วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

หนามมะตูม หนามพุทรา หนามมะขวิด MO Memoir 2557 Mar 16 Sun

ถึงเวลาตัดแต่งกิ่งไม้ที่บ้านทีไร ก็ได้ลุ้นทุกทีว่าจะโดนอะไรบ้าง ที่แน่ ๆ มีรายการเจ็บตัวเกือบทุกที วันนี้ก็เช่นกัน

ถ้ากิ่งมันอยู่เตี้ย และเป็นกิ่งเล็ก ก็ใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งตัดเอา ไม่ก็เอาบันไดพับมากาง แล้วปีนบรรไดขึ้นไปตัด แต่ถ้าอยู่ริมรั้วก็อาจมีรายการปีนขึ้นไปตัดบนรั้ว ถ้าสูงกว่านั้นก็ใช้พวกกรรไกรตัดกิ่งไม้ที่ใช้ต่อกับด้ามไม้ไผ่ซึ่งใช้สำหรับกิ่งเล็ก แต่ถ้าเป็นกิ่งใหญ่เกินกว่ากรรไกรจะตัดได้ ก็ต้องใช้เลื่อยต่อด้ามยาวเลื่อยเอา เรียกว่ากว่าจะได้แต่ละกิ่งก็เมื่อยคอดี
    
ก่อนตัดก็ต้องเล็งก่อนว่ามีอะไรอยู่บนต้นไม้บ้างหรือเปล่า ที่ต้องระวังเห็นจะได้แก่งูเขียวกับรังมดแดง งูเขียวแม้จะดูออกยากแต่ก็ไม่ค่อยจะได้พบ แต่พบทีไรก็เป็นสัญญาณเตือนว่าตัดแต่งกิ่งไม้ได้แล้ว แสดงว่าต้นไม้ขึ้นรกแล้ว ส่วนมดแดงนั้นชอบมาทำรังอยู่บนต้นอะไรก็ได้ที่มีใบไม้ใหญ่ (ผมไม่เคยเห็นมดแดงทำรังที่ต้นกระถินหรือมะขาม) ที่บ้านที่เห็นมันมาทำประจำก็ได้แก่มะม่วงกับการเวก ถ้ารังมดแดงมันอยู่เตี้ย ก็จะเอายาไปฉีดก่อนตัดกิ่ง หรือถ้าไม่ชอบใช้ยาก็ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ขยำเป็นแท่งแล้วจุดไฟลนก็ได้ แต่ต้องระวังอย่างลนนาน ไม่งั้นต้นไม้ตาย แต่ถ้ารังมันอยู่สูง ก็ตัดมันลงมาทั้งกิ่ง ทั้งนี้ต้องระวังด้วยว่าเวลากระชากกิ่งอาจจะมีมดแดงร่วงตกลงมาใส่หัวได้ (โดนเป็นประจำ) แล้วค่อยมาจัดการรังมันที่บนพื้น ซึ่งตอนนี้จะเลือกใช้ยาฉีดหรือไฟเผาก็แล้วแต่ชอบ
  
อย่างเช่นเช้าวันนี้ ตัดกิ่งการเวกที่มันพันขึ้นไปบนต้นมะม่วง กิ่งการเวกนี่ตัดแล้วมันไม่ร่วงหล่น เพราะหนวดมันพันกับพวกมันเองและกิ่งไม้อื่นมั่วไปหมด ดังนั้นแม้ตัดมันขาดก็ยังต้องกระชากเอามันลงมา แต่ที่ลงมามันไม่ได้มีเฉพาะกิ่งการเวกกับกิ่งมะม่วง มันดันมีรังมดแดง (มองไม่เห็นแต่แรก) ลอยมาตามแรงกระชากด้วย แม้จะโชคดีที่หลบรังมดแดงทัน แต่พวกที่ปลิวกระจายออกมาจากกิ่งมันกินพื้นที่กว้างกว่า ลงมาเกาะทั้งหัว ทั้งตัว ถึงขั้นต้องถอดเสื้อมาสะบัด เพราะมันเข้าไปอยู่ในเสื้อด้วย
 
รูปที่ ๑ ส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ตัดแต่งกิ่งไม้ประจำบ้าน
  
