วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

๔ ปีหรือจะสู้ ๔ สัปดาห์ MO Memoir : Monday 6 October 2557

เมฆฝนกำลังจะผ่านพ้นไป ลมหนาวกำลังจะมา บรรยากาศช่างเหมาะกับการหาความอบอุ่นให้กับหัวใจเพื่อเตรียมรับลมหนาวเสียเหลือเกิน
  
ชื่อเรื่องวันนี้ผมไม่ได้คิดเองหรอก บังเอิญเย็นวันเสาร์ไปเห็นคนเขาโพสขึ้นมาบน facebook ของเขา แต่ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับเขาหรือเป็นเพื่อนเขา แต่มันก็มาปรากฏให้ผมเห็นบนหน้า facebook ของผม ก็เลยขอเอามาตั้งเป็นชื่อเรื่องสำหรับ Memoir ฉบับนี้ก็แล้วกัน ตอนแรกตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเขียนเรื่องอื่น แต่บังเอิญมีเรื่องแทรกเข้ามาบนหน้า facebook ของผม ก็เลยขอเกาะกระแสตามน้ำเขาไปหน่อย
  
  
ก่อนหน้านี้เคยเห็นคนที่เป็นคู่รักกันทะเลาะกัน สิ่งที่เห็นเขาทำก็คือลบรูปเก่า ๆ ที่เคยมีรูปคู่ด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ออกจากหน้า facebook หมดเลย และก็ไม่มีการเขียนระบายอะไรไว้ใน facebook ด้วย (แต่จะมีที่อื่นหรือเปล่าไม่รู้นะ) ผมยังไปแซวเขาเลยว่าเอารูปใส่ชุดบิกินี่ที่ไปเที่ยวทะเล (ตอนยังหวานชื่นอยู่กับแฟน) ออกจากหน้า face ทำไม ตอนนี้หัวใจเปิดว่างพร้อมรับบัตรคิวจากคนใหม่แล้วใช่ไหม แล้วก็เลยรีบสวมบทบาทเป็นพ่อสื่อแนะนำคนใหม่ให้เลือกหลายราย
  
ผลที่ออกมาก็คือทั้งคู่กลับไปคืนดีกันเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเห็นว่าตัวเลือกใหม่ที่ผมเสนอให้นั้นมันสู้ของเดิมไม่ได้หรือเปล่า แต่คิดว่าคงใช่ เพราะตอนนั้นที่หาได้ก็มีแค่นั้นจริง ๆ
  
และนั่นก็แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะมีเรื่องทะเลาะกัน แต่ก็ยังมีการเปิดช่องทางทางการฑูตเอาไว้ติดต่อกัน เพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ตอนไปเรียนเมืองนอกก็มีรุ่นพี่ที่ไปเรียนที่เดียวกันท่านหนึ่งเปรยเอาไว้ว่า "เสน่ห์ หรือจะสู้ สนิท อิทธิฤทธิ์ หรือจะสู้ ปาฏิหารย์" หรือประเภท "รักแท้ แพ้ระยะทาง" ซึ่งก็เห็นว่ามันก็มีส่วนที่เป็นจริง แม้ว่าจะไม่จริงทั้งหมดก็ตาม (อย่างน้อยมันก็ไม่เกิดขึ้นกับตัวผม รอดตัวไป) และจะว่าไปแล้วก็ได้เป็นเห็นตัวอย่างที่เป็นไปตามคำเปรยเหล่านั้น นับตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไปเรียนต่อยังต่างประเทศ และกลับมาทำงานที่เมืองไทย
  
ตัวอย่างแรกที่เห็นเข้าเค้าตามชื่อเรื่องเห็นจะได้แก่เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกัน เขามีแฟนเป็นรุ่นพี่ที่เรียนคณะเดียวกัน (ท่าทางจะไฮโซสักหน่อย) ไม่รู้ว่าคบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมหรือเปล่า รู้แต่ว่าตอนเรียนมหาวิทยลัยปีแรก ๆ นั้นมีพี่คนนี้คอยเฝ้าคอยตามอยู่ตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่ามานั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องพักนิสิตหญิง (ตอนนี้กลายเป็นที่นั่งกินข้าไปแล้ว) เรียกว่าคนอื่นจะเข้าใกล้ก็ต้องผ่านด่านเขาให้ได้ก่อน
  
