ขาดอีกเพียงแค่
๒ เดือนกับอีกไม่กี่วัน
ก็จะครบรอบเหตุการณ์แบบเดียวกันเมื่อ ๑๒ ปีที่แล้ว
ที่ก่อให้เกิดความเสียหายไม่น้อยหน้ากัน
โดยครั้งล่าสุดที่เกิดเมื่อหลังสองทุ่มเล็กน้อยของวันพุธที่
๒๖ ธันวาคมที่ผ่านมา
สงสัยว่าจะเกิดจากผู้แสดงคู่เดิม
เปลี่ยนเพียงแค่ผู้กำกับ
โดยในขณะที่เกิดเหตุนั้นมีนิสิตเพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ในแลป
โดยนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานที่อยู่ติดกัน
บริเวณที่เกิดเหตุแสดงไว้ในรูปที่
๑ ข้างล่าง ขวดทิ้งสารที่ระเบิดเป็นขวดแก้วสีชาขนาด
๒.๕
ลิตร
ที่ปรกติใช้ใส่สารเคมีทั่วไปที่เมื่อใช้สารหมดแล้วก็นำมาทำเป็นขวดทิ้งสาร
ขวดที่ระเบิดนั้นมีฉลากติดเอาไว้ว่า
"Acetone"
ซากส่วนฝาขวดของขวดนี้พบว่าผนังด้านบนของฝาปิดนั้นหายไป
เหลือเพียงแค่ส่วนลำตัวที่เป็นเกลียวที่ยังจับอยู่กับร่องเกลียวของปากขวดเอาไว้
ลำตัวขวดด้านที่มีฉลากปิด
และส่วนก้นขวดที่ยังเป็นชิ้นวางให้เห็นอยู่
นอกจากนี้สะเก็ดระเบิดทำให้ขวดทิ้งสารอีกขวดหนึ่ง
(เป็นขวดชนิดเดียวกัน)
ที่มีฉลากติดไว้ว่า
"Hydrocarbon"
แตกไปด้วย
ความเสียหายอื่นก็มีประตูกระจกของ
Hood
1 แตกละเอียด
หน้าต่าง 1
โดนกระแทกแตกแต่ยังคงยึดติดอยู่กับบานหน้าต่าง
ประตูพลาสติกของเครื่องบด
(สี่เหลี่ยมสีเหลือง)
โดนกระแทกแตกตรงบานพัด
เศษแก้วเล็ก ๆ สีชาขนาดไม่กี่มิลลิเมตร
(ที่คงมาจากขวดที่ระเบิด)
กระจายไปทั่วบริเวณ
และยังมีของเหลว (น้ำ
?)
เจิ่งนองเป็นบริเวณกว้าง
(ตอนแรกมีคนบอกว่ามาจากท่อน้ำที่แตก
แต่ผมไม่แน่ใจ
อาจเป็นของเหลวที่ออกมาจากขวดที่แตกก็ได้)
รูปที่
๑ แผนผังบริเวณที่เกิดเหตุ
ดาวสีส้มคือบริเวณที่พบเศษแก้วจากขวดสารที่ระเบิด
(อันที่จริงมีมากกว่านี้
แต่เลือกมาเฉพาะบางบริเวณ
เพื่อให้เห็นว่ามีการกระจายตัวไปไกลเพียงใด
ตอนแรกก็คิดว่า
Memoir
ฉบับที่แล้วจะเป็นฉบับสุดท้ายของปี
๒๕๖๑ แต่บังเอิญมาทราบเรื่องนี้หลังจากเผยแพร่
Memoir
ฉบับที่แล้วไปแล้ว
และเห็นเป็นเรื่องสำคัญ
ก็เลยต้องมีเพิ่มอีกฉบับหนึ่ง
(และหวังว่าคงเป็นฉบับปิดท้ายจริง
ๆ)
ยังไงก็ลองดูรูปเอาเองก่อนนะครับว่าสภาพที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร
รูปที่
๒ ภาพกว้างบริเวณที่เกิดเหตุ
(๑)
ตำแหน่งขวดที่ระเบิด
(๒)
ขวดที่แตกจากสะเก็ดระเบิด
(๓)
จุดที่หน้าต่างโดนกระแทกแตก
(๔)
บานพับประตูที่โดนกระแทกแตก
และ (๕)
หน้าต่าง
hood
ที่โดนกระแทกแตก
(เสียดายที่ภาพไม่ชัด)
รูปที่
๓ บริเวณตำแหน่งที่เกิดเหตุ
(๑)
ก้นขวดที่ระเบิด
(๒)
ผนังของขวดที่ระเบิดที่ยังเหลือเป็นชิ้นอยู่
(๓)
ขวดที่แตกจากสะเก็ดระเบิด
(๔)
ส่วนฝาขวด
(คาดว่าน่าจะเป็นของขวดที่แตกจากสะเก็ดระเบิด)
รูปที่
๕ ขวดทิ้งสารอีกใบที่แตก
(น่าจะเกิดจากสะเก็ดระเบิด)
ข้างขวดมีฉลากติดเอาไว้ว่า
"Waste
Hydrocarbon (HC)"
รูปที่
๖ บีกเกอร์ที่ตั้งปั่นกวนไว้บน
magnetic
stirrer ที่อยู่ห่างออกมา
โดยลูกหลงแตกไปด้วย
เหลือแต่เศษแก้วที่ถูกเก็บขึ้นมาวางอยู่ข้าง
ๆ
รูปที่
๗ หน้าต่างที่ถูกกระแทกจนแตก
หน้าต่างบานนี้เปิดค้างไว้ที่ตำแหน่งนี้ก่อนการระเบิด
มันจึงวางทำมุมเกือบจะขนานไปกับทิศทางที่สะเก็ดพุ่งเข้ากระทบ
แต่กระจกทั้งบานเต็มไปด้วยรอยเปื้อนจากคราบสารเคมีและเศษแก้วชิ้นเล็ก
ๆ ติดอยู่
รูปที่
๑๐ พื้นบริเวณหน้า Hood
ตัวที่กระจกบานประตูแตก
(๑)
คือขอบล่างของบานประตูที่ร่วงตกลงมา
เศษแก้วใส ๆ ที่เห็นคือกระจกบานประตู
Hood
(เป็นกระจกนิรภัยแบบ
tempered
จึงแตกเป็นเม็ดข้าวโพด)
ส่วนเศษแก้วสีชาคือของขวดทิ้งสาร
เศษกระจกประตูส่วนใหญ่ตกเข้าไปในตัว
Hood
รูปที่
๑๑ ในกรอบสีเหลืองส่วนคอขวด
(เข้าใจว่าเป็นของขวดใส่
waste
Hydrocarbon) ที่ค้างอยู่ตรงขอบหน้าต่าง
(หมายเลข
๔ ในรูปที่ ๓)
ส่วนในกรอบสีแดงคือส่วนลำตัวที่ไปค้างอยู่ที่ริมหน้าต่าง
รูปที่
๑๒ (๑)
คือตำแหน่งที่ตั้งของขวดที่ระเบิด
ในรูปนี้จะเห็นเศษกระจกของประตู
Hood
ตกเข้าไปภายใน
Hood
รูปที่
๑๔
เศษแก้วที่พบบนโต๊ะตั้งอุปกรณ์ทดลองที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง
ด้านที่ตรงข้ามกับจุดเกิดระเบิด
รูปที่
๑๕ (๑)
คือตำแหน่งที่พบเศษแก้วที่แสดงในรูปที่
๑๔ ส่วน (๒)
คือตำแหน่งเครื่องชั่งที่พบเศษแก้วปลิวไปถึงเช่นกัน
รูปที่
๑๖ บริเวณพื้นหลังทำความสะอาดแล้ว
(น้ำเจิ่งนองอยู่ข้ามคืน
ก่อนการทำความสะอาดในช่วงสายของวันรุ่งขึ้น)
มีคราบต่าง
ๆ ปรากฏเต็มไปหมด
เว้นแต่บริเวณที่มีของวางอยู่
(ตามแนวเส้นประสีเหลือง)
รูปที่ ๑๗ ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองคือท่อน้ำประปาที่โดนสะเก็ดระเบิดกระแทกแตก มีการตัดต่อท่อใหม่ตรงระหว่างข้อต่อสีเหลือง ท่อนี้ติดตั้งอยู่ในมุมที่ไม่โดนแสงแดด ดังนั้นจึงไม่ได้มีปัญหาเรื่องท่อเสื่อมสภาพเนื่องจากแสงแดด (รูปนี้เพิ่มเติมเข้ามาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๒)
รูปที่ ๑๗ ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลืองคือท่อน้ำประปาที่โดนสะเก็ดระเบิดกระแทกแตก มีการตัดต่อท่อใหม่ตรงระหว่างข้อต่อสีเหลือง ท่อนี้ติดตั้งอยู่ในมุมที่ไม่โดนแสงแดด ดังนั้นจึงไม่ได้มีปัญหาเรื่องท่อเสื่อมสภาพเนื่องจากแสงแดด (รูปนี้เพิ่มเติมเข้ามาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๒)
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ
ผมได้คุยกับนิสิตที่กำลังจะเข้าไปจัดการกับน้ำที่หกนองพื้น
เขาถามผมว่าผมคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดการระเบิด
ผมก็ตอบกลับไปว่าเป็นเพราะความดันในขวดนั้นสูงเกินกว่าที่ขวดจะรับได้
แต่การที่ความดันในขวดมันสูงขึ้นนั้นเกิดจากอะไรก็ต้องว่ากันอีกทีหนึ่ง
ของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำ
เช่น เมทานอล อะซีโทน (จุดเดือดราว
ๆ 60ºC)
ที่ขายกันเขาก็บรรจุมาในขวดแก้วแบบนี้
นั่นก็แสดงว่าขวดแก้วพวกนี้มันทนความดันไอของของเหลวดังกล่าว
ณ อุณหภูมิห้องได้
สารที่มีจุดเดือดสูงกว่าอุณหภูมิห้อง
เมื่ออยู่ในขวดปิดมันจะมีความดันที่จำกัด
(ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิห้อง)
พวกที่น่ากังวลกว่าก็คือพวกที่สลายตัวให้สารที่เป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้อง
เพราะแก๊สที่เกิดขึ้นมันจะไม่ควบแน่นเป็นของเหลว
มันจะทำให้ความดันภายในขวดเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ จนขวดทนไม่ได้
ตัวอย่างของสารพวกนี้ได้แก่ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
(H2O2)
ที่สลายตัวให้แก๊สออกซิเจนออกมา
และจะสลายตัวเร็วขึ้นถ้ามีไอออนบวกของโลหะบางตัวร่วมอยู่ด้วย
(ไอออนบวกอาจอยู่ในรูปของสารละลายหรือของแข็งก็ได้)
แต่พวกนี้ก็มีวิธีป้องกันคือ
เวลาปิดฝาขวด waste
ก็อย่าปิดให้แน่น
ปิดไว้หลวม ๆ พอให้แก๊สรั่วไหลออกมาได้
(ถ้ามี)
ก็จะช่วยป้องกันการระเบิดเนื่องจากความดันสูงเกินได้
อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือการทิ้งสารเคมีที่ไม่ควรนำมารวมกัน
แต่ถูกนำมาทิ้งในขวด waste
เดียวกัน
เพราะมันอาจทำปฏิกิริยากันกลายเป็นสารประกอบที่ไม่เสถียรและเกิดการระเบิดได้
เช่นกรณีของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์กับคีโตนเช่นอะซีโทน
(acetone)
หรือเมทิลเอทิลคีโตน
(methyl
ethyl ketone) หรือปฏิกิริยาเกิดสารประกอบเปอร์ออกไซด์ของอีเทอร์บางตัว
เช่นไดเอทิลอีเทอร์ (diethyl
ether)
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ได้ชื่อว่าเป็นสารออกซิไดซ์ที่สะอาด
เพราะมันให้เพียงแค่อะตอมออกซิเจน
(ที่เป็นตัวออกซิไดซ์)
และน้ำ
(ที่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ร่วมที่ไม่มีปัญหาในการกำจัด)
ความเข้มข้นสูงสุดที่ขายกันทั่วไปสำหรับใช้งานในแลปเคมีจะอยู่ที่
30
wt% ในน้ำ
ที่ความเข้มข้นขนาดนี้มันสามารถเกิดฏิกิริยาสลายตัวได้รุนแรงถ้ามีตัวเร่งปฏิกิริยาร่วมด้วย
ตัวอย่างของปฏิกิริยาที่มีการใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ก็คือปฏิกิริยา
hydroxylation
วงแหวนเบนซีน
และ epoxidationพันธะคู่
C=C
ของสายโซ่กรดไขมันของน้ำมันพืช
ปัญหาหนึ่งในการใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ที่ไม่มีขั้วคือมันจะแยกเฟส
และยิ่งเป็นกรณีที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นของแข็งด้วยจะทำให้เกิดปัญหาการเปิดปฏิกิริยาใน
๓ เฟส (ของแข็ง
+
ของเหลวมีขั้ว
+
ของเหลวไม่มีขั้ว)
ในการแก้ปัญหานี้บางรายใช้วิธีหาตัวทำละลายเพื่อประสานเฟสของเหลวมีขั้วและไม่มีขั้วเข้าด้วยกัน
เพื่อให้เฟสของเหลวเหลือเพียงเฟสเดียว
แต่วิธีนี้ต้องเลือกตัวทำละลายให้ดี
คือตัวทำละลายต้องไม่ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เสียเอง
กรณีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ
๑๒
ปีที่แล้วคาดว่าน่าจะเป็นกรณีของการทำปฏิกิริยาระหว่างเบนซีนกับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
(เข้มข้น
30
wt%) โดยใช้อะซีโทนเป็นตัวทำละลายประสานเฟส
การระเบิดไม่ได้เกิดขึ้นทันทีในระหว่างการทำปฏิกิริยา
แต่ไปเกิดขึ้นในขวด waste
ที่นำสารที่เหลือจากการทำปฏิกิริยาไปทิ้งไว้
สาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์นี้คืออะไรคงยากที่จะหามาได้
ทำได้เพียงแค่คาดเดาเอาจากพยานแวดล้อม
(เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา)
แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรต้องพึงระลึกก็คือ
ถ้าเราไม่เรียนรู้ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต
เราก็มีสิทธิที่จะทำผิดแบบเดิมซ้ำอีก
กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่ยืนยันข้อความดังกล่าว
และนี่ก็คือวัตถุประสงค์หลักของ
Memoir
ฉบับนี้ซึ่งก็คือการบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับทราบถึงสิ่งที่ไม่ควรกระทำซ้ำอีก
รูปที่
๑๘ รูปนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการระเบิด
แต่เมื่อเช้าเดินผ่านแล้วเห็นดอกมันร่วงเต็มพื้นจนพื้นเป็นสีแดง
เห็นสวยดีก็เลยบันทึกภาพเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย