เมื่อคืนมีอีเมล์มาถามเรื่องการประเมินความว่องไวในการทำปฏิกิริยาด้วยการใช้ค่า
Turn
over number จากผู้ที่กำลังสรุปผลเพื่อเตรียมเขียนวิทยานิพนธ์
ก็เลยขอถือโอกาสนี้เขียนอธิบายเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
Turn
over number (TON) หรือ
Turn
over frequency (TOF) มีความหมายเดียวกัน
คือเป็นหน่วยวัดความสามารถในการทำปฏิกิริยาของตัวเร่งปฏิกิริยา
นิยามของหน่วยนี้ก็คือ
จำนวนสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยา
ต่อ จำนวนตัวเร่งปฏิกิริยา
ใน 1
หน่วยเวลา
หรือ
จำนวนผลิตภัณฑ์ที่เกิด
ต่อ จำนวนตัวเร่งปฏิกิริยา
ใน 1
หน่วยเวลา
ส่วนจะใช้จำนวนสารตั้งต้นที่เข้าทำปฏิกิริยาหรือจำนวนผลิตภัณฑ์ที่เกิด
ก็ขึ้นอยู่กับว่าปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างไร
และการวิเคราะห์ปริมาณตัวไหนทำได้ง่ายกว่ากัน
แต่ตัวที่เป็นปัญหามากกว่าคือ
จำนวนตัวเร่งปฏิกิริยา
(หรือปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยา)
นั้น
เรานิยามมันอย่างไร
ในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยาเอกพันธ์
(homogeneous
catalyst) นั้น
แต่ละโมเลกุล/ไอออน/อะตอม
ของตัวเร่งปฏิกิริยานั้นมีโอกาสที่จะเข้าทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้น
ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าปฏิกิริยาเกิดขึ้นในเฟสน้ำและเราใช้ไอออนบวกของโลหะ
Mn+
เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
เมื่อเราละลายเกลือของโลหะ
M
นั้น
ไอออนบวก Mn+
แต่ละไอออนก็จะแยกออกจากกันเป็นอิสระ
แต่ละไอออนบวก Mn+
นั้นต่างมีโอกาสที่จะเข้าทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้นที่ละลายอยู่ในเฟสน้ำ
หรือในกรณีของเอนไซม์นั้น
เมื่อโมเลกุลเอนไซม์กระจายตัวไปในตัวทำละลาย
แต่ละโมเลกุลของเอนไซม์ต่างก็มีโอกาสจะเข้าทำปฏิกิริยากับโมเลกุลสารตั้งต้น
ในกรณีเหล่านี้จำนวนตัวเร่งปฏิกิริยา
"ที่มีส่วนร่วมในการทำปฏิกิริยา"
กับจำนวนตัวเร่งปฏิกิริยา
"ที่ใส่เข้าไปในระบบ"
นั้นเป็นตัวเดียวกัน
ดังนั้นหน่วยของตัวหารจึงอาจเป็นโมลหรือน้ำหนักของตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใส่เข้าไปในระบบ
แต่ถ้าเป็นระบบที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์
(heterogeneous
catalyst) โดยเฉพาะระบบที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นของแข็ง
คำว่า "จำนวนตัวเร่งปฏิกิริยา"
นั้นมีสิทธิที่จะตีความได้หลายนิยาม
ตัวอย่างเช่นในกรณีของระบบที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นของแข็งพวก
supported
catalyst เช่นสมมุติว่าเรามีตัวเร่งปฏิกิริยาที่ประกอบด้วยโลหะ
Ni
0.5 wt% บนตัวรองรับ
Al2O3
(Ni/Al2O3)
ตามตัวอย่างนี้ถ้าเรามีตัวเร่งปฏิกิริยา
Ni/Al2O3
อยู่
1
กรัม
ตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวจะประกอบด้วย
Al2O3
ที่เป็นตัวรองรับอยู่
0.995
กรัมและโลหะ
Ni
0.005 กรัม
ในกรณีนี้ตัวที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาจริงนั้นคือโลหะ
Ni
ที่มีอยู่เพียง
0.005
กรัมในขณะที่
Al2O3
นั้นไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำปฏิกิริยา
เป็นเพียงให้พื้นผิวสำหรับให้ผลึกโลหะ
Ni
เกาะเอาไว้เพื่อช่วยในการกระจายตัว
ดังนั้นถ้านำเอาตัวเร่งปฏิกิริยา
Ni/Al2O3
จำนวน
1.00
กรัมมาใช้
การนิยามน้ำหนักของจำนวนตัวเร่งปฏิกิริยาจึงเปิดช่องให้นิยามว่าจะใช้เฉพาะน้ำหนักของโลหะ
Ni
เพียงอย่างเดียว
(คือ
0.005
กรัม)
หรือเป็นน้ำหนักรวมของ
Ni
และ
Al2O3
คือ
1.000
กรัม
แต่ถ้าคิดเฉพาะตัวโลหะ
Ni
ก็ยังเปิดช่องให้นิยามต่อไปอีกว่าจะคิดเทียบกับปริมาณโลหะ
Ni
ทั้งหมด
หรือคิดเฉพาะปริมาณโลหะ
Ni
ที่สามารถเข้าทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้นได้
ทั้งนี้เพราะในกรณีของผลึกโลหะ
Ni
นั้น
ไม่ใช่ทุกอะตอมของผลึกโลหะ
Ni
จะมีส่วนร่วมในการทำปฏิกิริยา
จะมีเฉพาะอะตอมที่อยู่บนพื้นผิวของผลึกโลหะเท่านั้นที่สามารถมีส่วนร่วมในการทำปฏิกิริยา
ตัวอย่างเช่นในรูปที่
๑ ข้างล่าง เรามีอะตอมโลหะ
Ni
ทั้งหมด
40
อะตอม
แต่เฉพาะอะตอมที่อยู่บนพื้นผิว
(สีส้มและสีฟ้า)
จำนวน
16
อะตอมเท่านั้นที่สามารถทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้น
ในขณะที่อะตอมที่อยู่ในโครงสร้างผลึก
(สีเหลือง)
จำนวน
24
อะตอมไม่สามารถเข้าทำปฏิกิริยากับสารตั้งต้นได้
ถ้าเราคิดค่า TON
โดยใช้ปริมาณโลหะทั้งหมด
ตัวหารจะเป็น 40
แต่ถ้าคิดจากปริมาณโลหะที่สามารถมีส่วนร่วมในการทำปฏิกิริยาเท่านั้น
ตัวหารจะเป็น 16
รูปที่
๑ รูปบนเป็นตัวอย่าง
(เพื่อให้เห็นภาพ)
ผลึกโลหะ
Ni
บนตัวรองรับ
Al2O3
สีเหลืองคืออะตอม
Ni
ที่อยู่ภายใต้ผิวผลึก
อะตอมเหล่านี้ไม่มีส่วนร่วมในการทำปฏิกิริยา
สีส้มคืออะตอมที่อยู่ที่ตำแหน่งมุมของผลึก
และสีฟ้าคืออะตอมที่อยู่ที่ตำแหน่งระนาบของผลึก
อะตอมสีส้มและสีฟ้านี้คืออะตอมที่มีส่วนร่วมในการทำปฏิกิริยา
ทีนี้สมมุติว่าเราเพิ่มปริมาณโลหะ
Ni
ขึ้นเป็น
2
เท่า
เราอาจได้เป็นผลึกใหญ่เพียง
1
ผลึก
(รูปกลาง)
หรือผลึกเล็ก
2
ผลึก
(รูปร่าง)
ซึ่งจะเห็นว่าทั้งสองรูปแบบนี้มีจำนวนอะตอมที่ตำแหน่งมุม
(สีส้ม)
และตำแหน่งระนาบ
(สีฟ้า)
ไม่เท่ากัน
การวัดปริมาณโลหะทั้งหมดที่เติมลงไปบน
support
นั้นทำได้โดยใช้เทคนิคต่าง
ๆ เช่น AA
AE ICP XRF เป็นต้น
ส่วนการวัดจำนวนอะตอมโลหะที่อยู่บนพื้นผิวผลึกโลหะนั้นทำได้โดยการใช้เทคนิควัดการดูดซับ
(adsorption)
แก๊สบางชนิด
เช่น H2
CO เป็นต้น
สำหรับตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นโลหะอยู่บนตัวรองรับที่เป็นโลหะออกไซด์
(เช่น
Ni/Al2O3
ในตัวอย่างนี้)
เราสามารถใช้เทคนิควัดการดูดซับเพื่อหาจำนวนอะตอมโลหะ
Ni
ที่อยู่บนพื้นผิวผลึกโลหะ
Ni
ที่เกาะอยู่บนตัวรองรับ
Al2O3
ได้
เพราะเรามีแก๊สที่เลือกเกาะเฉพาะบนอะตอมโลหะแต่ไม่เกาะบนไอออนของสารประกอบโลหะออกไซด์
เทคนิควัดการดูดซับนี้ใช้ไม่ได้กับการวัดปริมาณไอออนบวกสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นสารประกอบโลหะออกไซด์เคลือบอยู่บนตัวรองรับที่เป็นโลหะออกไซด์
(เช่น
V2O5/TiO2)
เพราะการดูดซับบนพื้นผิวสารประกอบโลหะออกไซด์นั้นอาศัยความเป็นขั้ว/ประจุที่แตกต่างกันระหว่างโมเลกุลแก๊สที่ลงมาดูดซับกับไอออนที่อยู่บนพื้นผิว
ซึ่งพื้นผิวของสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาและที่เป็นตัวรองรับนั้นต่างก็มีไออนบวกและลบอยู่บนพื้นผิวเช่นเดียวกัน
บ่อยครั้งที่การคำนวณค่า
TON
โดยอาศัยจำนวนอะตอมโลหะเฉพาะส่วนที่อยู่บนพื้นผิวผลึกโลหะนั้นทำให้เราทราบถึงรูปแบบการกระจายตัวของของผลึกโลหะบนพื้นผิว
(แต่มีข้อแม้นะว่าต้องทำการทดลองในภาวะที่ไม่มีข้อจำกัดด้านการแพร่ในรูพรุน
(internal
diffusion limitation) เข้ามาเกี่ยวข้อง)
ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าตอนแรกเราเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีปริมาณโลหะ
a
wt% แล้ววัดค่า
TON
ได้เท่ากับ
TON1
จากนั้นก็เตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาอีกตัวหนึ่งที่มีปริมาณโลหะ
2a
wt% แล้ววัดค่า
TON
ได้เท่ากับ
TON2
ถ้าค่า
TON2
มีค่าเป็นสองเท่าของค่า
TON1
แสดงว่าเมื่อเราเพิ่มปริมาณโลหะเป็นสองเท่า
โลหะดังกล่าวน่าจะมีการกระจายตัวแบบรูปที่
๑ (ล่าง)
ซึ่งเป็นการกระจายตัวที่มีจำนวนอะตอมบนพื้นผิวผลึกเป็นสองเท่า
แต่ถ้าพบว่าค่า TON2
นั้นน้อยกว่า
2
เท่าของค่า
TON1
แสดงว่าการกระจายตัวของผลึกโลหะนั้นน่าจะเป็นแบบรูปที่
๑ (กลาง)
คือเกิดเป็นผลึกใหญ่ขึ้น
ทำให้จำนวนอะตอมโลหะที่อยู่บนพื้นผิว
(สีฟ้ารวมกันสีส้ม)
ต่อจำนวนอะตอมโลหะทั้งหมด
(สีฟ้า
สีส้ม และสีเหลืองรวมกัน)
นั้นลดลง
ค่า TON
จึงไม่เพิ่มตามสัดส่วนปริมาณโลหะที่เพิ่มขึ้น
แต่เพิ่มขึ้นด้วยสัดส่วนที่ต่ำกว่า
นอกจากนี้การคำนวณค่า
TON
โดยอิงจากจำนวนอะตอมโลหะที่อยู่บนพื้นผิวผลึกยังอาจบ่งบอกให้ทราบถึงตำแหน่งอะตอมบนผลึกที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา
ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าปฏิกิริยาที่เราต้องการนั้นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อการดูดซับเกิดขึ้นบนตำแหน่งอะตอมที่อยู่ที่มุมของผลึก
(อะตอมสีส้ม)
ถ้าหากเราเพิ่มปริมาณโลหะแล้วได้ผลึกที่ใหญ่ขึ้นดังรูปที่
๑ (กลาง)
ค่า
TON
ก็จะคงเดิมเพราะจำนวนอะตอมที่มุม
(อะตอมสีส้ม)
มีจำนวนเท่าเดิม
แต่ถ้าการกระจายตัวนั้นเป็นแบบรูปที่
๑ (ล่าง)
จะพบว่าค่า
TON
นั้นเพิ่มขึ้น
แต่ถ้าปฏิกิริยาที่เราต้องการนั้นเกิดเมื่อเกิดการดูดซับบนอะตอมที่อยู่บนพื้นผิว
(อะตอมสีฟ้า)
เมื่อเราเพิ่มปริมาณโลหะให้มากขึ้น
แม้ว่าเราจะได้ผลึกแบบรูปที่
๑ (กลาง)
เราก็จะเห็นค่า
TON
เพิ่มสูงขึ้น
ลองนึกภาพผลึกรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์
รูปที่
๒ ผลึกรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์
ไม่ว่าจะเป็นผลึกเล็กหรือผลึกใหญ่
จำนวนอะตอมที่อยู่ที่มุมก็ยังคงมีจำนวนเท่าเดิม
(เพราะมีจำนวนมุมเท่าเดิม)
แต่จำนวนอะตอมที่อยู่บนพื้นผิวจะมีจำนวนมากขึ้น
(เพราะมีพื้นผิวมากขึ้น)
ที่กล่าวมาทั้งหมดคือสรุปเนื้อหาที่ผมได้อธิบายให้เขาฟังไปเมื่อเที่ยงวันนี้