แต่ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไร มันก็มีช่องว่างจนได้ และแล้วในที่สุดโอกาสนั้นก็มาถึง เมื่อฝ่ายหญิงนึกอยากออกไปร่วมกิจกรรมค่ายอาสาของทางคณะ ไปทำงานก่อสร้างในต่างจังหวัด ฝ่ายชาย (ซึ่งคงรักความสะดวกสบาย) ไม่ได้ตามไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศของบ้านนอกและสายน้ำ (คงต้องมีบ้างแหละ เพราะเป็นค่ายไปสร้างสะพาน) รวมทั้งวงเหล้า (ซึ่งมักจะมีการตั้งกันเป็นปรกติตอนเย็น) หนุ่มมาดลูกทุ่งใช้ชีวิตเรียบง่ายก็คว้าใจสาวเจ้าไปครอง (ด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์)
  
งานนี้เพื่อน ๆ พูดกันว่าสุดท้ายก็คงไปกันไม่รอด ในบรรยากาศแบบค่ายอาสาในชนบทนั้น คน ๆ หนึ่งอาจจะดูเป็นพระเอก มีเสน่ห์ แต่สำหรับอีกฝ่ายที่รักในบรรยากาศการใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งนั้น ก็คงจะทนอยู่กันได้ไม่นาน และสุดท้ายทั้งคู่ก็แยกจากกันจริง ๆ

ตอนอยู่เมืองนอกก็ได้เห็นตัวอย่างประเภท "รักแท้ แพ้ใกล้ชิด" อยู่หลายคู่ บางคู่นั้นขนาดมีคู่สมรสแล้วก่อนที่จะไปเรียนต่อ แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกรากัน ส่วนฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไปมีคนใหม่ก่อนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าฝ่ายที่อยู่เมืองนอกนั้นสุดท้ายก็มีคนใหม่ ที่เห็นอยู่ตอนนั้นก็มีอยู่ด้วยกันสองคู่
  
สมัยที่ผมไปเรียนนั้นมันเพิ่งจะเริ่มมีอีเมล์ ในประเทศไทยเองก็มีเพียงสถาบันการศึกษาสองสถาบันเท่านั้นที่นำเอาระบบอีเมล์มาใช้ การติดต่อกันก็ใช้จดหมายเป็นหลัก จะโทรศัพท์หากันค่าโทรก็แพง แถมยังมีปัญหาเรื่องเวลาที่แตกต่างกันอีก บางรายก็ใช้วิธีอัดเทปบันทึกเสียงส่งให้กัน งานนี้เรียกว่าถ้าใจไม่มั่นคงจริง ๆ ก็คงได้เลิกกันแน่ และก็มีจำนวนไม่น้อยที่ผ่านมาได้ มีรุ่นน้องรายหนึ่งที่ตามไปเรียนทีหลังผม ตอนแรกที่ไปถึงก็ร้องห่มร้องไห้เป็นประจำ เพราะคิดถึงแฟนที่อยู่เมืองไทย แถมบรรยากาศที่ลอนดอนมันก็มีเมฆครึ้มดำมืดบวกฝนตกพรำ ๆ เป็นเรื่องปรกติ ยิ่งชวนให้คิดถึงบ้านและคนที่รู้จักเข้าไปใหญ่ สุดท้ายก็มีรุ่นพี่มาปลอบใจ จนในที่สุดก็กลายเป็นความรัก และทั่งคู่ก็ได้แต่งงานกันในที่สุดเมื่อทั้งคู่เรียนจบ ส่วนใครเป็นคนบอกเลิกใครก่อนนั้นผมก็ไม่รู้ (และไม่สนที่จะไปรู้ด้วย) ได้ยินว่าฝ่ายชายเองก็แต่งงานมีครอบครัวไปกับคนอื่นเหมือนกัน

เพื่อนรุ่นเดียวกันก็มีอยู่รายหนึ่ง เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน คุณแม่เป็นคนมีหน้ามีหน้าในสังคม คุมลูกชายแจ เรียกว่าบ้านนี้แม่เป็นใหญ่ พอจบมัธยมปลายเมืองไทยก็ส่งไปเรียนต่อเมืองนอก และก็ได้เรื่อง ลูกชายไปอยู่กินกับสาวต่างชาติ จนคุณแม่ต้องไปพาตัวกลับมาหลังเขาเรียนจบปริญญาโท เขาเคยมาปรับทุกข์ให้ผมฟัง ตอนที่เขาชวนผมไปกินข้าวในร้านอาหารของสมาคมแห่นหนึ่งที่เฉพาะสมาชิกหรือแขกที่ไปรับประทานอาหารพร้อมกับสมาชิกเท่านั้น จึงจะเข้าไปกินได้ เรื่องหนึ่งที่เขาเล่าให้ฟังก็คือทางคุณแม่ของเขาบอกให้เขาพยายามมารับประทานอาหารที่นี่เป็นประจำ เหตุผลก็คือเผื่อจะได้เจอสาวอื่นที่มีชาติตระกูลทัดเทียมกัน
  
แต่ความรักบทมันจะหักมุมมันก็หักมุมแบบคาดไม่ถึงง่าย ๆ แทนที่จะได้พบรักกับสาวที่เข้าไปกินอาหารในร้านอาหารหรู ๆ กลับไปพบรักกับแม่ค้าขายข้าวแกงที่เป็นแม่หม้ายลูกติด (ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วด้วย) ฝ่ายชายหนีไปอยู่กินที่บ้านฝ่ายหญิง จนมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ตอนแรกดูเหมือนว่าทางบ้านจะโกรธมาก เรียกว่าไม่ติดต่อกันเลยก็ได้ ฝ่ายชายก็ใจเด็ดเหมือนกัน ตัดขาดก็ตัดขาดจากกันไปเลย
  
แต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้น ถึงจะโกรธจะเกลียดอย่างไรก็ตัดไม่ขาด ตอนที่เหตุการณ์มันหักมุมจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมานั้นผมไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดตอนไหน มารู้เอาอีกทีตอนที่มีโทรศัพท์จากทางคุณแม่ของเขามาขอให้ผมช่วยติดต่อกับลูกชายเขาให้หน่อย ขอให้ช่วยไปบอกว่าทางบ้านให้อภัยในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปและอยากให้เขากลับมาอยู่บ้าน และนั่นเป็นอีกครั้งที่ผมได้พบกับเพื่อนคนนี้( และเป็นครั้งสุดท้าย) เขาพาผมไปที่บ้านเช่าที่เป็นบ้านไม้เก่า ๆ หลังเล็ก ๆ ที่เขาอาศัยอยู่กับภรรยาของเขาพร้อมด้วยลูกติดจากภรรยาและลูกสาวของเขา เราได้คุยอะไรกันบ้างผมก็จำไม่ได้แล้ว ทราบแต่ว่าภายหลังทางบ้านก็รับลูกสาวของเขามาอยู่ด้วย เป็นหลานตาหลานยาย ลูกสาวของเขาถ้านับถึงวันนี้อายุก็น่าจะโตเป็นสาวเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว

มีอยู่คู่หนึ่งดูเหมือนว่าจะพบรักกันตอนฝึกงาน แม้ว่าจะมาจากคนละคณะคนละสาขาวิชากันแต่บังเอิญได้มาฝึกงานที่เดียวกัน คบกันตั้งแต่ตอนนั้น เรียกว่าสวีทกันจนใครต่อใครอิจฉา แถมตอนเรียนปริญญาโทก็มาเรียนอยู่ใกล้ ๆ กันอีก (เรียกว่าตึกติดกัน) ตอนใกล้สอบวิทยานิพนธ์ต่างฝ่ายต่างก็เป็นกำลังใจให้กัน เรียกว่าช่วยเหลือกันจนจบ แล้วเรื่องมันก็มาเกิดตอนที่ต่างฝ่ายต่างไปทำงานได้ไม่นาน
  
