วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เมื่อพีค HPLC ออกมาผิดเวลา MO Memoir : Tuesday 13 May 2568

เมื่อประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปบรรยายเล่าประสบการณ์ การออกแบบอุปกรณ์ทำการทดลอง, การเก็บตัวอย่าง และการแปลผลการทดลอง ให้กับนักวิจัยที่สถาบันแห่งหนึ่งฟัง หลังเสร็จสิ้นการบรรยายก็มีนักวิจัยท่านหนึ่งมาปรึกษาเรื่องพีคที่ได้จากเครื่อง HPLC (High Perfomance Liquid Chromatograph) นั้นออกมาที่เวลาไม่คงที่ ทั้งนี้ที่ตั้งค่าพารามิเตอร์ทุกอย่างเหมือนเดิม

กล่าวคือเขาทำการวิเคราะห์ด้วยวิธีที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นชนิดคอลัมน์หรือ solvent (ซึ่งก็คือmobile phase) ที่ใช้ และสภาวะการวิเคราะห์ (อุณหภูมิ และอัตราการไหลของ mobile phase) สิ่งที่เขาพบก็คือเมื่อเริ่มเปิดเครื่องครั้งแรกแล้วรอจนระบบเข้าที่ การวิเคราะห์ตัวอย่างครั้งแรกจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อวิเคราะห์ตัวอย่างเดิมซ้ำพบว่าเวลาที่พีคออกมานั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ และก็มักจะทำซ้ำไม่ค่อยได้

คำถามหนึ่งที่ผมถามเขาคือมีการใช้เทคนิค solvent gradient หรือเปล่า ซึ่งเขาก็บอกว่ามีการใช้ ผมก็ให้คำแนะนำเขาไปว่าปัญหาอาจอยู่ตรงที่หลังจากสิ้นสุดการวิเคราะห์แล้ว ยังรอไม่นานพอให้ระบบกลับคืนสู่ที่เดิม เมื่อเริ่มวิเคราะห์ครั้งที่สอง สภาวะการวิเคราะห์นั้นแตกต่างจากการวิเคราะห์ครั้งแรก ทำให้เวลาที่พีคออกมานั้นเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผมก็เคยเจอปัญหาทำนองนี้เวลาที่ใช้เทคนิค temperature programmed กับ GC (Gas chromatograph)


รูปที่ ๑ การทำ gradient HPLC โดยในตัวอย่างนี้ solvent เริ่มต้นที่ใช้เป็น A 90% + B 10% เมื่อเริ่มทำการวิเคราะห์จะค่อย ๆ ปรับสัดส่วนของ A ต่อ B จนท้ายสุดจะกลายเป็น A 10% + B 90%

แต่ก่อนอี่นมาทำความรู้จักการทำ solvent gradient (หรือ gradient elution) กันหน่อยก่อนดีกว่า (รูปที่ ๑)

solvent ที่ใช้ในการวิเคราะห์ด้วย HPLC ถ้าใช้ solvent ที่มีองค์ประกอบคงที่ (ซึ่งอาจเป็นสารบริสุทธิ์หรือสารผสมที่มีสัดส่วนการผสมคงที่) จะเรียกว่า isocratic elution แต่ในกรณีที่พบว่าการแยกสารนั้นออกมาไม่ค่อยดี ก็อาจแก้ปัญหานี้ด้วยการให้ solvent มีองค์ประกอบที่เปลี่ยนไประหว่างการวิเคราะห์ เช่นถ้าพบว่าสาร X นั้นละลายใน solvent A ได้ดีในขณะที่สาร Y นั้นละลายใน solvent A ได้ไม่ดี แต่สาร Y ละลายใน solvent B ได้ดีกว่า ดังนั้นในช่วงแรกของการวิเคราะห์ก็จะใช้ solvent ที่มีสัดส่วนของ A สูงเพื่อให้ X นั้นไหลพ้นคอลัมน์ออกมาในขณะที่ Y นั้นยังคงค้างอยู่บน stationary phase ในคอลัมน์ จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนของ B ใน solvent ที่ใช้นั้นให้สูงขึ้นเพื่อชะเอา Y ออกจากคอลัมน์ (ช่วง Gradient ในรูปที่ ๑) และเมื่อสิ้นสุดการวิเคราะห์ (สิ้นสุดช่วง Flush out) ก็จะปรับสัดส่วน A และ B นั้นกลับมายังค่าเริ่มต้นอีกครั้ง (ช่วง Re-equilibration) และเมื่อระบบกลับคืนสู่สภาพเดิมก็จะเริ่มต้นการวิเคราะห์ใหม่ได้

จุดที่ผมให้คำแนะนำเขาไปคือช่วงเวลา Re-equilibration ที่เขาตั้งไว้นั้นอาจจะนานไม่พอ โดยพิจารณาจากขนาดคอลัมน์และอัตราการไหลของ solvent ที่เขาใช้


ขอย้อนกลับไปยังการทำ temperature programmed ในกรณีของ GC นิดนึง คือเรามักใช้เทคนิคนี้ในการแยกสารที่มีจุดเดือดต่างกันมาก โดยในช่วงแรกจะเริ่มทำการวิเคราะห์ที่อุณหภูมิต่ำก่อนเพื่อให้สารที่มีจุดเดือดต่ำออกพ้นคอลัมน์ก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้นเพื่อไล่สารที่มีจุดเดือดสูงออกจากคอลัมน์ และเมื่อสิ้นสุดการวิเคราะห์แล้วก็จะลดอุณหภูมิคอลัมน์กลับลงที่เดิม (ค่าเริ่มต้น) แล้วจึงค่อยทำการวิเคราะห์ใหม่

"อุณหภูมิคอลัมน์" ที่เรียกกันในการวิเคราะห์ด้วย GC นั้นแท้ที่จริงมันไม่ใช่อุณหภูมิของ "คอลัมน์" แต่เป็นอุณหภูมิของ "อากาศ" ที่อยู่ใน oven ที่ติดตั้งคอลัมน์เอาไว้ การเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์แท้จริงแล้วคือการเพิ่มอุณหภูมิให้กับอากาศใน oven แล้วให้อากาศนั้นถ่ายเทความร้อนใหักับคอลัมน์อีกที ในทางกลับกันการลดอุณหภูมิคอลัมน์แท้จริงแล้วคือการระบายอากาศร้อนใน oven ออกแล้วให้อากาศเย็นเข้าไปแทนที่ เมื่ออุณหภูมิของอากาศใน oven ลดลง ตัวคอลัมน์ก็จะถ่ายเทความร้อนให้กับอากาศรอบตัวมัน ตัวมันก็จะเย็นลง

แต่การเย็นตัวลงของคอลัมน์มันใช้เวลา อุณหภูมิอากาศใน oven นั้นอาจกลับมานิ่งที่ค่าเริ่มต้นแล้ว แต่อุณหภูมิของ stationary phase ในคอลัมน์นั้นยังสูงกว่าอุณหภูมิอากาศใน oven ดังนั้นถ้าทำการวิเคราะห์ต่อโดยไม่รอให้คอลัมน์เย็นตัวลงมาอยู่ที่อุณหภูมิเริ่มต้น ก็มักจะพบว่าพีคออกมาเร็วขึ้น


ในกรณีของ solvent gradient ที่เขาใช้ พมคาดว่าในขณะที่เขาเริ่มการวิเคราะห์ครั้งถัดไปนั้น ความเข้มข้นของ solvent ที่ตกค้างอยู่ในคอลัมน์นั้น ยังไม่กลับมายังสัดส่วนองค์ประกอบเริ่มต้น เพราะด้วยขนาดของคอลัมน์ที่ใหญ่และอัตราการไหลที่ต่ำ ทำให้เกิดการ back mixing ในคอลัมน์ ต้องใช้เวลาที่นานขึ้นในการให้ solvent ใหม่นั้นเข้าไปไล่ solvent เก่าออกให้หมด

ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้นเขาก็แจ้งกลับมาว่าแก้ปัญหาได้แล้ว โดยช่างของทางบริษัทที่จำหน่ายเครื่องบอกว่าเป็นเพราะคอลัมน์ "ตัน" เห็นได้จากความดันที่ใช้ (ในการทำให้ solvent ไหลผ่านคอลัมน์ด้วยอัตราการไหลคงที่) ตอนสิ้นสุดการวิเคราะห์นั้นสูงกว่าตอนเริ่มต้น เมื่อรอให้ความดันนั้นกลับมายังค่าเดิม ก็สามารถทำการวิเคราะห์ซ้ำได้

ผมเองนั้นมองว่าคำอธิบายที่ว่าคอลัมน์ "ตัน" นั้นมันไม่มีเหตุผลรองรับ นั่นก็เพราะ solvent ที่ใช้ก็เป็นของเหลวที่มีความบริสุทธิ์สูง (HPLC grade) และตัวอย่างนั้นก็เป็นของเหลว (ที่ฉีดเข้าไปในปริมาตรที่น้อยเมื่อเทียบกับอัตราการไหลของ solvent) สาเหตุที่ทำให้เห็นว่าความดันในระหว่างการวิเคราะห์นั้นเปลี่ยนไปนั้นเป็นเพราะ "ความหนืด" ของ solvent ที่เปลี่ยนไปเมื่อส่วนผสมเปลี่ยนไปมากกว่า

คือเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า solvent เริ่มต้นที่เขาใช้นั้นมี "ความหนืด" ที่ต่ำกว่า solvent ตัวที่สองที่ค่อย ๆ ผสมเข้าไปใน solvent ตัวแรกเมื่อเริ่มทำการวิเคราะห์ ทำให้ความหนืดของ solvent ผสมที่ไหลผ่านคอลัมน์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปั๊มเลยต้องใช้ความดันที่สูงขึ้นเพื่อดันให้ solvent ผสมไหลผ่านคอลัมน์ด้วยอัตราการไหลคงเดิม ที่นี้พอการวิเคราะห์สิ้นสุดก็ทำการป้อน solvent ตัวแรกกลับเข้าไปในคอลัมน์ใหม่ พอ solvent ที่ตกค้างอยู่ในคอลัมน์กลับกลายเป็น solvent ตัวแรกหมด ความหนืดก็กลับมายังค่าเดิม ความดันที่ต้องใช้ในการดันให้ solvent ไหลผ่านคอลัมน์ที่อัตราการไหลเดิมก็กลับมายังค่าเดิม


รูปที่ ๒ ตัวอย่างโครมาโทแกรมการวิเคราะห์ด้วย HPLC รูปซ้ายเป็นกรณีที่องค์ประกอบ mobile phase คงที่ตลอดการวิเคราะห์ (น้ำ 70% + acetonitrile 30%) จะเห็นว่าพีค 1 และ 2 ไม่แยกจากกัน และใช้เวลานานกว่า 70 นาทีเพื่อให้พีคสุดท้ายออกมา ส่วนรูปขวาใช้เทคนิค gradient HPLC โดยเริ่มต้นใช้ mobile phase ที่ประกอบด้วย น้ำ 80% + acetonitrile 20% จากนั้นค่อย ๆ ปรับเพิ่มปริมาณ acetonitrile ใน mobile phase จนเป็น 60% ในเวลา 30 นาที จะเห็นว่าพีค 1 และ 2 แยกจากกัน และการวิเคราะห์สิ้นสุดในเวลาประมาณ 30 นาที

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ที่ระลึกนิสิตวิศวกรรมเคมีรหัส ๖๔ จากวันนี้ไป จะหวนกลับมาคิดถึงช่วงเวลานี้บ้างไหม MO Memoir : Thursday 8 May 2568

กิจกรรมเดียวกัน หรือคำพูดเดียวกัน เมื่อเกิดขึ้นซ้ำสอง แม้ว่าจะเป็นสถานที่เดิม บุคคลเข้าร่วมก็คนเดิม ช่วงเวลาที่เกิดก็เป็นช่วงเวลาเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางเหมือนเมื่อเกิดขึ้นครั้งแรกก็คือ "ความรู้สึก" ของผู้ที่เข้าร่วม

