ในเมื่ออยู่กรุงเทพมันไม่มีอะไรให้กินและไม่ที่ให้พัก
ก็เลยหลบไปพักผ่อนที่หาดใหญ่สัก
๓ คืน ได้เรื่องต่าง ๆ
กลับมาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง
แล้วจะค่อย ๆ ทยอยเล่าให้ฟังกันก็แล้วกัน
ฉบับนี้ขอเริ่มเกี่ยวกับเรื่องราวที่เห็นในระหว่างการเดินทางก่อน
๑.
มีให้ไม่ใช้
ผมไม่ได้นั่งรถตู้โดยสารซะนาน
เพิ่งจะมีโอกาสได้นั่งอีกครั้งตอนที่จะเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ
เมื่อจ่ายตังค์เสร็จก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถเพื่อรอรถออก
เลือกที่นั่งได้แล้วก็มองหาเข็มขัดนิรภัย
เพื่อจะใช้รัดตัวเอาไว้เผื่อเวลาเกิดอุบัติเหตุจะได้ไม่กระเด็นออกมานอกรถ
(ส่วนจะตายหรือไม่ตายนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
และก็พบว่ารถคันที่นั่งนั้น
(และคันอื่นด้วย)
เก็บเข็มขัดนิรภัยดังแสดงในรูปที่
๑ ข้างล่าง
รูปที่
๑ เข็มขัดนิรภัยสำหรับรัดคาดเอว
ถูกนำไปคล้องไว้กับพนักพิงศีรษะ
หวังว่าคงยังจำเหตุการณ์อุบัติเหตุรถตู้โดยสารถูกรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
(ขับโดยผู้ที่มีอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะได้รับใบอนุญาตขับขี่)
ชนท้าย
ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง ๙
ราย ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกมานอกตัวรถ
และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็มีการรณรงค์ให้รถตู้โดยสารต้องจัดให้มีเข็มขัดนิรภัยให้กับผู้โดยสาร
เข็มขัดนิรภัยที่ใช้กับรถยนต์ทั่วไป
(หรือรถทัวร์)
นั้นมีอยู่
๒ แบบ คือแบบรัด ๓
จุดที่จะคาดไหล่และเอวผู้นั่ง
และแบบรัด ๒ จุดที่มีการคาดเฉพาะเอวผู้นั่ง
(เก้าอี้ผู้โดยสารเครื่องบินก็เป็นแบบ
๒ จุดด้วย)
ในรถเก๋งทั่วไป
เข็มขัดแบบรัด ๓
จุดนั้นเราจะเห็นที่ตำแหน่งผู้นั่งด้านหน้า
(คือคนขับและผู้นั่งข้างคนขับที่นั่งริมหน้าต่าง)
และผู้นั่งด้านหลังที่นั่งริมหน้าต่าง
ส่วนผู้นั่งหลังที่นั่งตรงกลางจะเป็นเข็มขัดแบบรัด
๒ จุด
แต่ถ้าเป็นเบาะนั่งของผู้โดยสารของรถทัวร์หรือรถตู้โดยสารนั้นมักจะเป็บแบบ
๒ จุด
กฎหมายไทยนั้นบังคับเฉพาะผู้ที่นั่งเบาะหน้า
(คนขับและผู้นั่งข้างคนขับ)
ให้ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
แต่ไม่ได้บังคับคนนั่งข้างหลัง
ในขณะที่ในต่างประเทศหลายประเทศนั้นบังคับให้ทุกคนที่นั่งในรถต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
ทั้งนี้เพราะเวลาที่เกิดเหตุรถชน
ผู้โดยสารที่นั่งข้างหลังและไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยจะปลิวมาทางด้านหน้าและอัดเข้ากับเบาะนั่งด้านหน้า
ทำให้ผู้ที่นั่งเบาะหน้าถูกอัดเข้ากับพวงมาลัยหรือคอนโซลหน้ารถได้
และถ้าเป็นการนั่งข้างหลังตรงกลางก็อาจปลิวผ่านช่องว่างระหว่างเบาะหน้าไปกระแทกกับกระจกหน้าได้
เข็มขัดชนิดรัด
๓
จุดนั้นเวลาที่ไม่มีการใช้งานมันก็จะถูกแรงดึงของสปริงม้วนเก็บเข้ากับผนังข้างลำตัวรถ
แต่เข็มขัดชนิด ๒
จุดนั้นมันไม่มีการม้วนเก็บ
ดังนั้นถ้าไม่มีการใช้งานมันก็จะวางอยู่บนเบาะนั่ง
ซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยคิดว่ามันทำให้เกะกะที่นั่งบนเบาะ
รถตู้โดยสารคันที่ผมนั่งนั้นเขามีเข็มขัดนิรภัยชนิดคาด
๒ จุดให้กับเก้าอี้ผู้โดยสารที่นั่งข้างหลังคนขับทุกเก้าอี้
แต่แทนที่เขาจะเปิดโอกาสให้ผู้โดยสารได้คาดเข็มขัด
เขากลับเอาสายเข็มขัดไปพันกับด้านหลังของพนักพิงหลัง
และนำส่วนที่เป็นห่วง
(ที่ควรต้องนำไปสอดในตัวยึดข้างเก้าอี้)
ไปคล้องไว้กับขาของพนักพิงศีรษะตามรูป
ดังนั้นถ้าใครต้องการใช้เข็มขัดนิรภัยก็ต้องทำการถอดพนักพิงศีรษะออกจากพนักพิงหลังก่อนเพื่อเอาปลายเข็มขัดออกมา
จากนั้นก็ค่อยสอดพนักพิงศีรษะเข้ากับพนักพิงหลังดังเดิม
งานนี้ดูเหมือนว่าคนขับรถเขาไม่อยากให้ผู้โดยสารได้ใช้อุปกรณ์นิรภัยเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้โดยสาร
๒.
ไม่มีให้ใช้
ระหว่างนั่งรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์จากสนามบินมายังสถานีพญาไท
(ซึ่งเป็นการนั่งรถไฟสายดังกล่าวครั้งแรกของผม)
ก็ได้สังเกตเห็นอุปกรณ์หนึ่งติดอยู่ที่ผนังข้างลำตัวรถ
ซึ่งก็คือค้อนสำหรับทุบกระจกที่มีหน้าตาดังแสดงในรูปที่
๒ ข้างล่าง
รูปที่
๒
ค้อนสำหรับทุบกระจกหน้าต่างที่มีติดตั้งในตู้รถไฟแอร์พอร์ตลิงค์
ห้องโดยสารปรับอากาศนั้นมักจะไม่มีหน้าต่างที่เปิดได้
แต่ใช้วิธีติดบานกระจกติดตายแทน
กระจกที่ใช้กับกระจกข้างนั้นจะเป็นกระจกนิรภัยชนิด
tempered
กระจกชนิดนี้เมื่อมีรอยแตกเพียงเล็กน้อยที่พื้นผิว
กระจกจะแตกร้าวทั้งบานทันทีในรูปแบบที่เรียกว่าเป็น
"เม็ดข้าวโพด"
(คือเป็นรูปสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก
ๆ ซึ่งจัดว่าเป็นรูปแบบที่มีความแหลมคมเฉลี่ยน้อยที่สุด)
รถโดยสารปรับอากาศต่าง
ๆ
และรถไฟตู้ปรับอากาศจะใช้ช่องทางกระจกหน้าต่างที่ใหญ่นี้เป็นช่องทางหนีฉุกเฉิน
โดยจะต้องทุบกระจกเพื่อให้แตกทั้งบานแล้วปีนหนีออกทางช่องทางนี้
เพื่ออำนวยความสะดวกในการทุบกระจก
รถพวกนี้จึงมักมีการติดตั้งค้อนที่มีหัวแหลมไว้สำหรับทุบกระจก
(หน้าตาดังรูปที่
๒)
แต่ถ้าไม่มีค้อนก็หาอะไรแข็ง
ๆ ทุบก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่ากระจกจะบาดหรอก
ในกรุงเทพนั้นมีระบบรถไฟขนส่งมวลชนอยู่
๓ ระบบ ระบบแรกคือ BTS
หรือที่คนเรียกว่ารถไฟลอยฟ้า
ระบบที่สองคือ MRT
หรือที่คนเรียกว่ารถใต้ดิน
และระบบที่สามคือระบบแอร์พอร์ตลิงค์
จะว่าไปแล้วตัวรถทั้ง
๓ ระบบมันก็คล้าย ๆ กัน
สงสัยว่าคงมาจากบริษัทเดียวกัน
แต่ตกแต่งภายในต่างกัน
อุปกรณ์หนึ่งที่รถไฟใต้ดินไม่มีประจำตู้โดยสาร
มีแต่ที่ด้านหัวท้าย
(ตรงห้องคนขับรถ)
ในขณะที่รถไฟลอยฟ้าและแอร์พอร์ตลิงค์นั้นมีประจำทุกตู้โดยสารก็คือ
"ค้อนสำหรับทุบกระจก"
ก่อนหน้านี้บ้านเราเคยเกิดอุบัติเหตุรถไฟใต้ดินชนกันที่สถานีแห่งหนึ่ง
ทำให้รถขบวนที่จอดอยู่ที่สถานนี้เกิดการเลื่อนตำแหน่ง
ตำแหน่งประตูรถไฟไม่ตรงกับตำแหน่งประตูสถานี
ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถออกมาจากตัวรถได้
เมื่อผมได้ยินข่าวผมก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมจึงไม่มีการทุบกระจกหน้าต่างรถไฟและกระจกกั้นระหว่างตัวรถไฟและชานชาลาสถานีเพื่อนำเปิดช่องทางให้ผู้ที่ติดอยู่ในตัวรถสามารถออกจากตัวรถได้
และเมื่อมีโอกาสได้ใช้รถไฟใต้ดินจึงได้สังเกตเห็นว่าในตัวรถตู้รถไฟเองนั้นไม่มีอุปกรณ์สำหรับให้ผู้โดยสารทุบกระจกในกรณีฉุกเฉิน
และตัวชานาชลาสถานีนั้นก็ไม่มีอุปกรณ์สำหรับให้เจ้าหน้าที่
(หรือผู้ที่อยู่บนชานชาลา)
ทุบกระจกเพื่อเปิดทางให้ผู้โดยสารที่ติดอยู่ภายในรถหนีออกมา
ผมคิดเอาเองว่าสาเหตุที่รถไฟใต้ดินนั้นไม่มีค้อนสำหรับทุกกระจกข้างคงเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าผนังด้านข้างของตัวรถนั้นมันอยู่ใกล้กับผนังอุโมงค์
ดังนั้นแม้จะทุบกระจกข้างแตกคนก็ไม่สามารถเดินระหว่างผนังอุโมงค์กับด้านข้างของลำตัวรถได้
ทางออกของผู้ที่ติดอยู่ในรถที่จอดอยู่ในอุโมงค์คือทางด้านหัวและท้ายขบวน
ซึ่งต้องผ่านทางห้องพนักงานขับรถ
ส่วนตัวรถไฟที่วิ่งอยู่บนผิวดิน
(หรือลอยฟ้า)
นั้นผู้โดยสารสามารถปีนหนีออกทางด้านข้างของตัวรถได้
เขาจึงมีค้อนสำหรับให้ทุบกระจกข้างประจำอยู่ทุกตู้โดยสาร
แต่เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาหลายเหตุการณ์มันก็ได้ให้บทเรียนกับรถไฟใต้ดินเอาไว้ว่า
อุบัติเหตุนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดในอุโมงค์แคบ
ๆ ที่พอดีกับขนาดของตัวรถไฟ
แต่มันสามารถเกิดได้ที่ตัวสถานีหรือในอุโมงค์ที่กว้างที่คนสามารถเดินระหว่างตัวรถกับผนังอุโมงค์ได้เช่นเดียวกัน