วันหนึ่งมีเพื่อนของเขาโทรศัพท์มาหาผม ขอให้ผมช่วยคุยเตือนสติให้กับฝ่ายหญิงหน่อย พร้อมกับเล่าเรื่องให้ผมฟังคร่าว ๆ ผมก็เลยโทรศัพท์ไปคุย พร้อมกับเตือนเขาว่าเมื่ออีกฝ่ายเขาจากไปแล้วก็ตัดใจเถอะ อย่าทำตัวประชดชีวิตแบบนั้นเลย มันไม่ดี ควรเปลี่ยนมาทำตัวให้มีเสน่ห์สำหรับตัวเลือกใหม่ ๆ ดีกว่า เขาเล่าให้ผมฟังว่าแฟนเก่าเขาถ่ายรูปคู่กับแฟนใหม่แล้วส่งมาให้เขาดูด้วย แล้วเขาก็ถามผมว่าผมอยากเห็นหน้าหญิงคนใหม่ของแฟนเก่าเขาหรือไม่ ผมก็ตอบไปว่าจะให้ผมดูไปทำไม แต่เขาก็อยากให้ผมดูเพื่อช่วยตอบคำถามเขาทีว่าเขาไม่ดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งจึงเปลี่ยนใจ แล้วเขาก็ส่งรูปคู่แฟนเก่าของเขากับหญิงคนใหม่มาให้ผมดี

งานนี้ผมตอบได้เลยว่า ถ้าใช้หน้าตาอย่างเดียวเป็นเครื่องตัดสิน ก็ต้องเชื่อแล้วว่า "ไสยศาสตร์มีจริง"

ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องทำนองเดียวกัน ฝ่ายหญิงเรียนจบได้งานทำที่ต่างจังหวัด (เป็นบริษัทของต่างชาติ และอันที่จริงที่ทำงานก็อยู่แค่ศรีราชาแค่นั้นเอง) รายได้ดีด้วย (เริ่มต้นที่หกหลัก) แต่อาจต้องทำเสาร์-อาทิตย์ ทำให้ไม่มีเวลาที่จะพบกับแฟนในช่วงวันหยุด เขามาร้องห่มร้องไห้ขอคำปรึกษากับผมว่าจะเอายังไงดี จะสละสิทธิ์งานที่นั่นดีไหมแล้วหางานใหม่ใกล้กับที่ทำงานของแฟนที่มีเวลาเจอหน้าแฟน ผมก็ถามเขาไปว่าเรื่องพวกนี้คงต้องไปตัดสินใจกันเองว่าคุณวางอนาคตเอาไว้อย่างไร ผมคงให้ได้แค่มุมมองในแง่ต่าง ๆ แต่สุดท้ายแล้วคุณต้องเลือกเอง จะทำงานเก็บเงินเพื่อตั้งตัวกันก่อนหรือไม่ หรือจะหางานใหม่ที่แม้ว่าเงินเดือนจะต่ำกว่าเยอะแต่ก็ทำให้มีเวลาได้ใกล้ชิดกัน ในที่สุดฝ่ายหญิงก็ตัดสินใจเลือกที่จะไปทำงานเก็บเงิน
  
เวลาผ่านไปไม่ถึงปี ผมก็ได้รับการ์ดแต่งงานจากฝ่ายหญิง แต่พอดูชื่อเจ้าบ่าวแล้วก็งงเลย ปรากฏว่าเป็นชาวต่างชาติ กลายเป็นว่าได้ไปพบรักใหม่กับชาวต่าง ได้ยินว่าระหว่างทำงานนั้นฝ่ายชายเป็นผู้คอยดูแล จนฝ่ายหญิงเปลี่ยนใจ ฝ่ายชายนั้นก็อายุพอ ๆ กับผม ส่วนฝ่ายหญิงตอนนี้ก็กลายเป็นคุณแม่ไปแล้ว เพิ่งจะมีลูกชายได้หนึ่งคน อายุยังไม่ครบขวบปีดี ขณะนี้ก็อาศัยอยู่กับสามีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

สองรายที่ยกตัวอย่างมานี้ก็เข้าข่าย ๔ ปีหรือจะสู้ ๔ สัปดาห์เหมือนดังหัวเรื่องเช่นเดียวกัน
  
ตอนเรียนจบเริ่มทำงานใหม่ ๆ นั้นบังเอิญทางหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติ ในช่วงใกล้วันประชุมเลยต้องมีการเตรียมการประชุมกันถึงค่ำทุกวัน เรียกว่าหาข้าวเย็นกินกันแถวที่ทำงานนั่นแหละ เย็นวันหนึ่งผมจะออกไปทานข้าวเย็น ก็บังเอิญเดินผ่านรุ่นพี่คนหนึ่ง (เข้ามาทำงานที่เดียวกันในเวลาไล่เรี่ยกันกับผม) ผมก็เลยถามพี่เขาไปว่าออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหน เขาก็ตอบผมกลับมาว่า

"รู้แล้วเหยียบเอาไว้นะ ผมหมั้นกับคุณ .... แล้ว"

เจอแบบนี้เข้าก็อึ้งซิครับ พูดอะไรไม่ออกเลย นึกในใจว่ากูทำอะไรผิดหรือเปล่าว่ะ แค่ชวนไปกินข้าวกลับได้คำตอบมาคนละเรื่อง มาเข้าใจทีหลังว่าพี่เขานึกว่าผมไปล้อเขาเล่นที่เขามีคู่หมั้นแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงนั้นผมยังไม่เคยรู้หรือสังเกตเห็นมาก่อนเลยว่าพี่เขามีแฟนแล้ว (เพราะคนที่เป็นคู่หมั้นเขาผมก็รู้จักตั้งแต่สมัยที่ผมยังเรียนมหาวิทยาลัย) ซึ่งสิ่งที่เขาขอร้องให้ผมเหยียบเอาไว้ไม่เอาไปบอกต่อใครนั้นผมก็ทำตามที่เขาขอเอาไว้จริง ๆ แต่คนก็รู้กันทั่วไปหมดเพราะว่าพี่เขาเองเป็นคนไปบอกกับคนอื่น ๆ ด้วยประโยคเดียวกันนี้ว่า "รู้แล้วเหยียบเอาไว้นะ ..."

ปัจจัยที่ทำให้คนที่อยู่ในวัยกำลังเรียนมหาวิทยาลัยหรือเพิ่งจะจบจากมหาวิทยาลัยจะตัดสินใจรักใครสักคนนั้นคงจะแตกต่างไปจากคนที่ผ่านการทำงานมาในระดับหนึ่งแล้ว เคยมีการศึกษาหนึ่งในบ้านเราถามวัยรุ่น (ทั้งชายและหญิง) เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่อยากได้เป็นแฟน และคุณสมบัติของผู้ที่อยากได้เป็นพ่อ/แม่ของลูก (ถ้าแต่งงานอยู่กินด้วยกัน)
  
ผลออกมาว่าคำตอบนั้น "ไม่เหมือนกัน"

เที่ยงวันหนึ่งขณะนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ ในห้องอาหารแห่งหนึ่งของทางสถาบัน น้องผู้หญิงรายหนึ่งก็เดินมาที่โต๊ะเพื่อมานั่งกินข้าวด้วย พร้อมกับชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานอีกผู้หนึ่ง พอมาถึงที่โต๊ะเขาก็แนะนำผมให้รู้จักกับคนที่เขาพามาด้วย ด้วยการบอกว่า "นี่พี่ .... ทำงานอยู่ที่เดียวกัน แต่งงานแล้ว ภรรยาเป็น ...."
  
