หลายสิ่งหลายอย่างนะครับที่เขาอ้างว่ามันสะอาด
ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อนำไปใช้งาน
มันก็ทำให้รู้สึกเช่นนั้นได้ครับ
ตราบเท่าที่ไม่ได้ไปดูว่ามันได้มายังไง
มันมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่
และหลังจากใช้งานไปแล้ว
มันเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจริงอย่างที่เขาอ้างหรือไม่
ไฮโดรเจนเป็นสารที่ไม่ได้มีอยู่อย่างอิสระในธรรมชาติ
เราจำเป็นต้องผลิตมันขึ้นจากวัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติ
ไฮโดรเจนถูกมองว่าเป็นพลังงาน
"สะอาด"
เนื่องจากการเผาไหม้มันนั้นทำให้เกิด
"น้ำ
- H2O"
เท่านั้น โดยไม่ทำให้เกิด
"คาร์บอนไดออกไซด์
- CO2"
ที่เป็นแก๊สเรือนกระจก
ซึ่งถ้ามองแค่นี้มันก็ถูกอย่างที่เขาอ้าง
ตราบเท่าที่ยังไม่ไปดูว่าเราไปได้ไฮโดรเจนมาจากไหน
รูปที่ ๑
เส้นทางการผลิตไฮโดรเจน
(๑)
คือ Steam
reforming ที่เป็นเส้นทางใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
เส้นทาง (๒)
คือกระบวนการผลิตโซดาไฟ
ไฮโดรเจนส่วนหนึ่งจากกระบวนการนี้ถูกนำไปผลิต
HCl
ด้วยการทำปฏิกิริยากับแก๊สคลอรีนที่เกิดร่วม
เส้นทาง (๓)
คือกระบวนการทำให้ไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลง
หรือดึงไฮโดรเจนออกจากโมเลกุลไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวโดยตรง
ปฏิกิริยานี้ใช้การเปลี่ยนน้ำมันหนัก
(เช่นน้ำมันเตา)
ให้เป็นน้ำมันเบา
(เช่นเบนซิน
ดีเซล)
ที่มีความต้องการมากกว่าและมีมูลค่าสูงกว่า
และใช้ในการผลิตโอเลฟินส์ที่เป็นสารตั้งต้งของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ส่วนเส้นทางล่างสุด (๔)
คือความฝันที่ยังไม่เป็นจริงเสียทีคือจากกระบวนการ
Cold fusion
สารอินทรีย์ในธรรมชาติที่มีสัดส่วนอะตอม
H
ในโมเลกุลมากที่สุดคือมีเทน
CH4
และบังเอิญว่าเรามีแหล่งแก๊สมีเทนอยู่ตามธรรมชาติในปริมาณมากด้วย
แต่ปัญหาก็คือพันธะ C-H
ของมีเทนนั้นมีพลังงานพันธะที่สูงเมื่อเทียบกับพันธะ
C-H
ของคาร์บอนอิ่มตัวด้วยกัน
ทำให้การแตกพันธะ C-H
ของมีเทนไม่ใช่เรื่องง่าย
กระบวนการหลักในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้ผลิตไฮโดรเจนจากมีเทนคือปฏิกิริยา
steam reforming
(รูปที่ ๑ (๑))
โดยนำมีเทนมาทำปฏิกิริยากับไอน้ำที่อุณหภูมิสูง
(ระดับ
1,000ºC)
และยังต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วยอีก
ผลิตภัณฑ์ที่ได้เรียกว่าแก๊สสังเคราะห์
(synthesis gas
หรือนิยมเรียกกันย่อ
ๆ ว่า syn
gas) ที่ประกอบด้วย CO,
CO2 และ H2
กระบวนการที่สอง
(รูปที่
๑ (๒))
ที่เป็นแหล่งที่มาของไฮโดรเจนอีกแหล่งหนึ่งได้แก่การผลิตโซดาไฟ
(NaOH)
ที่ได้จากการนำเอาสารละลายเกลือ
(NaCl)
มาเข้ากระบวนการ
electrolysis
ที่ใช้กระแสไฟฟ้า
ในกระบวนการนี้จะได้แก๊สไฮโดรเจนและคลอรีนเป็นผลพลอยได้
(บางโรงงานอาจเอาไฮโดรเจนและคลอรีนไปผลิตเป็นกรดเกลือ
HCl ต่อเลย
จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการเก็บแก๊สคลอรีนที่เป็นแก๊สพิษ)
พวกอุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันหรือปิโตรเคมีจะไม่นิยมใช้กระบวนการนี้
(เพราะไม่รู้ว่าจะเอาสารละลายโซดาไฟกับแก๊สคลอรีนไปทำอะไร
ต้องหาตลาดให้มันอีก)
เว้นแต่จะเป็นกระบวนการที่มีความจำเป็นต้องใช้แก๊สคลอรีน
(เช่นในการผลิตไวนิลคลอไรด์
H2C=CHCl)
กระบวนการที่สามที่เป็นแหล่งที่มาของไฮโดรเจนคือ
thermal
cracking/catalytic cracking/catalytic dehydrogenation (รูปที่
๑ (๓))
สำหรับโรงกลั่นน้ำมันกระบวนการ
cracking
เป็นการทำให้โมเลกุลไฮโดรคาร์บอนขนาดใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลง
แต่สำหรับปิโตรเคมีจะเป็นการผลิตสารประกอบโอเลฟินส์
(พวกที่มีพันธะไม่อิ่มตัว
C=C)
เพื่อนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารอื่นต่อ
ปฏิกิริยา thermal
cracking นี้เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน
ส่วนจะใช้อุณหภูมิระดับไหนก็ขึ้นอยู่กับสารตั้งต้น
ถ้าเป็นพวกไฮโดรคาร์บอนโมเลกุลใหญ่ก็อาจอยู่ที่ระดับราว
ๆ 500ºC
ถ้าเป็นอีเทนก็อยู่ที่ระดับราว
ๆ 900ºC
ถ้าเป็นโรงงานที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโรงโอเลฟินส์ตั้งอยู่ด้วย
ก็สามารถรับเอาไฮโดรเจนจากโรงงานผลิตโอเลฟินส์มาใช้
(ถ้าเขามีเหลือขายให้)
แต่สำหรับโรงงานที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวหรือแยกห่างออกมานั้น
(เช่นโรงงานผลิตเหล็กกล้าที่ปรกติก็ไม่ได้ตั้งอยู่ร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี)
ก็อาจตั้งหน่วย thermal
cracking ขึ้นมาเองโดยใช้แก๊สปิโตรเลียมเหลว
(LPG) เป็นสารตั้งต้น
ทั้งสามกระบวนการหลักที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่ามีการใช้
"ความร้อน"
และ "กระแสไฟฟ้า"
เพื่อให้ได้มาซึ่งแก๊สไฮโดรเจน
และในปัจจุบันการให้ได้มาซึ่งความร้อนและกระแสไฟฟเในการผลิตในระดับอุตสาหกรรม
ยังพึ่งพาการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลักที่เป็นตัวปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ถึงแม้ว่าการผลิตไฟฟ้านั้นอาจจะมีจากแหล่งอื่นที่ไม่ได้มีการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่บ้างก็ตาม
กระบวนการที่สี่หรือ
Cold fusion
นั้นเคยเล่าไว้บ้างแล้วใน
Memoir
ฉบับวันเสาร์ที่ ๑๐
สิงหาคม ๒๕๖๒ เรื่อง "รู้ทันนักวิจัย (๒๒) ไฮโดรเจนจากน้ำและแสงอาทิตย์"
คือเมื่อกว่า ๓๐
ปีที่แล้วมีความคาดหวังกันสูงว่าจะสามารถสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เรียกว่า
cold fusion ได้
ซึ่งจะทำให้ได้แหล่งพลังงานที่มีการปลดปล่อยกัมมันตรังสีที่ต่ำกว่า
nuclear fission
ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาก
และสามารถที่จะนำเอาความร้อนที่ได้นั้นไปผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อทำการแยกน้ำออกเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน
จากนั้นก็จะแยกเอาดิวทีเรียมออกจากน้ำเพื่อนำมาป้อนเข้าสู่กระบวนการ
cold fusion
ส่วนไฮโดรเจนที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ได้จากการแยกน้ำนั้นก็จะกลายมาเป็นเชื้อเพลิงสะอาด
บทความเรื่อง
cold fusion นี้
(รูปที่
๒)
เป็นที่ฮือฮามากในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
ค.ศ.
๑๙๘๙ (พ.ศ.
๒๕๓๒)
เรียกว่าเป็นข่าวใหญ่ในตอนนั้นเลย
ทำให้หลายคณะวิจัยพยายามที่จะทำซ้ำการทดลองดังกล่าว
แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถทำซ้ำได้
ผ่านไปเพียงแค่เดือนเดียวพอเข้าต้นเดือนพฤษภาคมข้อสงสัยเรื่องความถูกต้องของการทำ
cold fusion
นี้ก็สะสมมากขึ้นเรื่อย
ๆ จนถึงกับมีบทความตีพิมพ์ออกมา
(รูปที่
๓)
แต่จะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าปัจจุบันก็ยังมีบางกลุ่มวิจัยยังทำวิจัยเรื่องนี้อยู่
เพียงแต่มันแทบจะไม่มีข่าวให้เห็น
คงเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
รูปที่ ๒ บทความที่เป็นต้นเรื่อง
cold fusion
ที่ทำให้เกิดข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อ
๓๐ ปีที่แล้ว
ก่อนที่จะพบต่อมาว่าเป็นการทดลองที่ยังไม่มีใครสามารถทำซ้ำได้
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น
ในขณะที่มีความเชื่อว่าจะมีไฮโดรเจนราคาถูกในเวลาไม่นาน
งานวิจัยในอีกสาขาหนึ่งก็มีการทำกันอย่างแพร่หลาย
นั่นก็คือ "เซลล์เชื้อเพลิงหรือ
Fuel cell"
มีทั้งการศึกษาทั้งภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎีกันอย่างแพร่หลาย
ก่อนที่จะมีการแตกแนวทางออกไปเป็นการผลิตไฮโดรเจนจากชีวมวล
(biomass,
การผลิตไฮโดรเจนจาก
"ไฮโดรคาร์บอน"
แล้วป้อนให้เซลล์เชื้อเพลิงโดยตรง
รวมทั้งการใช้สารอินทรีย์โมเลกุลเล็กเป็นเชื้อเพลิงของเซลล์เชื้อเพลิง
การเปลี่ยนชีวมวล
(ซึ่งรวมเชื้อเพลิงฟอสซิลด้วย)
เป็นพลังงานความร้อน
แล้วจึงนำเอาพลังงานความร้อนนั้นไปเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าหรือขับเคลื่อนยานพาหนะ
เมื่อเทียบกับการใช้ทำให้ชีวมวลสลายตัวเพื่อนำเอาเฉพาะไฮโดรเจนมาเป็นเชื้อเพลิงให้กับเซลล์เชื้อเพลิงนั้น
กระบวนการใดมีความคุ้มค่าไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเศรษฐศาสตร์หรือสิ่งแวดล้อมนั้น
ก็คงตอบได้ไม่ยากด้วยการมองรอบตัวเราว่าในขณะนี้ในชีวิตประจำวันเราใช้วิธีการใดอยู่
รูปที่ ๓
บทความหนึ่งที่กล่าวถึงความพยายามที่จะทำซ้ำผลการทดลอง
บทความต้นฉบับนั้นยาวกว่านี้
ผมตัดข้อความมาบางส่วนเฉพาะตรงเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวกับความพยายามที่จะทำซ้ำการทดลองด้วยคณะวิจัยอื่น
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หรือพบว่าสิ่งที่มีการกล่าวอ้างนั้นเป็นผลจาก
error
ในการทำการทดลอง
ชีวมวลประกอบด้วยธาตุคาร์บอน
ไฮโดรเจน และออกซิเจนเป็นหลัก
การผลิตไฮโดรเจนจากชีวมวลจำเป็นต้องทิ้งคาร์บอนออกไปในรูปของ
CO2
ดังนั้นการเอาไฮโดรเจนที่ได้จากชีวมวลไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
"สะอาด"
มันก็อ้างได้ถ้าหากจำกัดการมองเพียงแค่ว่าตอนใช้งานไฮโดรเจน
โดยห้ามมองย้อนกลับไปว่าไฮโดรเจนนั้นได้มาอย่างไร
ในทำนองเดียวกันความพยายามที่จะเปลี่ยน
CO2
กลับไปเป็นสารอินทรีย์ที่มีสัดส่วนไฮโดรเจนในโมเลกุลสูงขึ้นด้วยการอ้างว่าเป็นการลดภาวะโลกร้อนด้วยการนำเอา
CO2
มาใช้ประโยชน์นั้น
มันก็อ้างได้ตราบเท่าที่ไม่หันไปมองว่าได้ไฮโดรเจนนั้นมาอย่างไร
(ได้จากกระบวนการที่ปลดปล่อย
CO2
หรือไม่)
และพลังงานจำนวนมากที่ต้องใส่เข้าไปเพื่อเปลี่ยน
CO2
นั้นให้กลายเป็นสารอินทรีย์ได้มาจากไหน
(ได้จากกระบวนการที่ปลดปล่อย
CO2
หรือไม่)
ความพยายามที่จะเปลี่ยน
CO2
กลับไปเป็นสารอินทรีย์ที่มีสัดส่วนไฮโดรเจนในโมเลกุลสูงขึ้น
(โดยเฉพาะพวกที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเหลว)
ด้วยการใช้ไฮโดรเจนที่แยกออกมาจากน้ำนั้นมีอยู่
แต่วัตถุประสงค์หลักนั้นไม่ใช่เพื่อการลดภาวะโลกร้อน
แต่เป็นการผลิตเชื้อเพลิงเหลวให้กับอากาศยาน
ลองนึกภาพกองเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ที่มีอากาศยานประจำอยู่ที่ท่องเที่ยวไปในท้องทะเล
สิ่งหนึ่งที่เป็นขีดจำกัดของกองเรือนี้คือเชื้อเพลิงอากาศยาน
ไฮโดรเจนนั้นสามารถใช้ไฟฟ้าที่ได้จากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในเรือเป็นตัวผลิต
ส่วน CO2
นั้นก็อาจได้จากอากาศหรือน้ำทะเล
ดังนั้นถ้าสามารถทำได้
กองเรือนี้ก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งกำลังบำรุง
โดยเฉพาะเชื้อเพลิงอากาศยาน
เวลาที่ผมอ่านโครงการที่มีคนขอให้ช่วยพิจารณา
เนื้อหาส่วนบทนำหรือที่มาของปัญหานั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญมากเพราะเป็นส่วนที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำวิจัยเรื่องนั้นมองเห็นภาพรวมของงานทั้งหมดหรือเปล่ามาอันที่จริงมันมีที่มาที่ไปอย่างไร
หรือสักแต่ว่าเห็นบทความโน้นบทความนี้เขาว่าอะไร
ก็ว่าตามนั้นไปโดยที่ไม่ได้พิจารณาถึงความสมเหตุสมผลของข้ออ้าง