"ยินดีที่ได้พบ" ประโยคที่มีความหมายเพียงแค่ครั้งเดียว คือเมื่อได้พบปะเจอหน้ากันครั้งแรก

ในพิธีชงชาของญี่ปุ่น ก็แฝงด้วยปรัชญาที่ลึกซึ้ง ด้วยวลี “อิจิโกะ อิจิเอะ (Ichigo Ichie)” ซึ่งหมายถึง “การได้พบกันครั้งเดียวในชีวิต” อันมาจากแนวความคิดที่ว่าการที่เราได้พบกันในพิธีชงชานั้นอาจจะเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต แล้วหลังจากนี้จะไม่ได้มีโอกาสพบกันอีกแล้วเลยก็ได้

ดังนั้นช่วงเวลาที่ได้พบกันจึงเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า ที่เราควรปฏิบัติต่อกันให้ดีที่สุด

ในช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยของพวกคุณ เชื่อว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกคุณอยากกระทำ แต่ไม่มีโอกาสได้กระทำ นั่นอาจเป็นเพราะกิจกรรมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พวกคุณเรียนอยู่ หรือด้วยติดกิจอย่างอื่นจนไม่สามารถเข้าร่วมได้ บางกิจกรรมแม้ว่าจะมีการเกิดขึ้นซ้ำอีกในปีถัดไป แต่ด้วยสถานะที่เปลี่ยนไป ความรู้สึกของการได้เข้าร่วมนั้นก็คงยากที่จะเหมือนครั้งแรกที่ได้เข้าร่วม หรือที่ได้ยินมาจากผู้ที่ได้เข้าร่วมครั้งก่อน

พวกคุณเข้ามาเรียนปีแรก สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย จำเป็นต้องเรียนออนไลน์จากทางบ้าน ได้เข้ามาเรียนในสถานที่ในมหาวิทยาลัยก็ตอนขึ้นปี ๒ แต่การสอนในสถานที่ก็ยังคงเป็นแบบจำกัดอยู่ กิจกรรมอย่างเช่นกีฬาฟุตบอลประเพณี ก็เพิ่งจะกลับมาจัดใหม่อีกครั้งตอนพวกคุณอยู่ปี ๔ และกิจกรรมบางอย่างทั้งในระดับคณะและมหาวิทยาลัยที่เคยมีมาก่อนหน้านั้นก็คงจะสูญหายไปตามกาลเวลา โดยไม่รู้ว่าจะมีการกลับมาอีกหรือไม่

วันเสาร์ปลายเดือนที่แล้ว เพื่อนร่วมรุ่นวิศวเคมีนัดกินข้าวเย็นกัน คุยกันเรื่องเปื่อยไปเรื่อย ๆ กับเรื่องที่ได้ประสบพบเห็นกันมา วันรุ่งขึ้นเพื่อนคนหนึ่งก็ส่งข้อความข้างล่างเช้ามาในไลน์กลุ่ม

ได้มาเรียนสถาบันเดียวกัน ถือเป็น "วาสนา"

จบแล้วต่างคนต่านสร้างฐานะ ถือเป็น "โชคชะตา"

ระหว่างทางยังคงคบหา ถือเป็น "พรหมลิขิต"

มีโอกาสช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถือเป็น "กัลยาณมิตร"

แก่แล้วยังคบกันใกล้ชิด ถือเป็น "มิตรแท้"

มิตรภาพที่ไม่มีวันจางหาย คือความหมายของคำว่า "เพื่อน"

ใครเป็นคนเขียนข้อความนี้เป็นคนแรกก็ไม่รู้ แต่จากเท่าที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ก็รู้ว่ามันก็เป็นเช่นนั้นจริง

คนที่มีโอกาสเป็นเพื่อนกัน ก็เป็นได้เพียงแค่ครั้งเดียว เพราะถ้ามีอะไรมาทำให้ความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันนั้นสูญเสียไป ก็ไม่มีทางที่จะทำกลับมาให้เหมือนเดิมได้