ตอนที่ซื้อต้นไม้ก็ซื้อมาเป็นต้นเล็ก ๆ ยังไม่เห็นว่าตอนโตขึ้นมันจะมีพิษสงอะไร แต่พอปลูกแล้วเห็นมันโตขึ้นก็เลยรู้เลยว่ามันมีพิษสงแค่ไหน พิษสงในที่นี้ก็คือ "หนาม"

เริ่มจากต้นแรกที่แสบที่สุด (แต่ก็ยังปลูกเอาไว้ถึง ๓ ต้น) ต้องขอยกให้ "มะตูม" หนามของต้นมะตูมเป็นหนามที่ยาว (เกือบ ๒ นิ้ว ดูรูปที่ ๒ และ ๓) และแข็งมากด้วย เรียกว่าใส่รองเท้าฟองน้ำหรือรองเท้าพื้นนิ่มนี่เดินเหยียบไม่ได้เลย มันทะลุพื้นรองเท้าเข้ามาแทงเท้าได้อย่างสบาย ตอนที่มันโตขึ้นสูงเกินหัว ก็จะมาคอยตัดกิ่งเล็ก ๆ ที่งอกออกต่ำ จะได้เดินผ่านต้นมันได้ง่าย ตัดตอนที่กิ่งมันยังอ่อนอยู่ หนามจะไม่ค่อยแข็งเท่าใดนัก จากนั้นก็เอาไปกองไว้ริมรั้วที่ไม่มีใครเดินผ่าน มะตูมนี่ดีหน่อยนะ ที่ตามลำต้นของมันนั้นไม่มีหนาม

แต่ต้นที่ทำให้ผมได้แผลบ่อยที่สุด เพราะตัดมันบ่อยที่สุดก็คือ "พุทรา" เพราะมันโตเร็ว (มีอยู่ต้นเดียว) หนามพุทราเป็นหนามเล็ก ยาวอยู่ในช่วง ๕-๑๐ มิลลิเมตร พุทราที่บ้านตอนเป็นกิ่งอ่อนเห็นเป็นหนามตรง (รูปที่ ๔) แต่พอเป็นกิ่งแก่หรือลำต้นหนามมันจะโค้งงอ คือโค้งชี้ไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับกิ่งที่มันยืดตัวออกไป (รูปที่ ๕) แม้หนามพุทราจะเล็ก แต่ก็แหลมคม อย่างเช่นวันนี้ก็เช่นกัน ถัดจากจัดการกับมดแดงเสร็จ ก็พักผ่อนด้วยการไปตัดต้นกระถิน ได้ฝักกระถินมาเต็ม แต่ก็ไม่มีใครกิน เสร็จแล้วก็มาจัดการกับพุทรา ที่มันแตกพุ่มใบบดบังแสงจนกระทั่งพืชสวนครัวบริเวณรอบ ๆ ไม่ได้รับแสงเลย การตัดกิ่งก็ต้องตัดกิ่งเตี้ยเปิดทางก่อน จากนั้นจึงใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้สูงตัดต่อ กิ่งพุทราที่ตัดลงมาแล้วก็ต้องเอากรรไกรตัดกิ่งตัดย่อยให้มันเล็กลงไปอีก จะได้ประหยัดที่เก็บ มาได้เลือดก็ตอนที่ตัดซอยให้มันเป็นกิ่งเล็กนี่แหละ

ต้นพุทรามันขึ้นอยู่มุมรั้ว แถมยังมีไม้เลื้อยขึ้นไปพันอีก พอตัดกิ่งแล้วกิ่งก็ไม่ร่วงลงมา ต้องใช้กรรไกรตัดนั่นแหละเกี่ยวและกระชากลงมา บังเอิญเหลือเกินมุมที่สามารถกระชากกิ่งได้นั้นดันไปปลูกต้นมะขวิดเอาไว้ (ปลูกเอาไว้ต้นเดียวเช่นกัน) แถมมะขวิดมันก็ดันมีหนามแบบไม่น้อยหน้าหนามมะตูมซะด้วย หนามมะขวิดเองก็ยาวเกือบ ๒ นิ้ว (รูปที่ ๖ และ ๗) ตอนกระชากกิ่งพุทราก็ต้องระวังทั้งบน หลัง และที่พื้น ด้านบนที่ต้องระวังคือกิ่งพุทราจะร่วงใส่หัว ด้านหลังที่ต้องระวังคือต้นมะขวิดที่หนามันจะแทงทะลุเสื้อเอา และที่พื้นก็คือรังมด ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนตั้งแต่เมื่อใด

