เมฆฝนกำลังจะผ่านพ้นไป
ลมหนาวกำลังจะมา
บรรยากาศช่างเหมาะกับการหาความอบอุ่นให้กับหัวใจเพื่อเตรียมรับลมหนาวเสียเหลือเกิน
ชื่อเรื่องวันนี้ผมไม่ได้คิดเองหรอก
บังเอิญเย็นวันเสาร์ไปเห็นคนเขาโพสขึ้นมาบน
facebook
ของเขา
แต่ทั้ง ๆ
ที่ผมไม่ได้รู้จักอะไรกับเขาหรือเป็นเพื่อนเขา
แต่มันก็มาปรากฏให้ผมเห็นบนหน้า
facebook
ของผม
ก็เลยขอเอามาตั้งเป็นชื่อเรื่องสำหรับ
Memoir
ฉบับนี้ก็แล้วกัน
ตอนแรกตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเขียนเรื่องอื่น
แต่บังเอิญมีเรื่องแทรกเข้ามาบนหน้า
facebook
ของผม
ก็เลยขอเกาะกระแสตามน้ำเขาไปหน่อย
ก่อนหน้านี้เคยเห็นคนที่เป็นคู่รักกันทะเลาะกัน
สิ่งที่เห็นเขาทำก็คือลบรูปเก่า
ๆ ที่เคยมีรูปคู่ด้วยกัน
ไปเที่ยวด้วยกัน ออกจากหน้า
facebook
หมดเลย
และก็ไม่มีการเขียนระบายอะไรไว้ใน
facebook
ด้วย
(แต่จะมีที่อื่นหรือเปล่าไม่รู้นะ)
ผมยังไปแซวเขาเลยว่าเอารูปใส่ชุดบิกินี่ที่ไปเที่ยวทะเล
(ตอนยังหวานชื่นอยู่กับแฟน)
ออกจากหน้า
face
ทำไม
ตอนนี้หัวใจเปิดว่างพร้อมรับบัตรคิวจากคนใหม่แล้วใช่ไหม
แล้วก็เลยรีบสวมบทบาทเป็นพ่อสื่อแนะนำคนใหม่ให้เลือกหลายราย
ผลที่ออกมาก็คือทั้งคู่กลับไปคืนดีกันเหมือนเดิม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเห็นว่าตัวเลือกใหม่ที่ผมเสนอให้นั้นมันสู้ของเดิมไม่ได้หรือเปล่า
แต่คิดว่าคงใช่
เพราะตอนนั้นที่หาได้ก็มีแค่นั้นจริง
ๆ
และนั่นก็แสดงให้เห็นว่า
แม้ว่าจะมีเรื่องทะเลาะกัน
แต่ก็ยังมีการเปิดช่องทางทางการฑูตเอาไว้ติดต่อกัน
เพื่อปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ตอนไปเรียนเมืองนอกก็มีรุ่นพี่ที่ไปเรียนที่เดียวกันท่านหนึ่งเปรยเอาไว้ว่า
"เสน่ห์
หรือจะสู้ สนิท อิทธิฤทธิ์
หรือจะสู้ ปาฏิหารย์"
หรือประเภท
"รักแท้
แพ้ระยะทาง"
ซึ่งก็เห็นว่ามันก็มีส่วนที่เป็นจริง
แม้ว่าจะไม่จริงทั้งหมดก็ตาม
(อย่างน้อยมันก็ไม่เกิดขึ้นกับตัวผม
รอดตัวไป)
และจะว่าไปแล้วก็ได้เป็นเห็นตัวอย่างที่เป็นไปตามคำเปรยเหล่านั้น
นับตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
ไปเรียนต่อยังต่างประเทศ
และกลับมาทำงานที่เมืองไทย
ตัวอย่างแรกที่เห็นเข้าเค้าตามชื่อเรื่องเห็นจะได้แก่เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกัน
เขามีแฟนเป็นรุ่นพี่ที่เรียนคณะเดียวกัน
(ท่าทางจะไฮโซสักหน่อย)
ไม่รู้ว่าคบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมหรือเปล่า
รู้แต่ว่าตอนเรียนมหาวิทยลัยปีแรก
ๆ นั้นมีพี่คนนี้คอยเฝ้าคอยตามอยู่ตลอดเวลา
ชนิดที่เรียกว่ามานั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องพักนิสิตหญิง
(ตอนนี้กลายเป็นที่นั่งกินข้าไปแล้ว)
เรียกว่าคนอื่นจะเข้าใกล้ก็ต้องผ่านด่านเขาให้ได้ก่อน
แต่ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไร
มันก็มีช่องว่างจนได้
และแล้วในที่สุดโอกาสนั้นก็มาถึง
เมื่อฝ่ายหญิงนึกอยากออกไปร่วมกิจกรรมค่ายอาสาของทางคณะ
ไปทำงานก่อสร้างในต่างจังหวัด
ฝ่ายชาย (ซึ่งคงรักความสะดวกสบาย)
ไม่ได้ตามไปด้วย
ท่ามกลางบรรยากาศของบ้านนอกและสายน้ำ
(คงต้องมีบ้างแหละ
เพราะเป็นค่ายไปสร้างสะพาน)
รวมทั้งวงเหล้า
(ซึ่งมักจะมีการตั้งกันเป็นปรกติตอนเย็น)
หนุ่มมาดลูกทุ่งใช้ชีวิตเรียบง่ายก็คว้าใจสาวเจ้าไปครอง
(ด้วยเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์)
งานนี้เพื่อน
ๆ พูดกันว่าสุดท้ายก็คงไปกันไม่รอด
ในบรรยากาศแบบค่ายอาสาในชนบทนั้น
คน ๆ หนึ่งอาจจะดูเป็นพระเอก
มีเสน่ห์
แต่สำหรับอีกฝ่ายที่รักในบรรยากาศการใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งนั้น
ก็คงจะทนอยู่กันได้ไม่นาน
และสุดท้ายทั้งคู่ก็แยกจากกันจริง
ๆ
ตอนอยู่เมืองนอกก็ได้เห็นตัวอย่างประเภท
"รักแท้
แพ้ใกล้ชิด"
อยู่หลายคู่
บางคู่นั้นขนาดมีคู่สมรสแล้วก่อนที่จะไปเรียนต่อ
แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกรากัน
ส่วนฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไปมีคนใหม่ก่อนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
รู้แต่ว่าฝ่ายที่อยู่เมืองนอกนั้นสุดท้ายก็มีคนใหม่
ที่เห็นอยู่ตอนนั้นก็มีอยู่ด้วยกันสองคู่
สมัยที่ผมไปเรียนนั้นมันเพิ่งจะเริ่มมีอีเมล์
ในประเทศไทยเองก็มีเพียงสถาบันการศึกษาสองสถาบันเท่านั้นที่นำเอาระบบอีเมล์มาใช้
การติดต่อกันก็ใช้จดหมายเป็นหลัก
จะโทรศัพท์หากันค่าโทรก็แพง
แถมยังมีปัญหาเรื่องเวลาที่แตกต่างกันอีก
บางรายก็ใช้วิธีอัดเทปบันทึกเสียงส่งให้กัน
งานนี้เรียกว่าถ้าใจไม่มั่นคงจริง
ๆ ก็คงได้เลิกกันแน่
และก็มีจำนวนไม่น้อยที่ผ่านมาได้
มีรุ่นน้องรายหนึ่งที่ตามไปเรียนทีหลังผม
ตอนแรกที่ไปถึงก็ร้องห่มร้องไห้เป็นประจำ
เพราะคิดถึงแฟนที่อยู่เมืองไทย
แถมบรรยากาศที่ลอนดอนมันก็มีเมฆครึ้มดำมืดบวกฝนตกพรำ
ๆ เป็นเรื่องปรกติ
ยิ่งชวนให้คิดถึงบ้านและคนที่รู้จักเข้าไปใหญ่
สุดท้ายก็มีรุ่นพี่มาปลอบใจ
จนในที่สุดก็กลายเป็นความรัก
และทั่งคู่ก็ได้แต่งงานกันในที่สุดเมื่อทั้งคู่เรียนจบ
ส่วนใครเป็นคนบอกเลิกใครก่อนนั้นผมก็ไม่รู้
(และไม่สนที่จะไปรู้ด้วย)
ได้ยินว่าฝ่ายชายเองก็แต่งงานมีครอบครัวไปกับคนอื่นเหมือนกัน
เพื่อนรุ่นเดียวกันก็มีอยู่รายหนึ่ง
เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน
คุณแม่เป็นคนมีหน้ามีหน้าในสังคม
คุมลูกชายแจ เรียกว่าบ้านนี้แม่เป็นใหญ่
พอจบมัธยมปลายเมืองไทยก็ส่งไปเรียนต่อเมืองนอก
และก็ได้เรื่อง
ลูกชายไปอยู่กินกับสาวต่างชาติ
จนคุณแม่ต้องไปพาตัวกลับมาหลังเขาเรียนจบปริญญาโท
เขาเคยมาปรับทุกข์ให้ผมฟัง
ตอนที่เขาชวนผมไปกินข้าวในร้านอาหารของสมาคมแห่นหนึ่งที่เฉพาะสมาชิกหรือแขกที่ไปรับประทานอาหารพร้อมกับสมาชิกเท่านั้น
จึงจะเข้าไปกินได้
เรื่องหนึ่งที่เขาเล่าให้ฟังก็คือทางคุณแม่ของเขาบอกให้เขาพยายามมารับประทานอาหารที่นี่เป็นประจำ
เหตุผลก็คือเผื่อจะได้เจอสาวอื่นที่มีชาติตระกูลทัดเทียมกัน
แต่ความรักบทมันจะหักมุมมันก็หักมุมแบบคาดไม่ถึงง่าย
ๆ แทนที่จะได้พบรักกับสาวที่เข้าไปกินอาหารในร้านอาหารหรู
ๆ กลับไปพบรักกับแม่ค้าขายข้าวแกงที่เป็นแม่หม้ายลูกติด
(ลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วด้วย)
ฝ่ายชายหนีไปอยู่กินที่บ้านฝ่ายหญิง
จนมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน
ตอนแรกดูเหมือนว่าทางบ้านจะโกรธมาก
เรียกว่าไม่ติดต่อกันเลยก็ได้
ฝ่ายชายก็ใจเด็ดเหมือนกัน
ตัดขาดก็ตัดขาดจากกันไปเลย
แต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้น
ถึงจะโกรธจะเกลียดอย่างไรก็ตัดไม่ขาด
ตอนที่เหตุการณ์มันหักมุมจนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมานั้นผมไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดตอนไหน
มารู้เอาอีกทีตอนที่มีโทรศัพท์จากทางคุณแม่ของเขามาขอให้ผมช่วยติดต่อกับลูกชายเขาให้หน่อย
ขอให้ช่วยไปบอกว่าทางบ้านให้อภัยในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปและอยากให้เขากลับมาอยู่บ้าน
และนั่นเป็นอีกครั้งที่ผมได้พบกับเพื่อนคนนี้(
และเป็นครั้งสุดท้าย)
เขาพาผมไปที่บ้านเช่าที่เป็นบ้านไม้เก่า
ๆ หลังเล็ก ๆ
ที่เขาอาศัยอยู่กับภรรยาของเขาพร้อมด้วยลูกติดจากภรรยาและลูกสาวของเขา
เราได้คุยอะไรกันบ้างผมก็จำไม่ได้แล้ว
ทราบแต่ว่าภายหลังทางบ้านก็รับลูกสาวของเขามาอยู่ด้วย
เป็นหลานตาหลานยาย
ลูกสาวของเขาถ้านับถึงวันนี้อายุก็น่าจะโตเป็นสาวเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว
มีอยู่คู่หนึ่งดูเหมือนว่าจะพบรักกันตอนฝึกงาน
แม้ว่าจะมาจากคนละคณะคนละสาขาวิชากันแต่บังเอิญได้มาฝึกงานที่เดียวกัน
คบกันตั้งแต่ตอนนั้น
เรียกว่าสวีทกันจนใครต่อใครอิจฉา
แถมตอนเรียนปริญญาโทก็มาเรียนอยู่ใกล้
ๆ กันอีก (เรียกว่าตึกติดกัน)
ตอนใกล้สอบวิทยานิพนธ์ต่างฝ่ายต่างก็เป็นกำลังใจให้กัน
เรียกว่าช่วยเหลือกันจนจบ
แล้วเรื่องมันก็มาเกิดตอนที่ต่างฝ่ายต่างไปทำงานได้ไม่นาน
วันหนึ่งมีเพื่อนของเขาโทรศัพท์มาหาผม
ขอให้ผมช่วยคุยเตือนสติให้กับฝ่ายหญิงหน่อย
พร้อมกับเล่าเรื่องให้ผมฟังคร่าว
ๆ ผมก็เลยโทรศัพท์ไปคุย
พร้อมกับเตือนเขาว่าเมื่ออีกฝ่ายเขาจากไปแล้วก็ตัดใจเถอะ
อย่าทำตัวประชดชีวิตแบบนั้นเลย
มันไม่ดี
ควรเปลี่ยนมาทำตัวให้มีเสน่ห์สำหรับตัวเลือกใหม่
ๆ ดีกว่า
เขาเล่าให้ผมฟังว่าแฟนเก่าเขาถ่ายรูปคู่กับแฟนใหม่แล้วส่งมาให้เขาดูด้วย
แล้วเขาก็ถามผมว่าผมอยากเห็นหน้าหญิงคนใหม่ของแฟนเก่าเขาหรือไม่
ผมก็ตอบไปว่าจะให้ผมดูไปทำไม
แต่เขาก็อยากให้ผมดูเพื่อช่วยตอบคำถามเขาทีว่าเขาไม่ดีอย่างไร
อีกฝ่ายหนึ่งจึงเปลี่ยนใจ
แล้วเขาก็ส่งรูปคู่แฟนเก่าของเขากับหญิงคนใหม่มาให้ผมดี
งานนี้ผมตอบได้เลยว่า
ถ้าใช้หน้าตาอย่างเดียวเป็นเครื่องตัดสิน
ก็ต้องเชื่อแล้วว่า
"ไสยศาสตร์มีจริง"
ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องทำนองเดียวกัน
ฝ่ายหญิงเรียนจบได้งานทำที่ต่างจังหวัด
(เป็นบริษัทของต่างชาติ
และอันที่จริงที่ทำงานก็อยู่แค่ศรีราชาแค่นั้นเอง)
รายได้ดีด้วย
(เริ่มต้นที่หกหลัก)
แต่อาจต้องทำเสาร์-อาทิตย์
ทำให้ไม่มีเวลาที่จะพบกับแฟนในช่วงวันหยุด
เขามาร้องห่มร้องไห้ขอคำปรึกษากับผมว่าจะเอายังไงดี
จะสละสิทธิ์งานที่นั่นดีไหมแล้วหางานใหม่ใกล้กับที่ทำงานของแฟนที่มีเวลาเจอหน้าแฟน
ผมก็ถามเขาไปว่าเรื่องพวกนี้คงต้องไปตัดสินใจกันเองว่าคุณวางอนาคตเอาไว้อย่างไร
ผมคงให้ได้แค่มุมมองในแง่ต่าง
ๆ แต่สุดท้ายแล้วคุณต้องเลือกเอง
จะทำงานเก็บเงินเพื่อตั้งตัวกันก่อนหรือไม่
หรือจะหางานใหม่ที่แม้ว่าเงินเดือนจะต่ำกว่าเยอะแต่ก็ทำให้มีเวลาได้ใกล้ชิดกัน
ในที่สุดฝ่ายหญิงก็ตัดสินใจเลือกที่จะไปทำงานเก็บเงิน
เวลาผ่านไปไม่ถึงปี
ผมก็ได้รับการ์ดแต่งงานจากฝ่ายหญิง
แต่พอดูชื่อเจ้าบ่าวแล้วก็งงเลย
ปรากฏว่าเป็นชาวต่างชาติ
กลายเป็นว่าได้ไปพบรักใหม่กับชาวต่าง
ได้ยินว่าระหว่างทำงานนั้นฝ่ายชายเป็นผู้คอยดูแล
จนฝ่ายหญิงเปลี่ยนใจ
ฝ่ายชายนั้นก็อายุพอ ๆ กับผม
ส่วนฝ่ายหญิงตอนนี้ก็กลายเป็นคุณแม่ไปแล้ว
เพิ่งจะมีลูกชายได้หนึ่งคน
อายุยังไม่ครบขวบปีดี
ขณะนี้ก็อาศัยอยู่กับสามีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
สองรายที่ยกตัวอย่างมานี้ก็เข้าข่าย
๔ ปีหรือจะสู้ ๔
สัปดาห์เหมือนดังหัวเรื่องเช่นเดียวกัน
ตอนเรียนจบเริ่มทำงานใหม่
ๆ
นั้นบังเอิญทางหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติ
ในช่วงใกล้วันประชุมเลยต้องมีการเตรียมการประชุมกันถึงค่ำทุกวัน
เรียกว่าหาข้าวเย็นกินกันแถวที่ทำงานนั่นแหละ
เย็นวันหนึ่งผมจะออกไปทานข้าวเย็น
ก็บังเอิญเดินผ่านรุ่นพี่คนหนึ่ง
(เข้ามาทำงานที่เดียวกันในเวลาไล่เรี่ยกันกับผม)
ผมก็เลยถามพี่เขาไปว่าออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหน
เขาก็ตอบผมกลับมาว่า
"รู้แล้วเหยียบเอาไว้นะ
ผมหมั้นกับคุณ ....
แล้ว"
เจอแบบนี้เข้าก็อึ้งซิครับ
พูดอะไรไม่ออกเลย
นึกในใจว่ากูทำอะไรผิดหรือเปล่าว่ะ
แค่ชวนไปกินข้าวกลับได้คำตอบมาคนละเรื่อง
มาเข้าใจทีหลังว่าพี่เขานึกว่าผมไปล้อเขาเล่นที่เขามีคู่หมั้นแล้ว
ซึ่งในความเป็นจริงนั้นผมยังไม่เคยรู้หรือสังเกตเห็นมาก่อนเลยว่าพี่เขามีแฟนแล้ว
(เพราะคนที่เป็นคู่หมั้นเขาผมก็รู้จักตั้งแต่สมัยที่ผมยังเรียนมหาวิทยาลัย)
ซึ่งสิ่งที่เขาขอร้องให้ผมเหยียบเอาไว้ไม่เอาไปบอกต่อใครนั้นผมก็ทำตามที่เขาขอเอาไว้จริง
ๆ แต่คนก็รู้กันทั่วไปหมดเพราะว่าพี่เขาเองเป็นคนไปบอกกับคนอื่น
ๆ ด้วยประโยคเดียวกันนี้ว่า
"รู้แล้วเหยียบเอาไว้นะ
..."
ปัจจัยที่ทำให้คนที่อยู่ในวัยกำลังเรียนมหาวิทยาลัยหรือเพิ่งจะจบจากมหาวิทยาลัยจะตัดสินใจรักใครสักคนนั้นคงจะแตกต่างไปจากคนที่ผ่านการทำงานมาในระดับหนึ่งแล้ว
เคยมีการศึกษาหนึ่งในบ้านเราถามวัยรุ่น
(ทั้งชายและหญิง)
เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่อยากได้เป็นแฟน
และคุณสมบัติของผู้ที่อยากได้เป็นพ่อ/แม่ของลูก
(ถ้าแต่งงานอยู่กินด้วยกัน)
ผลออกมาว่าคำตอบนั้น
"ไม่เหมือนกัน"
เที่ยงวันหนึ่งขณะนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารเล็ก
ๆ ในห้องอาหารแห่งหนึ่งของทางสถาบัน
น้องผู้หญิงรายหนึ่งก็เดินมาที่โต๊ะเพื่อมานั่งกินข้าวด้วย
พร้อมกับชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานอีกผู้หนึ่ง
พอมาถึงที่โต๊ะเขาก็แนะนำผมให้รู้จักกับคนที่เขาพามาด้วย
ด้วยการบอกว่า "นี่พี่
....
ทำงานอยู่ที่เดียวกัน
แต่งงานแล้ว ภรรยาเป็น ...."
ฟังตอนแรกก็แปลกใจ
ว่าทำไมเล่นแนะนำประวัติเราซะละเอียด
ที่สำคัญคือย้ำด้วยนะว่า
"แต่งงานแล้ว"
ตอนหลังถึงมารู้ว่าคู่นี้อยู่ระหว่างคบหาดูใจกันอยู่
และบังเอิญวันนั้นเขามาเจอผมพอดี
ฝ่ายหญิงก็เลยต้องแนะนำตัวผมซะละเอียด
กันฝ่ายชายเข้าใจผิด
อยู่มาวันหนึ่งฝ่ายหญิงก็มาถามผมเป็นการส่วนตัวว่าผมคิดอย่างไรก็ฝ่ายชายรายนั้น
ผมเข้าใจว่าเขาทั้งคู่อยู่ระหว่างคบหาดูใจกันอยู่
ผมก็ตอบเขาไปว่า วัยวุฒิ
คุณวุฒิ หน้าที่การงาน
ฐานะการเงิน ผมให้ผ่านหมด
เหลืออยู่อย่างเดียว
"เคยทะเลาะกันหรือยัง"
น้องเขาก็ตอบผมกลับมาว่า
"พี่พูดเหมือนกับที่อาจารย์ผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งบอกเลย"
สุดท้ายคู่นี้ก็แยกจากกันด้วยดีครับ
มันอาจจะดูเหมือนจบแบบเศร้า
ๆ
แต่เมื่อทั้งคู่ต่างยอมรับกันว่ามีความแตกต่างกันอยู่ที่อาจทำให้ยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกันได้
ต่างฝ่ายก็ควรที่จะแยกไปหาคนใหม่
ส่วนเหตุผลที่ถามว่าเคยทะเลาะกันหรือเปล่าเพราะเคยเห็นมาเหมือนกัน
ที่คบกันเป็นแฟนกันมานาน
พอทะเลาะกันเพียงแค่ครั้งเดียวก็เลิกคบกันเลย
มีอยู่รายหนึ่งเป็นนิสิตหญิงจบจากที่อื่นมา
มาเรียนต่อปริญญาเอกที่ภาควิชา
เขามีแฟนอยู่แล้ว
ตอนที่เริ่มทำการทดลองนั้นก็ต้องทำการทดลองภายใต้การดูแลของรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มากกว่า
(ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของการเรียน)
แต่ดูเหมือนว่าแฟนของเขานั้นจะหึงหวงเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้
เข้ามาอาละวาดถึงในภาควิชาหน้าห้องแลป
ได้ยินมาว่าถึงกับพยายามกระโดดชกหน้ารุ่นพี่คนที่กำกับการทำงานของแฟนเขา
(ดูเหมือนว่าเหตุเกิดตอนกลางคืน)
แล้วทั้งคู่ก็เลิกคบกันตั้งแต่วันนั้น
ผมยังมองว่าการที่คู่รักสักคู่จะรักกันโดยหวังที่จะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไปนั้นเป็นเรื่องที่งดงาม
และเมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นแล้ว
ผมก็ไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องปิดบัง
หลบหลีกซ้อนเร้น หรือแกล้งทำเป็นไม่มี
บางทีก็ต้องแยกกันระหว่างความรักกับการคบหาดูใจ
ถ้ายังไม่แน่ใจว่าคนที่กำลังคบอยู่นั้นจะใช่คนที่เราอยากจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไปหรือไม่
ก็ไม่ควรไปประกาศว่าตนเป็นเจ้าของของเขา
คนอื่นห้ามยุ่ง
เห็นอยู่คู่หนึ่ง
ใครต่อใครหลายคนเขาเชื่อว่าคู่เขาเป็นแฟนกัน
แต่ถ้าดูตามปรกติจะเห็นว่าเหมือนกับว่าทั้งคู่ไม่ได้คบหาอะไรกัน
(ต้องติดตามดูนอกเวลาทำงานครับ)
ผมก็ได้ยินใครต่อใครพูดอย่างนี้มานานแล้ว
จนมีคนเขาคิดเลยไปแล้วว่า
"สักวันหนึ่ง"
(ซึ่งก็ไม่รู้ว่ารอมากี่ปีแล้ว)
คู่นี้คงต้องแต่งงานกัน
จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
แต่ตัวผมเองกลับมองไปอีกอย่าง
คือผมคิดว่าฝ่ายชายคงคบฝ่ายหญิงไปอย่างนั้นนั่นแหละ
คบเป็นแฟนคงได้
แต่จะให้ฝ่ายชายแต่งงานมีคู่ครองเป็นตัวเป็นตนคงยาก
งานนี้โดยส่วนตัวผมก็เห็นใจฝ่ายหญิงอยู่
คิดว่าถ้าเปิดตัวและไม่ยึดติดกับคนปัจจุบัน
เขาก็คงมีครอบครัวที่เป็นสุขไปแล้ว
แทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า
มีนิสิตหญิงอยู่รายหนึ่ง
ชั่วโมงแรกที่ผมสอนแลปเขาผมเกือบไล่ออกนอกห้องแลปแล้วว่า
เป็นผู้ชายทำไมแต่งชุดนิสิตหญิงมาเรียน
คือรายนี้มองเผิน ๆ
เรียกว่าถ้าตัดหัวมาตั้งคงเดาไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ผมยังแซวเขาเลยว่าถ้าคุณมีแฟนนะ
แฟนของคุณต้องขอนั่งกินข้าวชิดติดคุณแน่
ๆ เขาก็ตอบสวนผมกลับมาเลยว่า
"อาจารย์กำลังจะบอกหนูใช่ไหมค่ะ
ว่าถ้าเขานั่งฝั่งตรงข้ามหนู
พอเห็นหน้าหนูแล้วเขาจะกินข้าวไม่ลง"
ผู้หญิงทุกคนต่างมีสิ่งที่ดีและงดงามอยู่ในตัวเอง
ไม่ใช่เพียงแค่รูปร่างหน้าตา
เพียงแต่ว่าหญิงคนนั้นจะมีโอกาสพบใครสักคนที่มองเห็นสิ่งที่ดีและงดงามในตัวเขาหรือเปล่า
นิสิตหญิงรายนี้ก็เช่นกันครับ
ในวันที่เขาผลการสอบทั้งหมดประกาศว่าเขาสำเร็จการศึกษา
สิ่งแรกที่เขาทำก็คือเขาโทรมาหาผมครับว่าผมอยู่ที่ไหน
เขาจะไปหา ผมก็บอกเขาไปว่าผมอยู่ที่แลปปริญญาโท
เขาก็แวะมาหาพร้อมกับคน ๆ
หนึ่งที่เขาบอกกับผมว่า
"อาจารย์
นี่แฟนหนู จะแต่งงานกันปีหน้า
นี่หนูอุตส่าห์พามาแนะนำให้อาจารย์รู้จักเป็นคนแรกเลยนะ
หนูอยากรู้ว่าอาจารย์จะทำหน้าอย่างไร
ชอบว่าหนูนักว่าจะหาแฟนได้เหรอ"
งานนี้ทำเอาผมถึงกับยืนเซ่อไปเหมือนกันครับ
ไม่ใช่เพราะเห็นว่านิสิตหญิงผู้นี้จะมีผู้ชายมาชอบ
แต่เป็นเพราะผมบังเอิญรู้จักคนที่เป็นแฟนกับนิสิตหญิงรายนี้
และไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะเป็นคน
ๆ นี้ ผมยังหันไปถามฝ่ายชายเลยว่าคิดดีแล้วเหรอ
ต้องการตัวเลือกอื่นไหม
จะช่วยหาให้
วันแต่งงานทั้งคู่เขาขอเชิญผมขึ้นไปกล่าวอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว
ก่อนวันงานผมยังถามเขาเลยว่างานนี้ตกลงใครเป็นเจ้าบ่าวใครเป็นเจ้าสาว
แต่ที่แน่ ๆ ที่เห็นมาหลายครั้งแล้วก็คือ
ผู้หญิงที่ท่าทางดูเหมือนลักษณะเป็นทอมเล็กน้อย
เวลาแต่งชุดแต่งงานเป็นผู้หญิงแล้วจะดูสวยมาก
รายนี้ก็เช่นเดียวกัน
จะเรียกว่าฝ่ายชายตาถึงก็ได้
ผมยังมองว่าการรักใครสักคนที่การที่เราให้เกียรติคน
ๆ นั้น ไม่ใช่ถือโอกาสละลาบละล้วง
เคยเตือนนิสิตบางคู่ที่เป็นแฟนกันว่าแต่มีพฤติกรรมในที่สาธารณะไม่ค่อยเหมาะสม
(จากมุมมองของผมเอง)
ว่าฝ่ายชายก็ควรที่จะให้เกียรติฝ่ายหญิง
และฝ่ายหญิงก็ควรที่จะรักนวลสงวนตัวไว้บ้าง
คำว่า "เปิดกว้าง"
เป็นข้ออ้างของผู้ชายที่คิดจะเอาเปรียบ
และเป็นของผู้หญิงที่ต้องการหลีกเลี่ยงคำว่า
"สำส่อน"
คำสอนหนึ่งที่ผมได้จากผู้ใหญ่ในวันแต่งงานก็คือ
ผู้ชายต้องหัดทำตัวเป็นคนหูหนวก
และผู้หญิงต้องหัดทำตัวเป็นคนตาบอดซะบ้าง
นั่นแสดงถึงนิสัยประจำเพศว่า
ผู้ชายแม้จะแต่งงานแล้วก็อาจมีการไปชำเลืองมองหญิงอื่นบ้าง
(จะไปห้ามไม่ให้เขาไม่มองเลยก็ไม่ได้
มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
หรืออยากให้เขาหันไปชื่นชมผู้ชายด้วยกันล่ะ)
ส่วนผู้หญิงนั้นเรื่องพูดมากก็คงเป็นเรื่องปรกติ
อีกคำสอนหนึ่งที่สำคัญที่ได้รับมาก็คือต้องรู้จักให้อภัย
รักจะอยู่ด้วยกันต้องไม่คิดที่จะไปคิดที่จะล้างแค้นเอาคืน
ต้องระมัดระวังอย่างรอบคอบในการไปเอาข้อเสียเพียงประเด็นเดียวของอีกฝ่ายหนึ่งมาหักล้างสิ่งดี
ๆ มากมายที่เขาเคยมีกับเราจนหมด
เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการแยกทางกัน
มุมมองที่ผมเขียนในวันนี้กรุณาอย่าเอาไปปนกับความรักที่อิงอยู่บน
"ผลประโยชน์ที่คาดหวังว่าจะได้จากอีกฝ่ายหนึ่ง"
นะครับ
เพราะเมื่อหมดประโยชน์แล้วต้องแยกกันมันก็เป็นเรื่องปรกติที่ผมเห็นว่าไม่ต้องไปใส่ใจ
ส่วนกรณีที่คนสองคนที่คบหากันโดยคาดหวังว่าเมื่อถึงเวลาอันควรก็จะตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปจนตาย
แต่ก่อนจะถึงวันนั้นแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพบว่ามันคงเป็นไปไม่ได้
และคงต้องแยกจากกันนั้น
ผมยังมองว่าเป็นเรื่องภายในของคนสองคนครับ
มันคงเจ็บทั้งคู่ทั้งผู้ที่ตัดสินใจเป็นฝ่ายบอกเลิกเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับอีกฝ่ายหนึ่งในอนาคต
และตัวคนที่ถูกบอกเลิกด้วย
มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับรู้
จะมีอะไรปรับทุกข์หรือจะระบายก็ควรเฉพาะกับคนสนิทหรือผู้ที่ไว้วางใจได้ครับ
การเอามาเผยแพร่ออกสื่อสาธารณะนี่ผมยังมองว่าเป็นดาบสองคม
ในแง่หนึ่งนั้นอาจได้รับความเห็นใจจากผู้อื่น
แต่ในอีกแง่หนึ่งก็อาจมองได้ว่าเอาดีเข้าตัว
เอาชั่วให้คนอื่นก็ได้ครับ
ถ้าให้เลือกเอาระหว่างการที่มีใครสักคนมารัก
แม้ว่าต้องที่มีความเสี่ยงกับการไม่สมหวัง
กับการที่ไม่มีใครมารักหรือไม่อยากให้ใครมารัก
ผมเลือกข้าง "อกหัก
ดีกว่ารักไม่เป็น"
ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น