 

๑๔ ปีที่แล้ว ก่อนน้ำท่วมใหญ่ นิสิตรหัส ๕๑ นำกระดาษชิ้นเล็ก ๆ มาเหน็บไว้หน้าห้องผม เพื่อให้ผมเขียนอะไรบางอย่างเล็กน้อยในโอกาสที่พวกเขาจะสำเร็จการศึกษา และนั่นก็เป็นที่มาของการเขียนบันทึกเรื่องราวของพวกเขาและคำอวยพรที่มีให้ในวันสุดท้ายของการเรียนของพวกเขา ซึ่งได้เขียนมาจนถึงวันนี้ (MO Memoir ฉบับวันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๕ "๔ ปีที่ผ่านมา (สำหรับนิสิตป.ตรีรหัส ๕๑)")

ในบันทึกฉบับแรกนั้นผมเริ่มด้วยข้อความว่า

"กระดาษแผ่นเล็ก ๆ แผ่นนั้นอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ที่พวกคุณเอามาเหน็บไว้หน้าห้องผมก่อนน้ำท่วม เพื่อให้ผมเขียนอะไรก็ได้เป็นที่ระลึกก่อนจบการศึกษา แต่จวบจนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้เขียนสักที

แต่จะว่าไปก็ไม่ได้คิดจะเขียนลงกระดาษแผ่นนั้นอยู่แล้ว เพราะคิดว่าที่มันไม่พอ

 

ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหลายคนจะโดนผมทักว่า "เป็นไง ชีวิตนิสิตใช้คุ้มค่าหรือยัง สิทธิพิเศษที่เขามีให้เฉพาะนิสิตก็รีบ ๆ ใช้ซะนะ" หรือถ้าผมเห็นนิสิตหญิงที่แต่งชุดธรรมดามามหาวิทยาลัย ผมก็จะถามว่า "ไม่แต่งชุดนิสิตมาเหรอ เวลาที่จะแต่งได้เหลือน้อยแล้วนะ พอหมดโอกาสแล้วจะรู้สึกคิดถึงขึ้นมา ...."

ในช่วงท้ายของบทความผมก็ได้บันทึกประสบการณ์ที่ตัวเองได้พบเจอมาเพื่อฝากไว้เป็นข้อคิดให้กับพวกเขาดังนี้

"หลายปีมาแล้วก่อนเริ่มสอนแลปเคมีวิเคราะห์ มีนิสิตหญิงคนหนึ่งมานั่งคุยและนั่งร้องไห้อยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องแลป ช่วงนั้นเป็นช่วงจัดกิจกรรมรับน้อง เขาได้เข้ามาปรึกษาผมเรื่องการที่ไม่ค่อย ๆ มีเพื่อน ๆ เข้าช่วยทำงาน

ผมก็ตอบเขาไปว่า งานกิจกรรมนั้นเป็นงานอาสา ไม่มีการบังคับว่าใครต้องมาทำ และคนที่ทำก็ต้องไม่คิดว่าฉันดีกว่าคนที่ไม่มาทำ การที่เขาไม่มาร่วมงานกับเรานั้น เราก็ต้องกลับไปพิจารณาด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้นเขาเห็นชอบหรือไม่ การที่เขาไม่มาร่วมงานนั้นอาจเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันไม่เหมาะสม เขาอยากเปลี่ยนแปลง แต่ทำไม่ได้ก็เลยไม่เข้ามาร่วม อย่าด่วนคิดว่าคนที่ไม่มาร่วมทำนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว

การที่คนส่วนใหญ่ไม่มาร่วมงานก็ต้องกลับมาพิจารณาแล้วว่าเป็นเพราะว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันไม่เหมาะสมหรือไม่ ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร แล้วเขาเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมีจุดประสงค์ที่ดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่มาร่วม เราก็ต้องหาทางชักชวนให้เขามาร่วม นั่นหมายถึงการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน รูปแบบเดิมนั้นอาจใช้ได้ดีในสมัยหนึ่ง ในสภาพสังคมหนึ่ง แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไปเราก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ โดยที่ยังคงสามารถบรรจุจุดประสงค์ที่ตั้งเอาไว้

แต่ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นมีจุดประสงค์ที่เลื่อนลอย ก็ควรพิจารณาว่าจะจัดต่อไปหรือไม่

ผมบอกเขาต่อว่า ถ้าคุณเหนื่อยมากก็ถอนตัวออกไปซิ งานจะล้มก็ช่างหัวมัน ดูจากการที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้ามาร่วมก็แปลได้ว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำอยู่แล้วนี่ ดังนั้นถ้างานนี้มันไม่เกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่มีสิทธิจะว่าอะไรอยู่แล้ว

ก่อนจบการสนทนาผมถามเขากลับไปว่า "ตอนนี้รู้หรือยังว่าเพื่อนคนไหนพึ่งได้"

เขาตอบกลับมาว่า "รู้แล้ว"

ผมก็ตอบกลับไปว่า "คุณได้ไปเยอะแล้วนี่ แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ"

แล้วผมก็บอกต่อว่า "สมัยที่ผมเรียนหนังสือน่ะ เพื่อนคนหนึ่งมันกล่าวเลยว่า "ถ้าไม่เคยเจออะไรเหี้ย ๆ มาด้วยกัน มันไม่รู้หรอกว่าใครคนไหนพึ่งได้" โทษทีนะที่ต้องใช้คำอย่างนี้ เพราะมันตรงความหมายตามคำพูดมากที่สุด ผมเห็นมาหลายรายแล้ว แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนเดียวกันมาหลายปี เที่ยวเล่นมาด้วยกันก็มาก แต่มารู้น้ำใจกันตอนที่ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยนี่แหละ เพิ่งจะเจอหน้ากันในมหาวิทยาลัยได้แค่ปีสองปี ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่พึ่งพากันได้ในยามเดือดร้อนมากกว่าเพื่อนสมัยโรงเรียนที่คบกันมานานเสียอีก"

บทความนั้นปิดท้ายด้วยข้อความที่ว่า

"ยังจำได้ไหมตอนที่พวกคุณเข้ามาเรียนแลปกันในสัปดาห์แรก ๆ ผมเอากล้องมาถ่ายรูปพวกคุณแต่ละกลุ่มเอาไว้ และก็บอกด้วยว่า "พอเรียนจบปี ๔ เมื่อไรค่อยมาดูรูปเหล่านี้นะ จะได้เห็นว่าภาควิชาได้ทำอะไรกับพวกคุณเอาไว้"

ใครที่ยังไม่เคยดูหรือเคยดูแล้วแต่ก็ลืมไปแล้วก็ไปดูได้ใน facebook ของผม ในอัลบัมแลปเคมีอินทรีย์ ๕๒

ดูแล้วก็ลองเปรียบเทียบหน้าตาตัวเองในปัจจุบันนี้กับตอนเข้าภาควิชามาใหม่ ๆ ซิ แล้วจะเห็นว่าตอนที่พวกคุณถามผมเล่น ๆ ว่าทำไมไม่ไปสอนวิชาปี ๔ บ้าง แล้วผมตอบกลับไปว่า "ไม่อยากไปสอนคนแก่หน้าตาทรุดโทรม" น่ะมันจริงไหม :-)"

วันนี้ ผมส่งคืนรูปพวกคุณที่ถ่ายเอาไว้ตอนเรียนแลปเคมีปี ๒ ให้แล้วนะ สิ่งที่ผมเคยกล่าวเอาไว้นั้นมันถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ก็ขอให้พิจารณากันเองเองก็แล้วกัน

ขอให้ชีวิตในภายภาคหน้าของพวกคุณทุกคน จงประสบแต่ความสุขกายสุขใจ

รศ.ดร.ธราธร มงคลศรี

ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘

ตรงกับวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ราศีตุลย์

วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๖ Euro Disney Land, Paris