คนเมืองปัจจุบัน อาศัยอยู่ในอาคารซะเป็นส่วนใหญ่ เห็นหมู่บ้านจัดสรรแต่ละที่ก็จะเน้นสร้างบ้านให้เต็มพื้นที่ให้มากที่สุด เน้นหนักไปที่พื้นที่ใช้สอยภายในตัวบ้านว่ามีมากเท่าใด ส่วนพื้นที่สีเขียวก็จะให้ไปใช้พื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งดูเหมือนว่าคนเมืองจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันจะชอบแบบนี้ เพราะถือว่าไม่ต้องดูแลสวน สามารถใช้เวลาว่างในวันหยุดไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ได้ ไม่ต้องเสียเวลารดน้ำ ตัดแต่งกิ่ง เก็บกวาดใบไม้ ฯลฯ แต่สำหรับผมแล้วการมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลางมันก็ไม่สุขเท่ากับการมีพื้นที่สีเขียวส่วนตัว เพราะพื้นที่สีเขียวส่วนตัวมันเปิดโอกาสให้เราทำอะไรต่อมิอะไรก็ได้

มุมโปรดในการนั่งจิบกาแฟตอนเช้าและตอนบ่ายของผม ก็คือชิงช้าต่อจากเศษไม้ มีพุ่มต้นเทียนหยดและต้นเข็มขึ้นอยู่ข้าง มีพุ่มชบา กุหลาบ และต้นมะยมขึ้นอยู่ด้านหลัง เยื้องหลังไปซ้ายนิดหน่อยมีกอไผ่และต้นประดู่ที่มีกระรอกวิ่งเล่นไล่จับกันเป็นประจำตอนเช้า ๆ (แต่ตอนบ่ายมันจะมาวิ่งสวนสนามไปมาบนขอบรั้วให้เห็นแทน) บางวันก็ผสมโรงด้วยนกกางเขนและนกเขา และตอนนี้ก็มีมะละกอโผล่ขึ้นมา (คงเกิดจากเมล็ดที่กินเสร็จแล้วเอาไปโยนทิ้งรอบบ้าน) มุมนี้ตอนเช้าแดดดวงอาทิตย์จะเฉียงมาจากข้างหลัง แต่ก็มีกระถินให้ร่มเงาบัง ส่วนตอนบ่ายนั้นแดดจะเฉียงมาทางด้านหน้า ก็ได้ร่มของต้นเทียนหยดและประดู่บังเอาไว้ ส่วนกลางคืนถ้าเป็นคืนข้างขึ้น ก็จะเหมาะแก่การนั่งรับลมตบยุงพร้อมทั้งชมดวงจันทร์ไปพร้อมกัน

เผลอบางคืนถ้านั่งอยู่มืด ๆ ก็จะมีหิ่งห้อยแวะเวียนบินข้ามรั้วจากสวนอีกฟากหนึ่งมาเยี่ยมเยียนด้วย

รูปที่ ๒ หนามของต้นมะตูม ไม่เพียงแต่ยาวเกือบ ๒ นิ้ว แต่ยังแข็งด้วย แทงทะลุรองเท้าแตะฟองน้ำได้สบาย


รูปที่ ๓ หนามต้นมะตูม ตอนเป็นกิ่งอ่อนแม้หนามจะยาว แต่ก็ยังไม่แข็งมาเหมือนตอนเป็นกิ่งแก่


รูปที่ ๔ หนามต้นพุทรา ถ้าเป็นของกิ่งอ่อนมันจะเหยียดตรงดังในรูป


รูปที่ ๕ หนามต้นพุทราที่อยู่กับลำต้น จะมีลักษณะโค้งลง (ชี้) ไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับลำต้น (กิ่ง) ที่ยื่นออกไป

รูปที่ ๖ หนามของต้นมะขวิด เรียกว่าอยู่ระดับเดียวกับหนามของต้นมะตูม ยาวเกือบ ๒ นิ้ว


รูปที่ ๗ กิ่งต้นมะขวิดที่เต็มไปด้วยหนาม

รูปที่ ๘ มุมโปรดในการนั่งจิบกาแฟตอนเช้าและตอนบ่าย วันนี้ดูโล่งหน่อยเพราะเพิ่งจะตัดแต่งกิ่งไม้ไปเมื่อตอนเช้า

ไม่มีความคิดเห็น: