกันใหม่ว่ามีการรั่วซึมหรือไม่
อันเป็นผลจากการที่นอตนั้นยืดตัว
ทำให้แรงกดที่หน้าแปลนลดลง
บทความในวารสาร
Loss
Prevention กล่าวถึงการรั่วไหลของไฮโดรคาร์บอนที่วาล์วชนิด
flangeless
อันเป็นผลจากการยืดตัวของนอตที่ใช้ยึดวาล์ว
ทำให้เกิดไฟไหม้ตามมา
คำแนะนำที่ใด้จากเหตุการณ์ครั้งนั้นคือให้หลีกเลี่ยงการใช้วาล์วชนิดดังกล่าวกับระบบที่มีความเสี่ยงจากเพลิงไหม้สูง
เว้นแต่จะได้รับการพิสูจน์ว่ามีมาตรการที่ให้ความปลอดภัยเพียงพอ
วาล์วที่มีหน้าแปลนสองด้านนั้นแม้ว่าจะใช้นอตร้อยมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับชนิด
flangeless
แต่ด้วยการที่นอตแต่ละตัวนั้นสั้นกว่า
การยืดตัวของนอตแต่ละตัวจึงต่ำกว่า
การคลายตัวของหน้าแปลนจึงน้อยกว่ากรณีของวาล์วชนิด
flangeless
ที่ใช้นอตที่ยาวกว่ามาก
ฉบับนี้คงจบเพียงแค่นี้