วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568

ก็รอบพอร์ตมันเข้าง่ายกว่าจริง MO Memoir : Wednesday 30 April 2568

เช้าวันนี้เห็นคนแชร์โพสที่นำมาให้ดูในรูปมันโผล่มาบนหน้า facebook ตอนเช้ายังถมดำแค่ปิดตาผู้โพส แต่มาตอนนี้เขาถมดำหมดทั้งหน้าแล้ว

เนื้อหาของโพสดังกล่าวเกี่ยวกับการเข้าวิศวจุฬาด้วยการยื่นพอร์ต

 

นิสิตที่เข้าปีการศึกษา ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ผู้สมัครที่ยื่นพอร์ต แต่สามปีแรกที่คณะเปิดรับรอบพอร์ต ก็ได้เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ตลอด โดยสองปีแรกนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ เลยได้มีโอกาสศึกษางานที่ผู้สมัครที่ยื่นเข้ามาก่อนถึงวันสอบสัมภาษณ์ ส่วนปีที่สามนั้นถูกเรียกตัวให้ไปเป็นกรรมการฉุกเฉิน เพราะตัวจริงไม่สามารถมาได้ เลยได้มีโอกาสเห็นในวันที่ทำการสอบ

ในปีแรกที่ได้เป็นกรรมการนั้น ทางคณะก็แบ่งให้ช่วยกันอ่านผลงานผู้สมัคร กรรมการสอบสัมภาษณ์แต่ละคนก็ได้อ่านกันประมาณ ๒๐ คน เท่าที่อ่านดูก็เห็นว่าให้ผ่านได้ก็เพียงแค่รายเดียว

ก่อนวันสอบก็มีการประชุมกรรมการสอบสัมภาษณ์ พอมีการซักถามกันว่าการสอบนี้รับกี่คน ก็ได้คำตอบจากทางวิชาการของคณะว่า ๒๐๐ คนที่แบ่งกันให้อ่านนี้ คณะรับเข้าหมดแล้ว แค่สัมภาษณ์พูดคุยกันเท่านั้น ไม่ใช่เพียงผมเท่านั้นที่เห็นว่างานพอร์ตที่ยื่นเข้ามาส่วนใหญ่ (หรือเกือบทั้งหมด) ไม่ได้เรื่อง ถ้าเทียบสัดส่วนที่กรรมการแต่ละท่านที่อ่านเห็นว่าผลงานใช้ได้นั้น จาก ๒๐๐ คนก็น่าจะผ่านได้แค่เพียง ๒๐ คนเท่านั้นแต่ ณ เวลานั้นกรรมการสอบสัมภาษณ์ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

ผู้ที่เข้ามาด้วยรอบพอร์ตกลุ่มแรก ก็กำลังจะสำเร็จการศึกษาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว

 

ปีที่สองและปีที่สามที่เจอมายิ่งหนักเข้าไปอีก ทั้งนี้เพราะเกณฑ์การพิจารณานั้นมันหาความเป็นรูปธรรมแทบไม่ได้ ไม่ว่าให้บอกว่าทำไมถึงอยากเรียนที่นี่ หลักฐานว่าเป็นผู้ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง คลิปวิดิโอแนะนำตนเอง รางวัลที่ได้จากการแข่งขัน

กรรมการแต่ละคนก็มีความชอบที่ไม่เหมือนกัน การให้คะแนนเรียงความเรื่องทำไมถึงอยากเรียนที่นี่ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้อ่านแต่ละคน (จะว่าไปมันก็พิสูจน์ไม่ได้ด้วยว่าผู้สมัครเป็นคนเขียนเองโดยไม่มีคนอื่นช่วยเขียนหรือช่วยขัดเกลา) หลักฐานว่าเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่องให้ดูจากอะไร สิ่งที่เรียนนั้นจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับวิศวหรือเปล่า กรรมการบางส่วนก็มองว่าควรเกี่ยว เพราะทำให้เห็นว่าต้องการเรียนวิศว ในขณะบางส่วนก็มองว่าไม่จำเป็นต้องเกี่ยว เพราะแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้สนใจความรู้หลากกลาย รายหนึ่งที่เจอคือเขาส่งสำเนาใบเสร็จรับเงินหนังสือต่าง ๆ ที่เขาบอกว่าเขาซื้อไปอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไร

หรือจะดูที่ใบประกาศที่ได้จากคอร์สเรียนออนไลน์ ซึ่งก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าตอนสอบออนไลน์นั้นสอบเองหรือคนอื่นทำให้ บางรายก็มีใบประกาศจากการไปร่วมกิจกรรมต่าง ๆ แต่พอตรวจสอบดูก็พบว่า ไปแค่งานเดียวแต่ได้ใบประกาศมาตั้งหลายใบ จะเรียกว่ามีการจัดคอร์สเก็บเงินที่ผู้สมัครเข้าคอร์สจะได้ใบประกาศ (หลายใบด้วย) เอาไว้ไปยื่นพอร์ต ส่วนเนื้อหาในคอร์สนั้นเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่สมัครเข้าไปนั้นจะสนใจเนื้อหาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งตอนนี้ถ้าค้นเน็ตดูก็จะเห็นว่ามีคอร์สเก็บตังค์แจกใบประกาศสำหรับยื่นพอร์ตอยู่หลายคอร์สเหมือนกัน และที่สำคัญคือตัวมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดเอง

พอมาถึงเรื่องรางวัลที่ได้รับก็มีปัญหาอีกว่าควรต้องได้รับรางวัลระดับไหน มีทั้งกิจกรรมที่กลุ่มโรงเรียนจัดกิจกรรมแข่งกันกันเองและก็แจกรางวัลกันเอง กิจกรรมที่ร่วมกับโรงเรียนต่างประเทศ กิจกรรมที่ใครต่อใครจัดแล้วก็ไปเข้าร่วม

ครั้งสุดท้ายที่ได้เป็นกรรมการสอบ ตอนนี้มีทั้งมีชื่อในบทความตีพิมพ์ร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่พอถามรายละเอียดเนื้อหางานใบบทความก็ตอบอะไรไม่ได้ เรียกว่าเป็นลูกมือทำงานแค่ส่วนเสี้ยวของงานที่ตีพิมพ์ จะว่าไปสำหรับคนที่มีคนรู้จักหรือเพื่อนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ทราบมาว่ามีการฝากให้ลูกไปทำแลปกับอาจารย์คนนั้น แล้วก็ขอให้เขาช่วยใส่ชื่อลูกในบทความตีพิมพ์ด้วย หรือไม่ก็ช่วยออกจดหมายรับรองว่ามาร่วมทำงานด้วย

รายหนึ่งที่เจอคือคงเป็นการฝากให้เข้าไปอยู่ที่แลปอาจารย์ แล้วก็ขอให้อาจารย์ผู้นั้นออกจดหมายรับรองว่านักเรียนดังกล่าวได้มาศึกษางานที่ห้องปฏิบัติการของอาจารย์ผู้นั้น แต่อาจารย์ผู้นั้นคงรู้ทันวัตถุประสงค์ ก็เลยเขียนมาตรง ๆ ในจดหมายรับรองนั้นทำนองว่า "มาอยู่แค่ครึ่งวัน"

มีอยู่ปีหนึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยมีการ open house ให้ผู้สนใจเข้าศึกษาต่อมาเยี่ยมชมภาควิชา ก็ได้เจอกับนักเรียนบางกลุ่มที่เข้ามาเยี่ยมชมแล้วขอถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ แถมมาขอถ่ายรูปร่วมด้วย ก็เลยบอกเขาไปว่าจะเอาไปใส่ในพอร์ตใช่ไหม มันไม่ช่วยอะไรนักหรอก คือเขามาเพื่อมาเอารูปประดับพอร์ต ไม่ได้คิดจะมาเรียนรู้ว่าสาขาวิชาชีพนี้เขาเรียนอะไรกัน ทำงานกันอย่างไร

นอกจากนั้นยังมีผู้ที่ขอนำเสนอตัวเองต่อหน้ากรรมการ แบบว่าพูดคล่องมากว่าตอนเรียนไปทำอะไรมาบ้าง เรียกว่ามีความสามารถในการนำเสนอดี แต่พอถามว่าคำศัพท์ (บางคำ) ที่พูดออกมานั้นมีความหมายอย่างไร ก็ตอบไม่ได้ เรียกว่าพูดออกมาโดยไม่รู้ความหมายว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นคืออะไร

การนำเสนอแบบผู้นำเสนอพูดออกมาโดยไม่รู้ความหมายว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นคืออะไร ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นักเรียนที่เข้าสอบสัมภาษณ์ เดี๋ยวนี้เวลานั่งฟังนิสิตปริญญาโท-เอกนำเสนอผลงานในวิชาสัมนา ก็ไม่อยากถามคำถามอะไร เพราะรู้ว่าถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา

น่าจะเป็นก่อนการสอบครั้งที่สามที่มีโอกาสได้ถามฝ่ายที่ทำหน้าที่กำหนดจำนวนรับว่า ลดลงได้ไหม ก็ได้คำตอบกลับมาว่าทางมหาวิทยาลัยขอให้รับ ได้ยินอย่างนี้มันก็รู้สึกเหมือนกับการทำงานตามคำสั่งข้างบนโดยไม่สนว่าจะมีผลเสียอย่างไรก็หน่วยงาน พอถามต่อว่าแล้วผลการเรียนของผู้ที่เข้ามารอบพอร์ตเทียบกับ TCAS3 นั้นเป็นอย่างไร ก็ได้คำตอบมาแบบอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า "พอ ๆ กัน" ซึ่งบ่งบอกความหมายที่แท้จริงว่า "แย่กว่า" เพราะเห็นได้จากอาการผู้ตอบคำถามตอนตอบ และคำศัพท์ที่ใช้ เพราะคำว่า "พอ ๆ กัน" นั้นมันไม่ได้มีความหมายในระดับเดียวกับ "ไม่แตกต่างกัน" หรือ "เท่าเทียมกัน"

และที่สำคัญก็คือถ้าหากว่าได้ผู้เรียนที่มีความสามารถไม่แตกต่างกันจริง แล้วคณะต้องมาเสียเวลารับด้วยรอบพอร์ตทำไม ก็รับ TCAS3 อย่างเดียวเหมือนเดิมเลย ไม่ต้องมาทำงานอะไรให้เหนื่อยเองด้วย

วันนี้ได้มีโอกาสคุยกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยทำงานสอบสัมภาษณ์ผู้สมัครรอบพอร์ตมาด้วยกัน ก็เอาโพสที่นำมาเล่าในวันนี้ให้เขาอ่านดู โดยส่วนตัวก็บอกไปว่าน่าจะมีการตั้งเกณฑ์ที่ใช้ข้อสอบกลางมากำหนดคุณสมบัติผู้สมัคร เช่นให้กำหนดไปเลยว่าคะแนนภาษาอังกฤษ (เช่น TOEFL, TOEIC หรือ CU-TEP) ต้องไม่ต่ำกว่าเท่านี้จึงจะมีสิทธิยื่นสมัคร (ก็ไหน ๆ มหาวิทยาลัยก็อยากให้มีการเรียนการสอนในภาษาอังกฤษอยู่แล้วนี่) ก็ได้คำตอบกลับมาว่าขืนทำอย่างนั้นก็จะโดนว่าว่าเป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ปกครองอีก แล้วก็จะมีปัญหาเรื่องหาคนเข้าเรียนได้ไม่เต็มจำนวน (แต่ก็เห็นเปิดหลักสูตรอินเตอร์รับนิสิตใหม่เพิ่มเติมจากจำนวนเดิมที่เคยรับอยู่ตั้งหลายหลักสูตร และก็ไม่เห็นว่าจะหาคนเรียนไม่ได้ แต่จะว่าไปเข้าด้วยหลักสูตรอินเตอร์ก็ยังเข้าง่ายกว่า TCAS3 เช่นกัน)

โดยส่วนตัวเห็นว่าในสาขาวิชาชีพที่ต้องผลิตบัณฑิตออกไปทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตคนนั้น ควรจะให้ความสำคัญต่อผู้ที่จะรับบัณฑิตที่จบไปทำงาน มากกว่าผู้ที่อยากให้ลูกของตัวเองได้เข้าเรียน

ไม่มีความคิดเห็น: