แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำท่วม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ น้ำท่วม แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เมื่อน้ำท่วมจรัญสนิทวงศ์ ๗๕ แยก ๓๘ ปี ๒๕๕๔ MO Memoir : Monday 6 November 2560

Facebook ขึ้นเตือนให้รำลึกความหลังของวันวานเมื่อ ๖ ปีที่แล้ว ตอนที่ต้องย้ายหนีน้ำท่วมบ้านในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ตอนนั้นต้องรีบออกมาก่อนที่จะเอารถออกมาไม่ได้ กว่าจะกลับเข้าไปดูบ้านได้อีกครั้งก็อีกร่วม ๒ สัปดาห์ถัดมา คือหลังจากที่น้ำท่วมสูงสุดและลดลงไปบ้างแล้ว
 
เขตบางพลัดด้านเหนือถูกกั้นไว้ด้วยแนวทางรถไฟสายใต้จากสะพานพระราม ๖ ที่ตีวงล้อมด้านตะวันตก โดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ทางด้านฝั่งตะวันออก ทางด้านทิศใต้ก็ถูกล้อมเอาไว้ด้วยแนวคลองบางบำหรุและคลองบางกอกน้อย ตอนน้ำท่วมปี ๒๕๓๘ นั้นทางด้านตะวันตกได้แนวทางรถไฟสายใต้เป็นคันกั้นน้ำ ส่วนทางด้านตะวันออกก็ได้เกาะกลางถนนจรัญสนิทวงศ์เป็นแนวคันกั้นน้ำ คือฝั่งด้านตะวันตกของถนนนั้นน้ำไม่ท่วม แต่ฝั่งด้านตะวันออกไปจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยานั้นโดยน้ำท่วม แต่ถึงกระนั้นก็ตามผู้ที่อยู่ในซอยที่เป็นพื้นที่ต่ำกว่าถนน ก็ต้องคอยสูบน้ำออกจากบ้านช่วงเวลาน้ำขึ้น เวลาจะขับรถกลับบ้านก็ต้องดูจังหวะเวลาน้ำขึ้น-ลงด้วย เพราะช่วงเวลาน้ำขึ้นน้ำจะท่วมถนนทั้งสองฝั่งของสะพานกรุงธน
 
น้ำท่วมปี ๒๕๕๔ นั้นแตกต่างไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคันกั้นน้ำที่ท้ายซอยแห่งหนึ่งริมแม่น้ำพัง ทำให้น้ำไหลเข้ามาทางคลองบางพลัดและคลองมะนาว แต่ถึงคันกั้นน้ำนี้ไม่พังก็คงจะโดนท่วมอยู่ดี เพราะน้ำที่มาจากทางฝั่งบางกรวยนั้นสูงมากจนล้นข้ามทางรถไฟสายใต้มาได้


รูปที่ ๑ ฝูงเป็นสนุกกับการว่ายน้ำเล่นริมทางรถไฟสายใต้ช่วงก่อนถึงสถานีรถไฟบางบำหรุ
เรื่องเหตุการณ์วันนั้นเคยเล่าไว้แล้วในเรื่อง "เมื่อน้ำบุกมาหลังบ้าน" (Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓๖๕ วันเสาร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔) มาวันนี้ก็เป็นเพียงแค่เอารูปที่ถ่ายไว้ตอนลุยน้ำเข้าไปเยี่ยมบ้านเมื่อ ๖ ปีที่แล้วมาบันทึกไว้หน่อย


รูปที่ ๒ ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ ๗๕ (ซอยภาณุรังษี) แยก ๓๘ (สกุลชัยซอย ๙) หลังจากที่ระดับน้ำลดลงบ้างแล้ว (ระดับน้ำสูงสุดบนผิวถนนอยู่ที่ ๑ เมตร ตอนนี้ลดลงไปเหลือ ๖๐ เซนติเมตร)

รูปที่ ๓ รูปเหล่านี้ถ่ายไว้เมื่อวันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน โดยเดินมาตามทางรถไฟจนถึงจุดกลับรถ (ต่อจากนี้ไปก็น้ำท่วมทางรถไฟแล้ว) จากนั้นก็เดินลุยน้ำต่อมาเรื่อย ๆ มาถึงปากซอยในรูปที่ ๒ ก็ลุกน้ำมาเกือบกิโลแล้ว จากนั้นก็เดินเลี้ยวเข้ามาในซอย ก็เห็นมีสภาพอย่างนี้

รูปที่ ๔ ผ่านหน้าบริเวณสถานีตำรวจ ลานหน้าสถานีตำรวจเดิมสูงกว่าถนน แต่พอทำถนนใหม่ ลานหน้าสถานีก็เลยต่ำกว่าถนน ระดับน้ำบริเวณหน้าสถานีขณะนั้นน่าจะยังคงอยู่ที่ราว ๆ หนึ่งเมตร


รูปที่ ๕ องค์หลวงพ่อลอยน้ำที่ตั้งอยู่หน้าสถานีตำรวจ ระดับน้ำที่ท่วมนั้นต่ำกว่าระดับตั้งองค์หลวงพ่อ 

รูปที่ ๖ รถตำรวจที่ย้ายมาจอดบนถนนหน้าสถานี ก็ไม่วายโดนท่วมหนักเช่นกัน


รูปที่ ๗ กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยหลังสถานี คันนี้เป็นรถของกลางในคดีอะไรก็ไม่รู้ มาจอดทิ้งไว้อยู่หลายปี ตอนนี้หายไปแล้ว ส่วนรถเบนซ์อีกคันที่จอดทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ก่อนน้ำท่วม ก็ยังคงจอดกีดขวางทางสัญจรอยู่เหมือนเดิม ไม่มีใครเอาไปไหนเสียที


รูปที่ ๘ ข้างขวาคืออาคารแฟลตที่พัก ห้องที่อยู่ชั้นล่างสุดของแฟลตโดนน้ำท่วมอยู่ไม่ได้ แต่ชั้นบนยังอยู่ได้ ปัญหาก็คือไม่มีการขนขยะออกจากแฟลต มันก็เลยมีการโยนทิ้งลงมาข้างล่างให้มันลอยน้ำเล่น (เดือดร้อนคนอื่นแทน)


รูปที่ ๙ ถ่ายจากบนบ้านชั้นสอง สารพัดขยะลอยมากองหน้าประตูบ้านที่อยู่สุดซอย


รูปที่ ๑๐ บ้านเก่าที่อยู่ข้างกันที่เป็นบ้านชั้นเดียว ระดับน้ำสูงถึงขอบล่างของวงกบหน้าต่าง บริเวณรอบบ้านนี้ตอนน้ำท่วมสูงสุดจะสูงประมาณเมตรครึ่ง (เพราะบ้านอยู่ต่ำกว่าถนน)

เรื่องราววันนี้ไม่มีสาระอะไร แค่เอาภาพความทรงจำมาบันทึกไว้พร้อมคำบรรยายเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อกันลืมเท่านั้นเอง

วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560

เพื่อไม่ให้น้ำเค็มไหลย้อน MO Memoir : Saturday 2 September 2560

แม่น้ำเจ้าพระยาที่เริ่มจาก จ.นครสวรรค์ นั้น เมื่อไหลลงสู่ที่ราบลุ่มภาคกลางเป็นลำน้ำที่มีความคดเคี้ยวมาก (ที่เรียกว่าเป็นรูปโค้งเกือกม้าหรือตัวยู) ทำให้เสียเวลาในการเดินทางทางน้ำ เพื่อที่จะย่นระยะทางให้สั้นลงจึงได้มีการขุดคลองลัดเป็นระยะมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ครั้นเวลาผ่านไป คลองขุดเล็ก ๆ โดยลำน้ำที่ไหลผ่านโดยตรงเซาะสองฟากฝั่งก็ขยายตัวกว้างขึ้น กลายเป็นลำน้ำเจ้าพระยาแทนที่ลำน้ำเดิมที่ตื้นเขินแคบลงและลดบทบาทกลายเป็นคลองไป
 
รูปที่ ๑-๓ เป็นแผนที่แสดงลำน้ำเจ้าพระยาสายเดิมและตำแหน่งที่ขุดคลองลัด รูปนี้นำมาจากหนังสือเรื่อง "กรุงเทพฯ มาจากไหน" โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ ของสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๘ รูปนี้อยู่ในหน้า ๓๘ โดยมีคำบรรยายรูปว่า "แผนที่แม่น้ำ (เจ้าพระยา) สมัยกรุงศรีอยุธยา แสดงบริเวณที่ขุดคลอดลัดแล้วกลายเป็นแม่น้ำสายใหม่ (อาจารย์มานิต วัลลิโภดม ทำขึ้นจากการค้นคว้าเอกสารเก่า พิมพ์ครั้งแรกใน กำสรวลศรีปราชญ์-นิราศนรินทร์ พ.ณ. ประมวญมารค. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยาม 2502.) รูปต้นฉบับนั้นเป็นรูปยาว ๆ รูปเดียว แต่ผมตัดแยกเป็น ๓ ส่วนเพื่อที่จะขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น
 
แต่มีโค้งเกือกม้าอยู่แห่งหนึ่งที่ไม่มีการขุดคลองลัด นั่นคือโค้งเกือกม้าสุดท้ายก่อนถึงปากอ่าวไทย ที่เป็นบริเวณที่ตั้งของ อ. พระประแดง จ. สมุทรปราการ (ดูรูปที่ ๓)
 

รูปที่ ๑ แผนที่ลำน้ำเจ้าพระยาตรงบริเวณ จ. อยุธยา

รูปที่ ๒ แผนที่ลำน้ำเจ้าพระยาส่วนล่างของรูปที่ ๑ เป็นช่วงบริเวณ จ. ปทุมธานี และนนทบุรี

รูปที่ ๓ แผนที่ลำน้ำเจ้าพระยาช่วงต่อจากรูปที่ ๒ เป็นช่วง จ. นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ สังเกตตรงโค้งเกือกม้าสุดท้ายก่อนไหลลงอ่าวไทย ไม่ได้มีการขุดคลองลัด
เหตุผลที่ในอดีตไม่ทำการขุดคลองลัด ณ ตำแหน่งนี้พอจะมองได้ว่ามีอยู่ ๒ เหตุผลด้วยกัน เหตุผลแรกเป็นเหตุผลทางด้านทางทหาร เพราะถ้าหากข้าศึกยกพลมาทางเรือก็ต้องเดินเรืออ้อมไกล เสียเวลาเพิ่มขึ้นก่อนจะล่องไปถึงเมืองหลวง และถ้าตั้งป้อมปราการตรงตำแหน่งพื้นดินช่วงที่แคบที่สุด ก็จะสามารถโจมตีข้าศึกที่ล่องมาตามลำน้ำได้ง่าย กล่าวคือกองเรือข้าศึกที่ล่องไปตามลำน้ำต้องผ่านป้อมที่ตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งนั้นสองครั้ง
 
ส่วนเหตุผลที่สองนั้นเป็นเหตุผลทางด้านระบบนิเวศ คือป้องกันไม่ให้น้ำเค็มไหลย้อนเข้าลึกเกินไปในช่วงน้ำขึ้นโดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง (แม้ในปัจจุบัน ในบางปีที่แล้งมาก น้ำเค็มจากอ่าวไทยสามารถไหลย้อนขึ้นไปจนถึงท่าน้ำนนทบุรี)
 
รูปที่ ๔ เป็นแผนที่แสดงระดับความสูงของพื้นดินช่วงจากแม่น้ำท่าจีนไปจนถึงแม่น้ำบางปะกง จะเห็นว่าระดับความสูงเฉลี่ยของพื้นที่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา (พื้นที่ระหว่างแม่น้ำท่าจีนกับแม่น้ำเจ้าพระยา) มีระดับความสูงที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ในขณะที่พื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันออก (พื้นที่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำบางปะกง) มีระดับความสูงที่ต่ำกว่าฝั่งตะวันตก และยังต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางเสียด้วย
  
รูปที่ ๔ แผนที่ระดับความสูงของพื้นดินบริเวณจากแม่น้ำท่าจีนทางตะวันตก ไปจนถึงแม่น้ำบางปะกงทางตะวันออก จะเห็นว่าพื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา (ฝั่งท่าจีน-เจ้าพระยา) มีระดับความสูงเฉลี่ยมากกว่าพื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันออก (ฝั่งเจ้าพระยา-บางปะกง)
ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์เช่นนี้ ทำให้ฝั่งตะวันตกนั้นเป็นพื้นที่ทำสวน (ไม้ยืนต้นมันแช่น้ำท่วมขังนาน ๆ ไม่ได้) สวนผลไม้ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงขึ้นชื่อลือชาในอดีตนั้นต่างอยู่ทางฝั่งตะวันตกทั้งนั้น ในขณะที่ฝั่งตะวันออกเป็นพื้นที่ทำนา และเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ไม้ยืนต้นเจอกับน้ำท่วมโคนต้นนานเกินไป การทำสวนในบริเวณฝั่งตะวันตกจึงมีการขุดท้องร่องเพื่อเอาดินขึ้นมาถมเป็นคันดิน แล้วปลูกต้นไม้บนคันดินนั้น ทำให้ได้ทั้งระดับพื้นดินสำหรับการปลูกต้นไม้ที่สูงขึ้น และท้องร่องที่นำน้ำไปเลี้ยงต้นไม้ถึงที่ (ลักษณะที่ไม่เห็นในจังหวัดอื่นที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำมากเช่นนี้ในฤดูน้ำหลาก)
 
ลักษณะลำน้ำที่เป็นโค้งเกือกม้านี้ แม้ว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเค็มไหลย้อนเข้าไปได้ลึกจนอาจทำความเสียหายให้กับเกษตรกรทำสวนได้ แต่ก็ทำให้น้ำไหลลงทะเลได้ช้าในช่วงน้ำหลาก แนวทางแก้ปัญหาแนวทางหนึ่งก็คือการขุดคลองแนวเหนือ-ใต้ เพื่อให้น้ำที่ไหลหลากลงมาในช่วงหน้าน้ำนั้นไหลผ่านไปได้เร็ว แต่คลองเหล่านี้ก็ไม่ได้ออกสู่ทะเลโดยตรง แต่ไหลลงสู่คลองหลักอีกคลองหนึ่งที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง แต่วิ่งเลียบขนานไปกับชายฝั่ง (ลองดูแผนที่ในรูปที่ ๔) เรียกว่าเป็นการประนีประนอมกันระหว่างการระบายน้ำลงสู่ทะเล กับการป้องกันน้ำเค็มไหลย้อนก็ได้
และเมื่อมีการขุดขยายคลองลัดโพธิ์ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อเร่งการระบายน้ำที่ไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาลงสูทะเลในฤดูน้ำหลาก จึงจำเป็นต้องมีการสร้างประตูระบายน้ำคอยปิดกั้นเวลาน้ำขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะเลใช้เป็นเส้นทางลัดในการไหลย้อนเข้ามาได้เร็ว
 
เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการโพสรูปสะพานระบายน้ำข้ามถนนสุขุมวิทช่วงที่เลียบชายฝั่งทะเล (รูปที่ ๕) และมีคำถามขึ้นมาว่าทำไปจึงไม่ใช้การขุดคลองเพื่อให้น้ำไหลลงทะเลไปเลย แต่กลับสร้างสะพานแล้วใช้ปั๊มสูบน้ำจากคลองลำเลียงน้ำที่มาจากพื้นที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ให้ไหลขึ้นสะพานระบายน้ำเพื่อระบายลงทะเล อันที่จริงคำตอบนี้มันอยู่ในรูปที่ ๔ แล้วว่าทำไมจึงต้องใช้ปั๊มสูบน้ำระบายออกสู่ทะเล นั่นก็เป็นเพราะพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และถ้าจะให้คลองตัดกันโดยไม่ให้น้ำไหลผสมกัน ก็ต้องใช้วิธีการให้คลองเส้นหนึ่งมุดท่อลอดใต้คลองอีกเส้นหนึ่ง (วิธีนี้มันก็ดีตรงที่ไม่จำเป็นต้องใช้ปั๊มช่วย) แต่คลองเส้นที่มุดท่อลอดนั้นก็จะมีปัญหาไม่สามารถเดินเรือผ่านได้ หรือใช้การสร้างสะพานน้ำแล้วสูบน้ำขึ้นบนสะพานเพื่อให้ไหลลงไปยังอีกฟากหนึ่ง วิธีนี้น้ำมันไหลขึ้นสะพานเองไม่ได้ ต้องใช้ปั๊มช่วย
 
ในกรณีนี้ผมเดาเหตุผลว่าเป็นเพราะคลองเส้นเดิมที่ทอดขนานไปตามแนวถนนเลียบทะเลนั้น เป็นคลองที่รับน้ำมาจากคลองต่าง ๆ ที่ไหลมาในแนวเหนือ-ใต้ก่อนลงทะเล ส่วนคลองที่มีสะพานระบายน้ำนั้นเป็นคลองที่ขุดขึ้นใหม่ ใช้เพื่อการระบายน้ำท่วมขังเป็นหลัก ไม่ได้ใช้เป็นเส้นทางสัญจร การใช้สะพานระบายน้ำก็มีข้อดีตรงที่ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาน้ำทะเลไหลย้อนและน้ำขึ้นน้ำลง เพราะสะพานมันอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลแม้เวลาที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุด ทำให้สามารถสูบน้ำลงสู่ทะเลได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงก็ตาม



รูปที่ ๕ แผ่นที่จาก google earth ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองคือประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์กับสะพานระบายน้ำที่สูบน้ำจากคลองระบายน้ำจากบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ลงสู่ทะเลโดยข้ามถนนสุขุมวิทและคลองที่คู่ขนานไปกับถนนสุขุมวิท

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ถ้ากลัวน้ำท่วมให้ไปอยู่บนดอย MO Memoir 2558 June 11 Thu

"เราเป็นเมืองน้ำครับ เราเป็นเมืองฝนครับ ไม่มีจุดเสี่ยงเลยเป็นไปไม่ได้ครับ ถ้าอยากไม่มีจุดเสี่ยงเรื่องน้ำท่วม ไปอยู่บนดอยครับ ต้องอยู่บนดอยครับ"
  
ข้างบนเป็นข้อความที่ผมถอดเสียงมาจากบทสัมภาษณ์ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ให้สัมภาษณ์หลังมีฝนตกใหญ่ในกรุงเทพมหานคร เกิดน้ำท่วมขัง เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
  
และเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนเช้าวันจันทร์ ก็มีฝนตกหนักจนน้ำท่วมขังอีก จนมีคนจำนวนไม่น้อยด่าผู้ราชการกรุงเทพเสียยกใหญ่ มีการยกเอาบทสัมภาษณ์ดังกล่าวขึ้นมาอีก

แต่ที่น่าสนใจก็คือ เวลามีฝนตกหนักที่ไร ฝั่งที่มีปัญหาน้ำท่วมขังเป็นประจำคือกรุงเทพฝั่งตะวันออก คนที่อยู่ทางฝั่งธนบุรี (หรือกรุงเทพฝั่งตะวันตก) มักไม่มีปัญหานี้

แผนที่ที่แนบท้ายมาคือ "แผนที่แสดงแนวคันกั้นน้ำและระดับพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" จัดทำโดยกรมแผนที่ทหาร (ดาวน์โหลดได้ที่ http://www.rtsd.mi.th/index.php?option=com_content&view=article&id=169) จัดทำขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย แผนที่นี้แสดงระดับความสูงของพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่าสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเท่าใด ยิ่งสีฟ้าเข้มมากขึ้นก็อยู่ใกล้กับระดับน้ำทะเลมากขึ้น และถ้าเป็นสีน้ำเงินไปเลยก็แสดงว่าต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ถ้าไล่มาทางสีเขียวอ่อน เขียวแก่ เหลือง น้ำตาล ก็จะสูงจากระดับน้ำทะเลมากขึ้น แผนที่ดังกล่าวครอบคลุมจากแม่น้ำท่าจีน (ทางด้านซ้าย) ไปจนจรดแม่น้ำบางปะกง (ทางด้านขวา)
  
เป็นธรรมชาติที่น้ำจะไหลจากที่สูงไปยังที่ต่ำ และสำหรับน้ำบนพื้นผิวแล้ว ที่ต่ำที่สุดก็คือระดับน้ำทะเล ดังนั้นพื้นที่ในเขตภาคกลาง เวลาที่ฝนตกลงมา น้ำจากผิวดินก็จะไหลลงไปยังคลอง น้ำในคลองก็จะไหลลงสู่แม่น้ำ และน้ำในแม่น้ำก็จะไหลลงสู่ทะเล
  
แต่ถ้าเป็นบริเวณตัวเมืองนั้น น้ำฝนที่ตกลงมาก็จะไหลลงสู่ท่อระบายน้ำก่อน (ซึ่งอยู่ต่ำกว่าะระดับผิวดิน) จากนั้นน้ำในท่อระบายน้ำก็จะไหลลงสู่คลอง (ถ้าระดับน้ำในคลองต่ำกว่าระดับท่อ) อีกทีหนึ่ง

ในบริเวณที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำเช่นกรุงเทพมหานครและนนทบุรีนั้น น้ำในแม่น้ำจะไหลสู่ทะเลได้ดีในช่วงเวลาน้ำลง แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาน้ำขึ้น ถ้าระดับน้ำในแม่น้ำนั้นยังสูงกว่าระดับน้ำทะเลที่ขึ้นสูง น้ำในแม่น้ำก็จะยังไหลลงสู่ทะเลได้อยู่ แต่จะไหลได้ช้าลง แต่ถ้าเป็นหน้าแล้ที่น้ำในแม่น้ำมีน้อย น้ำทะเลจะไหลย้อนเข้ามาในแม่น้ำ และไหลย้อนเข้าไปในคลองต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำนั้นได้
  
ในช่วงหน้าแล้ ระดับน้ำทะเลขึ้นลงจะอยู่ในช่วงประมาณ -๐.๔๐ ถึง +๑.๔๐ เมตร (เครื่องหมาย "-" คือต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง เครื่องหมาย "+" คือสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ตัวเลขที่ให้เป็นตัวเลขที่ผมประมาณจากข่าวพยากรณ์อากาศที่ฟังทางวิทยุตอนเช้า ใครอยากได้ข้อมูลที่ถูกต้องก็ลองไปค้นจากเว็บของ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือก็แล้วกัน) และในช่วงฤดูน้ำหลากที่มักจะตรงกับช่วงน้ำทะเลหนุนสูงด้วยนั้น ระดับน้ำขึ้นสูงสุดอาจสูงถึงระดับ ๒ เมตร ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงเกินกว่าระดับ ๒ เมตรขึ้นไปอีก
  
คิดเล่น ๆ แบบง่าย ๆ ก่อนนะครับ ถ้าเราตีซะว่าระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยานั้นอยู่ที่ระดับ ๑ เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ดังนั้นระดับน้ำในคลองต่าง ๆ ที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา (ถ้าไม่มีการใช้ประตูน้ำควบคุมระดับ) ก็จะอยู่ที่ระดับเดียวกับระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย (คือ ๑ เมตร) ทีนี้ถ้าเกิดฝนตกหนักลงมา น้ำจากผิวดินก็จะไหลลงท่อระบายน้ำ และไหลออกสู่คลองอีกที ถ้าว่ากันตามนี้ พื้นที่ที่จะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมก็เห็นจะได้แก่พื้นที่ที่ระดับพื้นดินสูงกว่า ๑ เมตร ซึ่งก็คือพื้นที่ที่ไม่ใช่สีฟ้าหรือสีน้ำเงินในแผนที่
  
แต่กรุงเทพมหานครมีระบบประตูระบายน้ำ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือทำการพร่องน้ำในคลองให้มันต่ำลง (เช่นอาจปิดประตูกั้นน้ำที่ปากคลอง แล้วใช้เครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากคลอง (ที่มีระดับน้ำต่ำกว่าระดับน้ำในแม่น้ำ) ออกสู่แม่น้ำอีกที) ดังนั้นพื้นที่ที่มีระดับความสูงต่ำกว่าระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำ ก็ยังสามารถระบายน้ำลงสู่คลองได้ ด้วยการทำให้ระดับน้ำในคลองมันต่ำกว่าระดับท่อระบายน้ำ
  
ดังนั้นถ้าระบบระบายน้ำลงท่อและ/หรือตัวท่อเองไม่อุดตัน น้ำก็จะไหลลงคลองได้ดี และถ้าฝนไม่ "ตกหนักมากเกินไป" จนเกินกว่าความสามารถของระบบท่อระบายน้ำและเครื่องสูบน้ำจะรองรับได้ ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขัง
  
ปริมาตรน้ำที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำสูบระบายออกไปนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนที่ตก ขนาดพื้นที่ที่ฝนตก และระดับความสูงของพื้นดินที่มีฝนตก ถ้าฝนตกหนักมากและกินบริเวณกว้าง และขนาดพื้นที่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำในแม่น้ำมีบริเวณกว้าง ปริมาตรน้ำที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำระบายออกก็จะมีมากตามไปด้วย ทีนี้ถ้าเราลองไปพิจารณาแผนที่ระดับชั้นความสูงของกรุงเทพมหานคร และตีคร่าว ๆ ว่าพื้นที่ที่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำในการระบายน้ำฝนออกนั้นคือพื้นที่ที่มีระดับความสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง "ไม่เกิน ๑ เมตร" หรือพื้นที่ที่เป็นบริเวณสีฟ้าและสีน้ำเงินทั้งหมด ก็คงจะมองเห็นภาพแล้วนะครับว่าพื้นที่ที่น่าจะมีปัญหาในการระบายน้ำนั้นมันมีขนาดเท่าใด และพื้นที่ที่น่าจะมีปัญหามากในการระบายน้ำ (บริเวณพื้นที่ที่มีสีฟ้าเข้มและสีน้ำเงินอยู่มาก) นั้นอยู่ที่บริเวณใด นั่นก็คือพื้นที่ "กรุงเทพฝั่งตะวันออกเกือบทั้งหมด"
  
สวนผลไม้จะอยู่ทางฝั่งธนบุรีและนนทบุรี ส่วนนาข้าวจะอยู่ทางฝั่งกรุงเทพมหานคร คนทำสวนนั้นจะปลูกไม้ยืนต้น และไม้ยืนต้นนั้นมันไม่ทนน้ำท่วมนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ในขณะที่ต้นข้าวนั้น ถ้าเป็นพันธ์ข้าวป่าเดิม ต่อให้น้ำท่วมสูง ๒-๓ เมตรมันก็อยู่ได้ ดังนั้นคนทำสวนจึงมักจะทำในพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมขังนาน แต่คนทำนาข้าวต้องการพื้นที่ที่มีน้ำเยอะและท่วมขังได้นาน วิธีชีวิตของคนโบราณนั้นเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติ ประกอบอาชีพที่เข้ากับธรรมชาติของพื้นที่ที่เขาพักอาศัย คนทำสวนแบบดั้งเดิมที่ปลูกต้นไม้หลายชนิดจะมีของออกขายได้ทั้งปี แต่คนทำนานั้นจะมีข้าวขายตามฤดูกาล
  
แต่เมื่อวิถีชีวิตการทำงานของคนเปลี่ยนไป สภาพสังคมเปลี่ยนไป การตั้งหลักแหล่งตั้งชุมชนนั้นอาศัย "ราคาที่ดิน" เป็นตัวกำหนด บริเวณไหนที่มีราคาถูกก็มีไปซื้อและสร้างหมู่บ้านอยู่อาศัยกัน และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้นขยายตัวออกไปมากทางด้านตะวันออก ในขณะที่พื้นที่ทางด้านตะวันตกเพิ่งจะมีการขยายตัวกันไม่นานนี้เอง เพราะพื้นที่ทางด้านตะวันออกมีการขยายตัวไปจนจะอิ่มตัวอยู่แล้ว
  
แผนการสร้างอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมขังหลังฝนตกของกรุงเทพนั้นอยู่ทางฝั่งตะวันออกทั้งสิ้น ทางฝั่งธนบุรี (หรือกรุงเทพฝั่งตะวันตก) นั้นกลับได้รับการพิจารณาว่าไม่จำเป็น ทั้งนี้เพราะด้วยสาเหตุใดก็ขอให้พิจารณาแผนที่ที่แนบมาเอาเองก็แล้ว คำตอบมันอยู่ในน้ำอยู่แล้ว
  
"ชีวิตสมบูรณ์แบบ" ชนิดที่เรียกว่าอะไรไม่ได้ดังใจแม้แต่เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ต้องด่าเอาไว้ก่อนดูเหมือนจะเป็นอาการที่ฝังอยู่ในความคิดของคนกรุงเทพจำนวนไม่น้อย บางเรื่องนั้นเราอาจไม่สามารถป้องกันไม่ให้ไม่เกิดเลยไม่ได้ เพียงแต่ถ้ามันรุนแรงจนเกินความสามารถของระบบป้องกันที่จะป้องกันไม่ให้เกิดได้ ก็ต้องหาทางลดระยะเวลาที่ความเสียหายนั้นจะคงอยู่ ระบบระบายน้ำปัจจุบันของกรุงเทพก็เป็นเช่นนั้น แต่เดิมนั้นท่วมขังกันเป็นวันครับ ไม่ใช่ไม่กี่ชั่วโมงเหมือนเช่นปัจจุบัน และการจะทำไม่ให้มันเกิดเลยก็ทำได้ แต่นั่นก็หมายถึงงบประมาณที่เพิ่มขึ้นในการก่อสร้าง และใครจะเป็นคนจ่ายค่าบำรุงรักษาให้พร้อมที่จะใช้งานตลอดเวลา ต้องการโน่นต้องการนี่ ก็อย่าลืมถามด้วยนะครับว่าเอาเงินใครมาจ่าย

ผมเห็นว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครท่านพูดไม่ผิดหรอก