ในด้านเทคนิคแล้วการพิจารณาว่าสินค้าใดเป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (DUI) หรือไม่ ก็จะอาศัยคุณลักษณะที่กำหนดไว้ใน EU List เป็นหลัก แต่ใน EU List เองก็มี General Notes to Annex I (รูปที่ ๑) ที่ใช้สำหรับควบคุมการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่สินค้า DUI แต่เป็นสินค้าที่มีชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบที่เป็นสินค้า DUI ประกอบอยู่ ซึ่งตรงประเด็นนี้ก็เปิดโอกาสให้แต่ละประเทศตีความกันเองได้ว่า สินค้าที่ไม่ใช่สินค้า DUI นั้นถูกครอบคลุมไว้ด้วย EU List หรือไม่ เพราะข้อกำหนดนี้มันเขียนเอาไว้กว้าง ๆ
(มันยังมีสินค้าอีกประเภทหนึ่งที่ไม่อยู่ใน EU List ทำให้มันไม่ถูกครอบคลุมด้วย General Notes to Annex I แต่ว่าแต่ละประเทศนั้นอาจจัดให้เป็นสินค้าควบคุมได้ด้วยการจัดมันเอาไว้ในรายชื่อ Catch All Control (CAC) ซึ่งเคยยกตัวอย่างสินค้าสองตัวนี้ไว้ในเรื่อง "สินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่เป็นสินค้า DUI - ไตรบิวทิลฟอสเฟต (Tributyl phosphate) MO Memoir : Wedneday 26 February 2568" และ "สินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่เป็นสินค้า DUI - Karl Fischer moisture equipment MO Memoir : Tuesday 4 March 2568")
รูปที่ ๑ ข้อความฉบับภาษาอังกฤษที่ปรากฏใน General Notes to Annex I และฉบับแปลเป็นไทย
จุดที่ต้องตีความก็คือสินค้า DUI ที่เป็นชิ้นส่วนของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้น "เป็นองค์ประกอบหลัก" ของของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นหรือไม่ โดยให้พิจารณาจาก "ปริมาณ", "มูลค่า", "เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง" และสภาพการณ์พิเศษอื่น ๆ และยังพิจารณาต่อด้วยว่า สามารถถอดสินค้า DUI ชิ้นนั้นเอาไปทำอย่างอื่นได้หรือไม่
ที่มีเงื่อนไขตรงนี้ก็คงเพราะต้องการป้องกันไม่ให้ส่งออกสินค้า DUI ในรูปสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่มีสินค้า DUI เป็นองค์ประกอบ พอส่งออกไปถึงปลายทางแล้วทางผู้รับก็สามารถนำเอาสินค้า DUI นั้นไปใช้ทำอย่างอื่น ที่เหลือก็ทิ้งไป
มุมมองตรงนี้อาจมาจากตรงที่ว่า ในเมื่อการส่งออกสินค้า DUI โดยตรงไปให้ผู้ที่ต้องการทำได้ยาก ก็เลยเลี่ยงด้วยการส่งออกในรูปสินค้าที่ไม่ใช่ DUI แทน ดังนั้นราคาสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่ส่งออกไปก็ควรจะต้องสูงกว่าราคาสินค้า DUI ที่ต้องการส่งออก ถ้าชิ้นส่วนที่เป็น DUI นั้นเป็นองค์ประกอบหลักของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่ต้องการส่งออก สัดส่วนมูลค่าของชิ้นส่วน DUI นั้นเมื่อเทียบกับมูลค่าของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่ต้องการส่งออกก็จะสูง ทำให้ผู้ซื้อเห็นว่าคุ้มค่าที่จะจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการได้ง่ายขึ้น
ในทางตรงกันข้ามถ้าสัดส่วนมูลค่าของชิ้นส่วน DUI นั้นเมื่อเทียบกับมูลค่าของสินค้าที่ไม่ใช่ DUI ที่ต้องการส่งออกนั้นต่ำ ผู้ซื้อก็อาจเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะต้องจ่ายเพิ่มอีกมากเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ
ประเด็นแรกที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่าสัดส่วนมูลค่าของชิ้นส่วนที่เป็นสินค้า DUI ในสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นต่ำ แต่สามารถถอดเอาชิ้นส่วนที่เป็นสินค้า DUI นั้นไปใช้งานอื่นได้ และนำชิ้นส่วนที่ไม่เป็นสินค้า DUI มาใส่ทดแทนชิ้นส่วนสินค้าที่เป็น DUI เพื่อให้สินค้าที่ไม่เป็น DUI ที่ซื้อมานั้นยังสามารถทำงานต่อได้หรือขายต่อได้ คือเรียกว่าการใช้ชิ้นส่วนที่เป็น DUI ในสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นเป็นการใช้งานชิ้นส่วนที่มัน over specification เกินความจำเป็นสำหรับการทำงานของสินค้าที่ไม่เป็น DUI ในกรณีเช่นนี้จะตรวจสอบได้อย่างไร
ประเด็นที่สองที่น่าสนใจคือการถอดออกไปใช้งานอื่น กล่าวคือด้วยความเทคโนโลยีและความรู้ที่ผู้ส่งออกมีอยู่ในขณะนั้น เห็นว่าการพยายามถอดชิ้นส่วนที่เป็น DUI ออกนั้นไม่สามารถทำได้ หรือถ้าทำก็จะเกิดความเสียหายต่อชิ้นส่วนที่เป็น DUI นั้นจนไม่สามารถนำไปใช้งานอื่นได้ แต่ถ้าส่งออกไปแล้วกลับพบว่าเทคโนโลยีมีการพัฒนาขึ้น หรือมีวิธีการที่ในขณะที่ส่งออกสินค้านั้นยังไม่มีการเปิดเผยหรือเป็นที่รับรู้กัน ทำให้สามารถถอดเอาชิ้นส่วนที่เป็น DUI นั้นออกไปได้โดยไม่ได้รับความเสียหาย จะเกิดปัญหาอะไรกับผู้ส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นที่ได้ส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่ DUI นั้นออกไปแล้วหรือไม่
ตัวอย่างหลังสุดนี้น่าจะคล้ายกับกรณีเครื่องเล่นเกมส์ Sony Playstation 3 (แต่เป็นกรณีที่กลับกัน) ที่คุณสมบัติของแต่ละเครื่องนั้นมันห่างไกลจากข้อกำหนดใน EU List อยู่มาก แต่เมื่อจำหน่ายไปแล้วกลับพบว่าสามารถนำหลายเครื่องมาต่อกันทำให้ได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติตาม EU List ได้ (เคยเล่าไว้ในเรื่อง "การวินิจฉัยการเข้าข่ายสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ตัวอย่างที่ ๑๕ Sony PlayStation MO Memoir : Wednesday 16 August 2566")
สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้มาจากการทำงานก็คือ ปลายทางที่จะตัดสินว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันถูกหรือผิดก็คือที่ศาล ซึ่งทำให้คนที่ต้องตัดสินว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปนั้นมีความลำบากใจมากพอสมควร สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือต้องมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจนั้นไม่ได้เป็นการกระทำโดยพลการ แต่ได้มีการสอบถามผู้รู้และผู้เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ (เช่นปรึกษาฝ่ายกฎหมายและผู้ที่มีความรู้ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องนั้น) แต่กระนั้นเองก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ถูกฟ้องร้อง เพราะคนที่ไม่พอใจเขาก็หาเรื่องฟ้องร้องได้อยู่ดี คนที่ต้องไปขึ้นศาลก็คือคนที่ตัดสินใจ ผ่ายกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญที่ไปปรึกษาเขาไม่ได้มาเป็นจำเลยด้วย (แต่เขาก็สามารถมาเป็นพยานแก้ต่างให้ได้)
ที่ต้องขอบันทึกเรื่องนี้ไว้เพราะตอนไปอบรมที่ญี่ปุ่นได้ถามกับทางวิทยากรว่า สุดท้ายของอำนาจการตัดสินว่าส่งออกได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ใคร เขาก็ตอบว่าอยู่ที่กระทรวง METI (Ministry of International Trade and Industry) แต่ประเทศเขาไม่มีศาลปกครองแบบบ้านเรา ที่ผู้ที่ไม่พอใจการตัดสินใจของหน่วยราชการสามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้