ฟังตอนแรกก็แปลกใจ ว่าทำไมเล่นแนะนำประวัติเราซะละเอียด ที่สำคัญคือย้ำด้วยนะว่า "แต่งงานแล้ว" ตอนหลังถึงมารู้ว่าคู่นี้อยู่ระหว่างคบหาดูใจกันอยู่ และบังเอิญวันนั้นเขามาเจอผมพอดี ฝ่ายหญิงก็เลยต้องแนะนำตัวผมซะละเอียด กันฝ่ายชายเข้าใจผิด
  
อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงก็มาถามผมเป็นการส่วนตัวว่าผมคิดอย่างไรก็ฝ่ายชายรายนั้น ผมเข้าใจว่าเขาทั้งคู่อยู่ระหว่างคบหาดูใจกันอยู่ ผมก็ตอบเขาไปว่า วัยวุฒิ คุณวุฒิ หน้าที่การงาน ฐานะการเงิน ผมให้ผ่านหมด เหลืออยู่อย่างเดียว "เคยทะเลาะกันหรือยัง" น้องเขาก็ตอบผมกลับมาว่า "พี่พูดเหมือนกับที่อาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งบอกเลย" สุดท้ายคู่นี้ก็แยกจากกันด้วยดีครับ มันอาจจะดูเหมือนจบแบบเศร้า ๆ แต่เมื่อทั้งคู่ต่างยอมรับกันว่ามีความแตกต่างกันอยู่ที่อาจทำให้ยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้ ต่างฝ่ายก็ควรที่จะแยกไปหาคนใหม่

ส่วนเหตุผลที่ถามว่าเคยทะเลาะกันหรือเปล่าเพราะเคยเห็นมาเหมือนกัน ที่คบกันเป็นแฟนกันมานาน พอทะเลาะกันเพียงแค่ครั้งเดียวก็เลิกคบกันเลย มีอยู่รายหนึ่งเป็นนิสิตหญิงจบจากที่อื่นมา มาเรียนต่อปริญญาเอกที่ภาควิชา เขามีแฟนอยู่แล้ว ตอนที่เริ่มทำการทดลองนั้นก็ต้องทำการทดลองภายใต้การดูแลของรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มากกว่า (ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของการเรียน) แต่ดูเหมือนว่าแฟนของเขานั้นจะหึงหวงเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เข้ามาอาละวาดถึงในภาควิชาหน้าห้องแลป ได้ยินมาว่าถึงกับพยายามกระโดดชกหน้ารุ่นพี่คนที่กำกับการทำงานของแฟนเขา (ดูเหมือนว่าเหตุเกิดตอนกลางคืน) แล้วทั้งคู่ก็เลิกคบกันตั้งแต่วันนั้น

ผมยังมองว่าการที่คู่รักสักคู่จะรักกันโดยหวังที่จะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไปนั้นเป็นเรื่องที่งดงาม และเมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นแล้ว ผมก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องปิดบัง หลบหลีกซ้อนเร้น หรือแกล้งทำเป็นไม่มี บางทีก็ต้องแยกกันระหว่างความรักกับการคบหาดูใจ ถ้ายังไม่แน่ใจว่าคนที่กำลังคบอยู่นั้นจะใช่คนที่เราอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไปหรือไม่ ก็ไม่ควรไปประกาศว่าตนเป็นเจ้าของของเขา คนอื่นห้ามยุ่ง
  
เห็นอยู่คู่หนึ่ง ใครต่อใครหลายคนเขาเชื่อว่าคู่เขาเป็นแฟนกัน แต่ถ้าดูตามปรกติจะเห็นว่าเหมือนกับว่าทั้งคู่ไม่ได้คบหาอะไรกัน (ต้องติดตามดูนอกเวลาทำงานครับ) ผมก็ได้ยินใครต่อใครพูดอย่างนี้มานานแล้ว จนมีคนเขาคิดเลยไปแล้วว่า "สักวันหนึ่ง" (ซึ่งก็ไม่รู้ว่ารอมากี่ปีแล้ว) คู่นี้คงต้องแต่งงานกัน จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่ตัวผมเองกลับมองไปอีกอย่าง คือผมคิดว่าฝ่ายชายคงคบฝ่ายหญิงไปอย่างนั้นนั่นแหละ คบเป็นแฟนคงได้ แต่จะให้ฝ่ายชายแต่งงานมีคู่ครองเป็นตัวเป็นตนคงยาก งานนี้โดยส่วนตัวผมก็เห็นใจฝ่ายหญิงอยู่ คิดว่าถ้าเปิดตัวและไม่ยึดติดกับคนปัจจุบัน เขาก็คงมีครอบครัวที่เป็นสุขไปแล้ว แทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า

มีนิสิตหญิงอยู่รายหนึ่ง ชั่วโมงแรกที่ผมสอนแลปเขาผมเกือบไล่ออกนอกห้องแลปแล้วว่า เป็นผู้ชายทำไมแต่งชุดนิสิตหญิงมาเรียน คือรายนี้มองเผิน ๆ เรียกว่าถ้าตัดหัวมาตั้งคงเดาไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมยังแซวเขาเลยว่าถ้าคุณมีแฟนนะ แฟนของคุณต้องขอนั่งกินข้าวชิดติดคุณแน่ ๆ เขาก็ตอบสวนผมกลับมาเลยว่า "อาจารย์กำลังจะบอกหนูใช่ไหมค่ะ ว่าถ้าเขานั่งฝั่งตรงข้ามหนู พอเห็นหน้าหนูแล้วเขาจะกินข้าวไม่ลง"
  
ผู้หญิงทุกคนต่างมีสิ่งที่ดีและงดงามอยู่ในตัวเอง ไม่ใช่เพียงแค่รูปร่างหน้าตา เพียงแต่ว่าหญิงคนนั้นจะมีโอกาสพบใครสักคนที่มองเห็นสิ่งที่ดีและงดงามในตัวเขาหรือเปล่า นิสิตหญิงรายนี้ก็เช่นกันครับ ในวันที่เขาผลการสอบทั้งหมดประกาศว่าเขาสำเร็จการศึกษา สิ่งแรกที่เขาทำก็คือเขาโทรมาหาผมครับว่าผมอยู่ที่ไหน เขาจะไปหา ผมก็บอกเขาไปว่าผมอยู่ที่แลปปริญญาโท เขาก็แวะมาหาพร้อมกับคน ๆ หนึ่งที่เขาบอกกับผมว่า "อาจารย์ นี่แฟนหนู จะแต่งงานกันปีหน้า นี่หนูอุตส่าห์พามาแนะนำให้อาจารย์รู้จักเป็นคนแรกเลยนะ หนูอยากรู้ว่าอาจารย์จะทำหน้าอย่างไร ชอบว่าหนูนักว่าจะหาแฟนได้เหรอ"
  
งานนี้ทำเอาผมถึงกับยืนเซ่อไปเหมือนกันครับ ไม่ใช่เพราะเห็นว่านิสิตหญิงผู้นี้จะมีผู้ชายมาชอบ แต่เป็นเพราะผมบังเอิญรู้จักคนที่เป็นแฟนกับนิสิตหญิงรายนี้ และไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเป็นคน ๆ นี้ ผมยังหันไปถามฝ่ายชายเลยว่าคิดดีแล้วเหรอ ต้องการตัวเลือกอื่นไหม จะช่วยหาให้
  
วันแต่งงานทั้งคู่เขาขอเชิญผมขึ้นไปกล่าวอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว ก่อนวันงานผมยังถามเขาเลยว่างานนี้ตกลงใครเป็นเจ้าบ่าวใครเป็นเจ้าสาว แต่ที่แน่ ๆ ที่เห็นมาหลายครั้งแล้วก็คือ ผู้หญิงที่ท่าทางดูเหมือนลักษณะเป็นทอมเล็กน้อย เวลาแต่งชุดแต่งงานเป็นผู้หญิงแล้วจะดูสวยมาก รายนี้ก็เช่นเดียวกัน จะเรียกว่าฝ่ายชายตาถึงก็ได้

ผมยังมองว่าการรักใครสักคนที่การที่เราให้เกียรติคน ๆ นั้น ไม่ใช่ถือโอกาสละลาบละล้วง เคยเตือนนิสิตบางคู่ที่เป็นแฟนกันว่าแต่มีพฤติกรรมในที่สาธารณะไม่ค่อยเหมาะสม (จากมุมมองของผมเอง) ว่าฝ่ายชายก็ควรที่จะให้เกียรติฝ่ายหญิง และฝ่ายหญิงก็ควรที่จะรักนวลสงวนตัวไว้บ้าง คำว่า "เปิดกว้าง" เป็นข้ออ้างของผู้ชายที่คิดจะเอาเปรียบ และเป็นของผู้หญิงที่ต้องการหลีกเลี่ยงคำว่า "สำส่อน"
  
คำสอนหนึ่งที่ผมได้จากผู้ใหญ่ในวันแต่งงานก็คือ ผู้ชายต้องหัดทำตัวเป็นคนหูหนวก และผู้หญิงต้องหัดทำตัวเป็นคนตาบอดซะบ้าง นั่นแสดงถึงนิสัยประจำเพศว่า ผู้ชายแม้จะแต่งงานแล้วก็อาจมีการไปชำเลืองมองหญิงอื่นบ้าง (จะไปห้ามไม่ให้เขาไม่มองเลยก็ไม่ได้ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ หรืออยากให้เขาหันไปชื่นชมผู้ชายด้วยกันล่ะ) ส่วนผู้หญิงนั้นเรื่องพูดมากก็คงเป็นเรื่องปรกติ อีกคำสอนหนึ่งที่สำคัญที่ได้รับมาก็คือต้องรู้จักให้อภัย รักจะอยู่ด้วยกันต้องไม่คิดที่จะไปคิดที่จะล้างแค้นเอาคืน ต้องระมัดระวังอย่างรอบคอบในการไปเอาข้อเสียเพียงประเด็นเดียวของอีกฝ่ายหนึ่งมาหักล้างสิ่งดี ๆ มากมายที่เขาเคยมีกับเราจนหมด เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการแยกทางกัน
  
มุมมองที่ผมเขียนในวันนี้กรุณาอย่าเอาไปปนกับความรักที่อิงอยู่บน "ผลประโยชน์ที่คาดหวังว่าจะได้จากอีกฝ่ายหนึ่ง" นะครับ เพราะเมื่อหมดประโยชน์แล้วต้องแยกกันมันก็เป็นเรื่องปรกติที่ผมเห็นว่าไม่ต้องไปใส่ใจ ส่วนกรณีที่คนสองคนที่คบหากันโดยคาดหวังว่าเมื่อถึงเวลาอันควรก็จะตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปจนตาย แต่ก่อนจะถึงวันนั้นแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพบว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ และคงต้องแยกจากกันนั้น ผมยังมองว่าเป็นเรื่องภายในของคนสองคนครับ มันคงเจ็บทั้งคู่ทั้งผู้ที่ตัดสินใจเป็นฝ่ายบอกเลิกเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับอีกฝ่ายหนึ่งในอนาคต และตัวคนที่ถูกบอกเลิกด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับรู้ จะมีอะไรปรับทุกข์หรือจะระบายก็ควรเฉพาะกับคนสนิทหรือผู้ที่ไว้วางใจได้ครับ การเอามาเผยแพร่ออกสื่อสาธารณะนี่ผมยังมองว่าเป็นดาบสองคม ในแง่หนึ่งนั้นอาจได้รับความเห็นใจจากผู้อื่น แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจมองได้ว่าเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่นก็ได้ครับ

ถ้าให้เลือกเอาระหว่างการที่มีใครสักคนมารัก แม้ว่าต้องที่มีความเสี่ยงกับการไม่สมหวัง กับการที่ไม่มีใครมารักหรือไม่อยากให้ใครมารัก ผมเลือกข้าง "อกหัก ดีกว่ารักไม่เป็น" ครับ
  
ปล. รูปหนังสือที่เอามาแสดงนั้นผมซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อหลายปีแล้วครับ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผม

ไม่มีความคิดเห็น: